บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1416: หวังเย่!
ตอนที่ 1416: หวังเย่!
ในห้วงความนึกคิด
ร่างจิตของซูอี้ปรากฏขึ้นตรงหน้าดาบเก้าคุมขัง
“นี่ ถึงเวลาทำตามคำสัญญาได้แล้ว”
ซูอี้กล่าวเบา ๆ
ตรวนเส้นที่หกบนดาบเก้าคุมขังสั่นสะเทือน เสียงของชาติที่หกดังก้องออกมา “นี่? เจ้าพูดจาให้มันเกรงใจกันบ้างไม่ได้หรือ!?”
ซูอี้หัวเราะพลางกล่าว “เดิมทีเจ้ากับข้าก็เป็นคนคนเดียวกัน ไม่เห็นจำเป็นต้องมากพิธีรีตอง”
“ไม่ ก่อนที่เจ้าจะหลอมรวมกรรมวิถีของข้า เจ้าก็คือเจ้า ข้าก็คือข้า จะต้องแบ่งแยกให้ชัดเจน”
ชาติที่หกกล่าว “จำไว้ให้ดี ข้าแซ่หวัง มีนามว่าเย่!”
หวังเย่?
เป็นอ๋องเช่นนั้นหรือ?
ซูอี้กล่าวขึ้นมา “ชื่อนี้ของเจ้าเรียกแล้วฟังทะแม่ง”
ชาติที่หก “…”
ตอนที่เขายังมีชีวิต คนที่รู้ชื่อแซ่แท้จริงของเขามีคนไหนบ้างที่ไม่ใช่ยักษ์ใหญ่ไร้เทียมทานที่อยู่เหนือเทพเทวากัน? และมีคนไหนบ้างที่กล้าสงสัยในชื่อของเขา?
ส่วนคนที่ไม่รู้ชื่อของเขาหรือเกลียดแค้น ล้วนเรียกเขาว่าเป็นทรราช
ทรราชวิถีดาบอันดับหนึ่ง!
คนที่เคารพยำเกรงต่อเขา กลับเรียกเขาว่าเป็นจักรพรรดิ
มหาจักรพรรดิ!
แต่ซูอี้กลับบอกว่าชื่อของเขาฟังแล้วทะแม่ง…
ชาติที่หกรู้สึกเอือมระอาใจเสียเหลือเกิน เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมพูดไปก็ไม่รู้เรื่อง!
“เร็วหน่อยเถอะ เวลามีจำกัด” ซูอี้เร่ง
ชาติที่หกถอนใจยาว ๆ ทีหนึ่งราวกับเบื่อหน่าย
ครู่ถัดมา ประกายแสงสายหนึ่งผุดขึ้นกลายเป็นตราประทับลึกลับปรากฏขึ้นตรงหน้าซูอี้
“นี่คือประสบการณ์การฝึกตนในช่วงก่อนและหลังบรรลุสู่วิถีจุติสรวงของข้า เจ้าจงนำมันไปหลอมรวม น่าจะเพียงพอให้เจ้าทำความเข้าใจเกี่ยวกับความลี้ลับแก่นแท้ของวิถีจุติสรวงได้”
“หลังจากที่เจ้าหลอมตราประทับลึกลับนี้เสร็จแล้ว ข้าค่อยถ่ายทอด ‘ความลับการบรรลุขอบเขต’ ที่ไม่มีใครในแดนดินสามารถสัมผัสถึงให้แก่เจ้า รวมถึง…”
“หนทางแห่งการบรรลุวิถีจุติสรวงที่แท้จริงซึ่งไม่เคยปรากฏที่ใดมาก่อน!”
“หากสามารถผ่านเข้าไปได้ จะสามารถใช้ร่างกายคนธรรมดาเทียบเคียงกับเทพเซียน! วันข้างหน้าพิสูจน์เต๋าเพื่อเป็นเซียนก็จะอยู่เหนือหนทางเซียน บุกเบิกมหาวิถีที่เหล่าเซียนทั้งหลายไม่อาจไปถึง!”
พูดถึงตรงนี้ เสียงของชาติที่หกแฝงไว้ซึ่งความหวังและรอคอย
แล้วเขาก็กล่าวเตือนสติทันใด “เจ้าจะต้องระวังตัวให้ดี ประสบการณ์และวิชาความรู้ที่เกี่ยวข้องกับความลี้ลับของวิถีจุติสรวงนั้นสามารถทำให้ภาวะจิตของเจ้าแตกสลายได้ทุกเมื่อ เพราะอย่างไรเสียก็ดี… เจ้าในตอนนี้มีระดับการฝึกตนเพียงแค่ขอบเขตราชันแห่งภูมิเท่านั้น”
ครืน!
