บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1411: คนคลั่งดาบ
ตอนที่ 1411: คนคลั่งดาบ
สุนัขพื้นเมืองก้มหน้าลงอย่างละอาย!
สายตาของปราชญ์หงอวิ๋นแปรเปลี่ยนลุ่มลึก
ซิงเชวียนั้นไม่ใช่สุนัขพื้นเมืองธรรมดา มันติดตามนางมาตั้งแต่ยามอยู่ในโลกเซียน ผ่านมรสุมร้ายแรงมาด้วยกัน สายตาของมันสูงส่ง กล้าหาญอย่างยิ่ง
เซียนทั่วไปนั้นมิได้อยู่ในสายตามันเลยสักนิด
มันมีกระทั่งที่นั่งส่วนตัวในงานประชุมเซียนอันสูงส่งทรงเกียรติยิ่งบางแห่ง!
เพราะเหตุนี้ ปราชญ์หงอวิ๋นจึงส่งซิงเชวียไปยังเขตหวงห้ามเซียนละล่อง เผื่อซูอี้เกิดประสบอุบัติเหตุใด ด้วยอำนาจของซิงเชวียก็เพียงพอช่วยเขาจากอันตรายได้
แต่ใครเล่าจะคิด ว่านอกจากซิงเชวียจะมิได้ช่วย มันยังถูกปราณหนึ่งอันร้ายกาจทำให้หวาดผวาอีก!
ช่างน่าสนใจ
“เจ้าย้อนระลึกยามนั้นให้ข้าดูหน่อยสิ”
ปราชญ์หงอวิ๋นออกคำสั่ง
สุนัขพื้นเมืองพยักหน้า ยกอุ้งเท้าขึ้นกดลงเล็กน้อย
ตู้ม~
พิรุณแสงพร่างตระการบังเกิดขึ้น ถักทอเป็นภาพสะท้อนยามซูอี้สังหารเจตจำนงเซียนทั้งสิบหกบนเขาพฤกษ์ระย้าด้วยตนลำพังทีละฉาก
ซูอี้ในภาพนั้นมีร่างกายแหลกเละชุ่มโลหิต ปราณแตกซ่านไร้ระเบียบ
ทว่ากลับมีอำนาจร้ายกาจสายหนึ่งแผ่ซ่านทั่วนภาจากร่างของเขา ปกคลุมฟ้าดินทั่วทศทิศ ทำให้เขาดูราวเทพดาบทรราชครองหล้า!
เมื่อหนึ่งดาบฟาดฟัน หนึ่งเจตจำนงเซียนแหลกสลาย
ฟาดฟันทำลายไร้เทียมทาน!
ขณะเดียวกันนั้น เสียงของซูอี้ก็ดังออกมาจากภาพ
“กระทั่งเซียนแท้… ก็ไม่มีเลยหรือ?”
“แค่… เนี่ยนะ?”
“ก็แค่ตั๊กแตนตัวหนึ่ง!”
“ข้าคือใคร…”
“ข้าน่ะนะ ก็แค่ผู้มิอาจหวนคืนวิถีดาบเท่านั้น”
“วิถีสูงเยี่ยงนภา หัวใจข้าดุจดาบ รั้งนภาลงสามฉื่อ!!”
“มนุสสภูมิสับสนปั่นป่วนราวความฝัน หัวใจข้าอิสระไร้พันธะเยี่ยงสายลม”
“สวรรค์ไม่เพียงพอให้กลัว เทพไร้ค่าให้เกรง ศัตรูมิอาจล่วงเกิน วิถีไม่อาจหยุดยั้ง นี่แหละหนานักดาบ”
…น้ำเสียงนั้นห้าวหาญทรงพลัง วางกิริยาโอหังท้าทาย!
เมื่อภาพนั้นจางหาย
ปราชญ์หงอวิ๋นก็จมในภวังค์ความคิด มิคืนสติอยู่เนิ่นนาน
“ซิงเชวีย เจ้ายังจำคนคลั่งดาบในศาลเซียนรวมศูนย์ได้หรือไม่?”
เนิ่นนานจากนั้น จู่ ๆ ปราชญ์หงอวิ๋นก็กล่าวขึ้น
สุนัขพื้นเมืองตะลึงในใจ ดวงตาเผยความหวาดกลัวลึกล้ำ “จำได้ขอรับ!”
คนคลั่งดาบ!
ผู้นำสิบราชันย์เซียนแห่งศาลเซียนรวมศูนย์!
เซียนดาบอันไร้เทียมทานในโลกเซียน!
เขาหมกมุ่นแต่กับดาบ บ้าอำนาจจิตเตลิด สังหารผู้คนไม่ยั้งคิดราวมารคลั่งแห่งวิถีดาบ
ดังนั้น ตัวตนอาวุโสบางผู้จึงเรียกเขาว่า ‘คนคลั่งดาบ’!
“เจ้านาย ท่านสงสัยว่าอำนาจร้ายกาจบนร่างซูอี้ผู้นั้นจะเกี่ยวข้องกับคนคลั่งดาบหรือขอรับ?”
สุนัขพื้นเมืองประหลาดใจ
“คล้ายอยู่สามส่วน”
นัยน์ตากระจ่างของปราชญ์หงอวิ๋นลึกล้ำ เรื่อเรืองด้วยประกายลึกลับมิอาจหยั่งคาดราวกำลังคาดการณ์บางอย่าง
ทว่าท้ายที่สุด นางก็ขมวดคิ้วน้อย ๆ
คว้าน้ำเหลว!
หลังเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ปราชญ์หงอวิ๋นก็กล่าวว่า “เขาครอบครองวัฏสงสาร เวียนวัฏมาแล้วสองหน แต่ข้าสงสัยว่า… อำนาจร้ายกาจนั้นน่าจะมาจากอดีตชาติของเขามากกว่า”
สุนัขพื้นเมืองอ้าปากค้าง
ทัศนาจารย์เคยเวียนวัฏเป็นซูเสวียนจวิน ณ แดนเทวามหาแดนดินมาแล้วหนหนึ่ง ก่อนจะเวียนวัฏเป็นซูอี้ทุกวันนี้
นี่เป็นเรื่องที่ทุกผู้รู้
แต่ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าทัศนาจารย์เองก็อาจเป็นร่างเวียนวัฏเช่นกัน!
“หากอำนาจร้ายกาจนั้นมาจากอดีตชาติของเขาจริง ๆ ไม่ได้หมายความว่าอดีตชาตินั้นน่าจะเป็นตัวตนทรงพลังในวิถีเซียนด้วยหรือ?”
สุนัขพื้นเมืองพึมพำ
มันติดตามปราชญ์หงอวิ๋นสัญจรในโลกเซียน เห็นเรื่องราวใหญ่โตมากมาย กระทั่งงานเลี้ยงลูกท้อก็เคยเข้าร่วมมาแล้ว
ทว่าอำนาจร้ายกาจบนร่างของซูอี้ทำให้มันรู้สึกกลัว ทำให้มันมิอาจคาดคิดได้เลยว่าหากนี่คืออดีตชาติของซูอี้จริง ๆ นั่นจะเป็นตัวตนร้ายกาจเพียงไร
ปราชญ์หงอวิ๋นเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะนำกล่องหยกใบหนึ่งออกมาส่งให้สุนัขพื้นเมือง “หากข้าเดาถูก สหายเต๋าซูน่าจะกำลังเคลื่อนสู่วิถีจุติสรวงในไม่ช้า เจ้าควรนำสิ่งนี้ไปให้เขา เป็นการแสดงน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ จากข้า”
สุนัขพื้นเมืองถามอย่างสงสัย “เจ้านาย ในกล่องหยกนี้มีสมบัติใดหรือ?”
ปราชญ์หงอวิ๋นกล่าว “โสมเซียนนพคุณหนึ่งชิ้น”
สุนัขพื้นเมือง “!!!”