ความทรงจำอันยิ่งใหญ่ทรงพลังพุ่งเข้าไปในวิญญาณของซูอี้
ชั่วขณะนั้น จิตวิญญาณของซูอี้พองโตจนแทบปริ!
พลังระดับนั้นช่างยิ่งใหญ่เสียเหลือเกิน เป็นประสบการณ์และวิชาความรู้ของชาติที่หกในช่วงก่อนและหลังเข้าสู่ขอบเขตจุติสรวง หากว่าเป็นราชันแห่งภูมิขอบเขตไร้ขีดจำกัดคนอื่น ๆ ล่ะก็ไม่มีทางรับไหวเป็นแน่ จิตวิญญาณคงจะระเบิดในพริบตาไปแล้ว!
ทว่าซูอี้กลับรู้สึกเพียงแค่เจ็บคล้ายจะปริแตกเท่านั้น จากนั้นจึงเก็บรับพลังความทรงจำกลุ่มนี้ไว้ได้จนหมด
ระหว่างนั้นชีวิตของเขาเหมือนกับถูกสับเปลี่ยน กลายเป็นนักดาบที่มีนามว่า ‘หวังเย่’ ผู้กำลังแสวงหาและเอาชนะหนทางวิถีจุติสรวง!
ความเข้าใจและการรับรู้ที่เกี่ยวข้องกับการแสวงหนทางสู่วิถีจุติสรวง รวมไปถึงประสบการณ์ความรู้ที่แท้จริงล้วนผุดขึ้นในหัวใจของซูอี้
มองดูเหมือนไม่ใช่ของตนเอง แต่กลับเหมือนเขาได้ประสบพบเจอด้วยตนเอง
การเตรียมพร้อมก่อนจะพิสูจน์เต๋าขอบเขตจิตทารก อันตรายและการฝึกฝนทั้งหมดที่เจอตอนผ่านมหาภัยพิบัติยามพิสูจน์เต๋า รวมถึงความเปลี่ยนแปลงหลังจากผ่านมหาภัยพิบัติได้สำเร็จ… ล้วนปรากฏขึ้นในญาณสัมผัสของซูอี้
ความรู้ในตำรานั้นผิวเผิน เข้าใจลึกซึ้งต้องลงมือทำ
ถึงแม้ตัวซูอี้ในอดีตจะเคยทำความเข้าใจความลับวิถีจุติสรวงจากคัมภีร์โบราณมากมายมาก่อน และเคยขอคำชี้แนะและฝึกประลองกับเซียนดาบชิงซื่อกับดาบพุทธะสรรพสุญตามาแล้ว
ทว่าเพียงแค่ทำความเข้าใจเช่นนั้นเหมือนดังอ่านตำรา เพียงแค่รู้เนื้อหาเท่านั้น
ไม่เหมือนกับเวลานี้ ที่เขากำลัง ‘ประสบพบเจอ’ ด้วยตนเอง!
รับรู้ถึงความลับในวิถีจุติสรวงอย่างแท้จริง!
การรับรู้เวลาที่แสวงหนทางวิถีกับบรรลุเคล็ดลับแห่งการฝึกฝน การดิ้นรนและขวนขวายบนหนทางวิถีแห่งนี้ รวมถึงความเข้าใจและความเปลี่ยนแปลงที่ได้มาขณะที่บรรลุขอบเขตในแต่ละครั้ง เหมือนกับเกิดขึ้นกับตัวของเขา
อ่านตำราสักเล่ม นั่นคือความรู้
ทว่าเขาในตอนนี้คล้ายกับกลายเป็นตัวเอกในตำรา กำลังประสบด้วยตัวเอง!
วิถีจุติสรวง จิตทารก รวมวิถี และจุติมงคล
ความลับของแต่ละขอบเขต กลไกและมรรควิถีที่ซ่อนเร้นในแต่ละขอบเขต ล้วนแสดงอยู่ในหัวใจของซูอี้อย่างแท้จริง
ชั่วขณะนั้น ซูอี้รู้สึกไปเองว่าตนเองก้าวสู่วิถีจุติสรวงแล้ว กำลังเรียบเรียง หลอมรวมความเข้าใจและประสบการณ์บนหนทางสายนี้
เวลาผ่านพ้นไป ไม่ว่าผ่านไปนานเท่าใด
ทว่าไม่นานนัก ซูอี้ก็ตื่นขึ้นมา!