ดวงตาของมันเบิกกว้างแทบสะดุ้งตัวลอย ตกใจอย่างเห็นได้ชัด
แต่ก่อนมันจะทันได้พูด ปราชญ์หงอวิ๋นก็ออกคำสั่งแล้ว “รีบไปสิ”
……
ภูเขาจันทร์กระจ่าง วัดสรรพสุญตา
พลบค่ำปกคลุมทั่วทิศ
ภายใต้พฤกษาใหญ่หลายคนโอบ
ซูอี้ ชิงถัง หลวงจีนคงจ้าว เว่ยซาน เฒ่าเว่ย ดาบพุทธะสรรพสุญตา เซียนดาบชิงซื่อและคนอื่น ๆ กำลังจัดเลี้ยง
เลิศเมรัยแห่งโลกา
อาหารโอชารส
สหายเคียงบ่า ศิษย์อาจารย์เวียนพบ ญาติมิตรสังสรรค์สุขอุรา
ระหว่างทางกลับ ซูอี้ได้ช่วยชิงถังขจัดภัยแฝงในร่างสิ้นแล้ว
“ข้าก็นึกว่าเจ้าไปเขตหวงห้ามเซียนละล่องหนนี้ จะเข้าสู่วิถีจุติสรวงที่นั่นได้เสียอีก”
หลวงจีนคงจ้าวกล่าวอย่างขัดใจ
ดาบพุทธะสรรพสุญตากล่าวอย่างโกรธเคือง “เจ้าคิดว่าวิถีจุติสรวงมันย่างกรายเข้าไปง่ายนักหรือ?”
เซียนดาบชิงซื่อกล่าว “แม้จะไม่ได้ก้าวสู่วิถีจุติสรวง สหายเต๋าซูก็สร้างชัยชนะสำเร็จใหญ่หลวงในศึกเขาพฤกษ์ระย้า จะเลื่อนขอบเขตหรือไม่สำคัญด้วยหรือ?”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ คนทุกผู้ก็อดทอดถอนใจไม่ได้
ศึกเขาพฤกษ์ระย้านั้นเจิดจรัสลือลั่นยิ่งนัก ยามนี้ทั่วจักรวาลพร่างดาวสะเทือนสั่นมิอาจหยุด แพร่ข่าวศึกนี้ไปทุกซอกทุกมุม
และหลังจบศึกนี้ ความโด่งดังของซูอี้ก็กล่าวได้ว่าดั้นนภา!
“นายน้อย บ่าวเฒ่าผู้นี้ขอฉลองให้ท่านหนึ่งจอก”
เฒ่าเว่ยลุกขึ้นดื่มฉลอง
ซูอี้นำจอกสุราขึ้นดื่มด้วยรอยยิ้ม
ขณะกินดื่มสังสรรค์ ม่อชิงโฉวและหลีจงก็มาเยือนด้วยกัน
ม่อชิงโฉวนำเตาเสริมสวรรค์กลับมาคืน และส่งสมบัติสัมภาระชิ้นหนึ่งแก่ซูอี้ กล่าวว่า “สหายเต๋าซู นี่คือสินสงครามจากศึกเขาพฤกษ์ระย้า”
หลังซูอี้รับมันไว้ เขาก็เชิญม่อชิงโฉวและหลีจงมาสังสรรค์ด้วยกัน
ทั้งสองตอบตกลงทันที
ระหว่างสนทนา ม่อชิงโฉวก็กล่าวถึงสถานการณ์ภายในเขตหวงห้ามเซียนละล่อง “จากการคาดเดาของบรรพชนตระกูลข้า การเปลี่ยนแปลงอย่างมหันต์ทั่วฟ้าดินจะทวีคูณ และภายในหนึ่งเดือน วิถีจุติสรวงจะปรากฏขึ้นในโลกหล้าแน่นอน”
“ในสามเดือน วิญญาณอาสัญวิถีเซียนจะสามารถปรากฏขึ้นในเขตหวงห้ามเซียนละล่อง”
“และภายในครึ่งปี วิญญาณอาสัญเซียนเหล่านั้นจะสามารถปรากฏตัวในโลกหล้า!”
สามวาจานี้ บรรยากาศงานเลี้ยงก็เงียบสงัดลง
การข่มขู่ซูอี้ด้วยวิญญาณอาสัญขอบเขตจุติมงคลนั้นยากแท้
ทว่าใครเล่าจะไม่รู้ว่าหลังจบศึกเขาพฤกษ์ระย้า วิญญาณอาสัญวิถีเซียนจากขุมกำลังปรปักษ์เหล่านั้นย่อมมิปล่อยซูอี้ไว้?
ซูอี้หาสนใจไม่
เขาแค่สงสัยเท่านั้น “การเปลี่ยนแปลงของฟ้าดินรวดเร็วขึ้นหรือ?”
ม่อชิงโฉวกล่าว “ถูกต้อง ตลอดยี่สิบปีมานี้ การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในฟ้าดิน ทว่ามิรุนแรงรวดเร็วมากนัก แต่ในสองปีมานี้ การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นรวดเร็วทวีคูณ!”
“บรรพชนของข้าสงสัยว่าการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้น่าจะบ่งชี้ว่าหลังวิถีจุติสรวงหวนคืนโลกา โอกาสและตัวตนวิถีเซียนก็น่าจะหวนคืนมาเช่นกัน!”
หัวใจของเซียนดาบชิงซื่อและดาบพุทธะสรรพสุญตารู้สึกชุ่มชื่นขึ้น เผยสีหน้าแตกต่างกันออกไป
การหวนปรากฏของวิถีจุติสรวงนั้นมิสำคัญสำหรับตัวตนสูงสุดในขอบเขตจุติมงคลเช่นพวกเขา
ทว่าวิถีเซียนนั้นแตกต่างออกไป!
มันคือวิถีสูงสุดที่พวกเขาเฝ้าฝันถึงแต่โบราณ!
ซูอี้เองก็กล่าวอย่างประหลาดใจ “หรือก็คือจะบอกว่า โลกนี้ในภายหน้าจะบังเกิดโอกาสบรรลุเซียนหรือ?”
“ถูกต้อง”
ม่อชิงโฉวเองก็เผยสีหน้าเฝ้าฝัน “ณ ยุคสิ้นกฎเกณฑ์ ทั่วฟ้าดินไร้วิถีเซียน กระทั่งวิถีจุติสรวงยังถูกสะบั้น…”
“ทว่ายามนี้แตกต่างออกไป โลกหล้าแปรเปลี่ยนแล้ว ดีไม่ดี ยุคทองอันเลิศล้ำยิ่งกว่ายามใดก็อาจจะหวนบังเกิด!”
“สำหรับพวกข้า โอกาสเช่นนี้ช่างยากพบพาน!”
วาจาของนางทำให้ทุกผู้รู้สึกหดหู่
“แต่นี่ก็หมายความว่าวิญญาณอาสัญเหล่านั้นจะทำทุกวิถีทางเพื่อจัดการกับสหายเต๋าซู”
เซียนดาบชิงซื่อกล่าวขึ้นกะทันหัน “เพราะถึงอย่างไร วิญญาณอาสัญก็ถูกพันธนาการด้วยคำสาป เป็นคนก็ไม่ ผีก็มิเชิง ต่อให้วิถีเซียนหวนคืน พวกเขาก็ทำได้เพียงมองตาละห้อยแล้วทอดถอนใจ สิ้นโอกาสเยื้องย่างเข้าไป”
“และมีเพียงวัฏสงสารเท่านั้นที่จัดการกับคำสาปของพวกเขา ทำให้พวกตนมิต้องถูกจองจำเช่นนี้ได้!”
นี่ยังหมายความว่าวิญญาณอาสัญซึ่งมีความแค้นกับซูอี้อยู่แล้วจะล่าล้างแค้นซูอี้อย่างบ้าคลั่ง!
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ อย่างไม่คิดสนใจ “กาลก่อน ข้าเป็นศัตรูกับทั่วโลกหล้า ยามนี้ข้าก็เป็นศัตรูกับทั่วโลกหล้าเช่นกัน และภายหน้า…”
หลวงจีนคงจ้าวชิงกล่าวขัด “ก็จะไร้เทียมทานในโลกหล้า!”