ตัวเองยังไม่บรรลุขอบเขต สิ่งที่เข้าใจและรับรู้ล้วนเป็นประสบการณ์อย่างหนึ่ง ไม่ใช่ของตัวเองอย่างแท้จริง
เหมือนดังเช่นที่เขากลับชาติมาฝึกตนใหม่อีกครั้ง ถึงแม้ประสบการณ์และวิชาความรู้ของเมื่อชาติที่แล้วจะเป็นของตัวเอง ทว่าหนทางวิถีในชาตินี้ มีแต่ต้องเดินด้วยตนเองเท่านั้น!
หากว่าหลงใหลอยู่ในประสบการณ์เช่นนี้ หนทางวิถีในชาตินี้ของตัวเองจะล้ำหน้าเกินกว่าเมื่อชาติที่แล้วได้อย่างไรกัน?
“ข้าใช้ใจของข้าเดินเข้าสู่หนทางแห่งวิถีจุติสรวง เข้าใจความลับในวิถี ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นประโยชน์ต่อข้า แต่ไม่อาจทำให้จิตวิถีของข้าวอกแวกได้!”
ซูอี้สงบใจลงได้
และนับตั้งแต่เวลานี้เป็นต้นไป เวลาที่เขาหลอมรวมความทรงจำกับประสบการณ์ของชาติที่หก ทั้ง ๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นประสบการณ์ของตัวเอง ความจริงแล้วคล้ายกับคนอื่นที่นั่งดูอยู่ห่าง ๆ
นี่คือภาวะจิตแบบปล่อยวาง
ภายใต้ภาวะจิตเช่นนี้ เขาหลอมรวมพลังตราประทับลึกลับนี้เป็นของตัวเองอย่างแท้จริง! ส่วนภาวะจิตของตัวเองกลับแน่วแน่ไม่ติดยึดไปด้วย!
“หลอมจนหมดแล้วหรือ?”
ในห้วงความนึกคิด เสียงของชาติที่หกดังขึ้น น้ำเสียงแฝงไว้ซึ่งความตื่นตะลึงราวกับไม่คาดคิดว่าซูอี้จะหลอมรวมตราประทับของเขาได้ราบรื่นเช่นนี้
ซูอี้ทำความเข้าใจเงียบ ๆ สักครู่จึงพยักหน้ากล่าว “ดูเหมือนว่าไม่ได้ยากมากนัก”
ชาติที่หก “…”
ซูอี้กล่าวต่อ “อีกทั้งข้ายังพบสิ่งหนึ่ง ตอนที่เจ้าย่างสู่หนทางแห่งวิถีจุติสรวง เมื่อพูดถึงพื้นฐานกับความสามารถแล้ว ยังเทียบกับข้าในตอนนี้ไม่ได้”
ชาติที่หก “…”
ซูอี้พูดประเด็นของตนเองไปเรื่อย ๆ “เช่นนี้ก็หมายความว่า ต่อให้ข้าเลือกที่จะบรรลุขอบเขตตอนประมือบนเขาพฤกษ์ระย้า ความสำเร็จมหาวิถีบนหนทางแห่งวิถีจุติสรวงในวันข้างหน้าก็ยังจะล้ำหน้ากว่าเจ้าในตอนนั้น”
ชาติที่หก “…”
เขาทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ จึงกล่าวออกมา “ไม่สำนึกบุญคุณก็ยังไม่ว่า แต่เจ้าจะพูดจาให้ความเกรงใจกันบ้างไม่ได้เลยหรือ?”
ซูอี้หัวเราะขึ้นมาก่อนจะกล่าวว่า “แต่ประสบการณ์ในช่วงนี้ช่วยข้าได้เยอะมาก มันไม่ได้ด้อยไปกว่าการเตือนสติ ทำให้ข้าเข้าใจว่าเวลาที่ย่างสู่หนทางแห่งวิถีจุติสรวงควรต้องทำเช่นใดจึงจะล้ำหน้าเกินกว่าเจ้าในตอนนั้นได้ ขอบคุณมาก”
ชาติที่หก “???”
เช่นนี้ถือว่าเกรงใจแล้วเช่นนั้นหรือ?
เช่นนี้ถือว่าขอบคุณแล้วเช่นนั้นหรือ!?