ซูอี้ส่ายหน้ากล่าว “ไร้เทียมทาน? น่าเบื่อยิ่งนัก ข้าขอมีศัตรูในโลกหล้าดีกว่า”
คนทุกผู้ “…”
“โอ้ วาจาโอหังไม่เบา ทั่วหล้าฟ้าดิน ใครเล่าจะกล้าประกาศตนไร้เทียมทาน ใครเล่าจะกล้าพูดว่าไร้พ่าย? อย่าว่าแต่นี่เป็นเพียงโลกมนุษย์เลย หากเป็นโลกเซียน วิถีเต๋าทั่วไปเช่นเจ้า… ไร้ค่าในสายตามิเหลือดี”
ยามนี้ สุนัขพื้นเมืองตัวหนึ่งพลันเดินมาจากไกล ๆ
วาจานั้นเก่าแก่ ดูสั่งสอนอยู่หลายจุด
“เจ้าสุนัขนี่มาจากหนใด มันเป็นภูตไปแล้วหรือ?”
หลวงจีนคงจ้าวร้องออกมาอย่างประหลาด
ม่านตาของเซียนดาบชิงซื่อและดาบพุทธะสรรพสุญตาหดตัว
ม่อชิงโฉวหัวใจเต้นกระตุก สายตาวูบไหวประหลาด พลันตระหนักบางสิ่งขึ้นได้
“หลวงจีน หากเจ้ากล้าพูดจามั่วซั่ว ข้าผู้นี้สัญญาจะขุดหลุมฝังเจ้าแน่”
สุนัขพื้นเมืองเขม่นตามองหลวงจีนคงจ้าว
นัยน์ตาเย็นชานั้นทำให้หลวงจีนคนจ้าวร่างสั่นสะท้าน ร้องซวยแล้วในใจ
“ผู้น้อยม่อชิงโฉว คารวะใต้เท้าซิงเชวีย”
ม่อชิงโฉวลุกขึ้นคารวะ
คนทุกผู้อดผงะตะลึงไปไม่ได้
ใครเล่าที่นี่จะมิรู้ว่าม่อชิงโฉวมาจากตระกูลเซียนชั้นนำ เป็นตัวตนโดดเด่นในหมู่ทายาทเซียน?
ทว่ายามนี้ นางกลับทักทายสุนัขพื้นเมืองตัวหนึ่งในฐานะผู้น้อย!!
เดิมที หลวงจีนคงจ้าวยังคงไม่พอใจกับการวางท่าของสุนัขพื้นเมืองอยู่บ้าง แต่เมื่อเขาได้ยินเช่นนี้ เขาพลันสงบวาจาไป
“สกุลม่อของพวกเจ้ารู้ตัวตนของข้าผู้นี้แล้วหรือ?”
สุนัขพื้นเมืองเหลือบมองม่อชิงโฉวอย่างประหลาดใจ
“ผู้น้อยก็เพิ่งทราบจากผู้ใหญ่ในตระกูลมาเจ้าค่ะ”
ม่อชิงโฉวกล่าวเบา ๆ
“มันทรงพลังมากหรือ?”
ซูอี้พลันกล่าวขึ้นอย่างสนอกสนใจ
ม่อชิงโฉวกำลังจะกล่าวบางอย่าง ทว่าสุนัขพื้นเมืองกลับถอนใจกล่าวด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก “ชื่อเสียงเล็กจ้อยในกาลก่อนก็แค่เกียรติภูมิเล็กน้อย ไม่ควรค่าให้กล่าวถึงหรอก”
เสแสร้งเล่นละครต่อหน้าข้า?
ซูอี้อดขำมิได้ ยกมือขึ้นยีหัวเจ้าสุนัขพื้นเมือง
“พูดมาก็พูดตอบ มืออย่าต้อง!”
สุนัขพื้นเมืองเอี้ยวตัวหลบวูบ ขืนมันถูกซูอี้ยีหัวต่อหน้าคนทุกผู้ หน้าสุนัขของมันจะเอาไปไว้ที่ใด?
ทว่าการหลบของมันก็ยังทำให้คนทุกผู้รู้สึกหลากหลาย แววตาแปรเปลี่ยนลุ่มลึก
สุนัขพื้นเมืองที่ม่อชิงโฉวเรียก ‘ใต้เท้าซิงเชวีย’ ตัวนี้มีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดากับซูอี้อย่างชัดเจน
หาไม่ ใครเล่าจะกล้าเอื้อมมือไปแตะต้องหัวมันทั้ง ๆ ที่รู้ที่มากันแล้ว?