เมื่อเห็นว่าชาติที่หกนิ่งเงียบไปนาน ซูอี้ก็อดกล่าวเตือนไม่ได้ “ตอนนี้ ถึงเวลาที่เจ้าต้องพูดถึงหนทางแห่งวิถีจุติสรวงที่ไม่เคยมีมาก่อนสายนั้นแล้ว”
ชาติที่หกส่งเสียงทอดถอนใจออกมาทีหนึ่ง ดูจนปัญญาและเหนื่อยใจเหมือนกับเสืออยู่บนที่ราบ จนแม้กระทั่งสุนัขก็ยังมาข่มเหง
เขาสงบสติอารมณ์ในที่สุดและกล่าวขึ้น “หนทางแห่งวิถีจุติสรวงในอดีตอาจจะสามารถชี้ไปที่วิถีเซียนได้ ทำให้เจ้าก้าวสู่จุติมงคลกลายเป็นเซียนได้ และสามารถทำให้เจ้าสร้างตำนานของตัวเองบนวิถีเซียนได้ด้วยเช่นกันหรือกลายเป็นวิถีเซียนคนแรกเลยก็เป็นได้”
“แต่สุดท้าย… ก็จะเหมือนกับข้าในตอนนั้น หยุดอยู่บนวิถีเซียน ไม่อาจก้าวหน้าไปได้อีก!”
เสียงของชาติที่หกเคร่งเครียด แฝงด้วยความเด็ดเดี่ยวและไม่ยอมแพ้
“เพื่อแสวงหาหนทางแห่งการบรรลุ ข้าเสาะหาไปทั่วแดน ศึกษาตำราคัมภีร์โบราณมากมายนับไม่ถ้วน เคยเสาะหายุคที่หายสาบสูญไปนานแล้ว ยิ่งกว่านั้น… ยังเคยแสวงหาหนทางแห่ง ‘ทวยเทพ’ ที่ถูกพันธสัญญาทวยเทพลบเลือนไป”
“แต่สุดท้ายก็พบว่า สุดหนทางวิถีเซียนได้ขาดสะบั้นลงไปแล้ว!”
“ใช่ว่าข้าไม่แข็งแกร่งพอ แต่เป็นเพราะเวลา โอกาส และโชคชะตาล้วนไม่เข้าข้างข้า!”
พอฟังถึงตรงนี้แล้วซูอี้ก็รู้สึกเห็นด้วยในใจ
เขาก็เคยรู้สึกเช่นนี้เหมือนกัน
เมื่อนึกย้อนไปตอนที่เป็นใหญ่ในมหาแดนดิน ทุ่มเทแรงกายแรงใจและเสียสละเวลาไปไม่รู้เท่าใดเพื่อเสาะหาหนทางราชันแห่งภูมิ แต่ก็ไม่ได้มา
เพราะเหตุใด?
เพราะว่าภูมิดาราฟ้าดินไม่มีหนทางราชันแห่งภูมิ!
ย้อนนึกถึงตอนที่เขาเป็นทัศนาจารย์ ก็โดนเช่นนี้ด้วยเหมือนกันไม่ใช่หรือ?
ภัยพิบัติใหญ่ยุคสิ้นกฎเกณฑ์ทำให้หลายหนทางแห่งวิถีจุติสรวง ตัดโอกาสบรรลุเซียน ต่อให้มีเก่งกาจไร้เทียมทานเพียงใด ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรได้!
นี่คือเวลา คือโชคชะตา!
อย่างไม่ต้องสงสัย ตอนที่ชาติที่หกรุ่งเรืองอยู่ในช่วงสูงสุดก็เจอกับอุปสรรคปัญหาเช่นนี้เหมือนกัน
ทันใด ซูอี้เกิดความคิดบางอย่างและกล่าวขึ้น “หนทางแห่งทวยเทพ? ไม่ นี่เป็นเพียงแค่คำอธิบายหนึ่งเท่านั้น”
“คำว่า ‘เทพ’ ในสายตาคนวิถีเซียนแล้ว เป็นสัญลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่ประเภทหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นคนหรืออาจจะเป็นกฎเกณฑ์มหาวิถีอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือเป็นวิญญาณที่ยิ่งใหญ่แข็งแกร่งบางอย่างก็ได้ด้วยเช่นกัน”
“ไม่ว่า ‘เทพ’ จะอยู่ในรูปแบบใด แต่ที่แดนเซียนมีความเข้าใจตรงกันอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือ ผู้ใดก็ตามที่สามารถทลายข้อผูกมัดความเปลี่ยนแปลงแห่งยุคได้ สามารถหลุดพ้นอยู่เหนือวิถีเซียนได้ คนนั้นก็คือเทพ!”
“การดำรงอยู่ของพันธสัญญาทวยเทพพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามีพลังเช่นนี้อยู่!”
ซูอี้นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา
ตอนที่อยู่ ‘เมืองสวรรค์เทพมายา’ ซึ่งเป็นหนึ่งในเขตต้องห้ามจักรวาลพร่างดาว เขาเคยได้ยิน ‘นักซ่อนกล’ จากยุคมายาพูดถึง ‘เทพ’
ในสายตาของนักซ่อนกล เทพเป็นตัวแทนของกฎเหล็กและข้อบังคับอันยิ่งใหญ่
เจตจำนงเทพ ทะลุผ่านอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
พลังของเทพควบคุมยุคและสมัยที่แตกต่างกันไป
สัญญาที่ทวยเทพตั้งขึ้นมีความสูงส่ง เหล่าผู้ฝึกตนไม่อาจหยั่งถึงได้!
ทว่าในสายตาของชาติที่หก เทพที่กล่าวถึงก็ดูเหมือนจะเป็นเช่นนี้ เป็นสัญลักษณ์ที่สูงส่ง เป็นเครื่องหมายที่ไม่อาจลบหลู่ดูหมิ่นได้
และหากว่าต้องการจะบรรลุเป็นเทพ มีทางเดียวคือพังทลายความเปลี่ยนแปลงของยุค หลุดพ้นอยู่เหนือวิถีเซียน!
“สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องเล่าขาน ห่างไกลจากเจ้ามากเกินไป เมื่อใดที่เจ้าสามารถขึ้นไปสู่ยอดวิถีเซียนเหมือนกับข้าในตอนนั้นได้ บางทีอาจจะเข้าใจความลับแห่งทวยเทพก็ได้”
ชาติที่หกพูดถึงตรงนี้แล้ว น้ำเสียงก็เปลี่ยนไป เขาหัวเราะพลางกล่าว “แน่นอนว่า หากเจ้าพ่ายแพ้แก่ข้าในการแข่งขันทางภาวะจิต ก็ไม่มีโอกาสมีวันนั้น”
ซูอี้ “…”
เขาขี้เกียจจะถามเรื่องอื่น ๆ ให้มากความอีก จึงกล่าวออกมาตรง ๆ “ในเมื่อวิถีเซียนหมดหนทาง ถ้าเช่นนั้นหนทางแห่งวิถีจุติสรวงที่เจ้าหาเจอเส้นนั้นสามารถทำลายสิ่งเหล่านี้ได้เช่นนั้นหรือ?”
“ไม่ผิด!”
ชาติที่หกตอบโดยไม่ต้องคิดนาน “หนทางเส้นนี้เป็นหนทางต้องห้าม นับแต่โบราณกาลมา ใครก็ตามที่ย่างสู่หนทางเส้นนี้ ล้วนต้องวิญญาณแตกร่างดับทั้งสิ้น!”
“หนทางแห่งความตายเช่นนั้นหรือ?”
ซูอี้ตะลึงงัน
“ไม่ สำหรับคนอื่น ๆ แล้ว อาจจะเป็นหนทางแห่งความตาย แต่สำหรับเจ้าแล้วไม่ใช่ เพราะว่าหนทางเส้นนี้ล่วงละเมิดพลังของพันธสัญญาทวยเทพ!”
“แต่เจ้าควบคุมวัฏสงสาร ไม่กลัวสิ่งเหล่านี้!”
ชาติที่หกกล่าวอย่างมีเหตุมีผล
สายตาของซูอี้เปล่งประกาย “ในเมื่อเจ้าไม่เคยก้าวเข้าไป แล้วมั่นใจในจุดนี้ได้เช่นใด?”
ชาติที่หกตอบ “คำตอบอยู่บนดาบเก้าคุมขัง!”
ซูอี้อุทานอย่างคาดไม่ถึง “ดาบเก้าคุมขัง?”
ชาติที่หกกล่าวด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ “ดาบเล่มนี้… เดิมทีเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ธรรมดา ซ่อนเร้นความลับและกลไกที่ไม่มีใครรู้อยู่มากมายไม่ใช่หรือ?”
ซูอี้เห็นด้วย
ยิ่งมีระดับวิถีลึก ก็ยิ่งเข้าใจได้ว่าดาบเก้าคุมขังเป็นสมบัติล้ำค่าที่มีความลึกลับและพิเศษไม่เหมือนใคร!
………………..