บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1417: คุณประโยชน์ที่แท้จริงของมหาวิถีเวิ้งลึกล้ำ
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 1417: คุณประโยชน์ที่แท้จริงของมหาวิถีเวิ้งลึกล้ำ
ตอนที่ 1417: คุณประโยชน์ที่แท้จริงของมหาวิถีเวิ้งลึกล้ำ
“หนทางวิถีที่ล่วงละเมิดพันธสัญญาทวยเทพไม่เพียงแต่ข้าเท่านั้นที่รู้ พวกเขาก็รู้เช่นกัน”
ชาติที่หกพูดขึ้นมาอีกครั้ง
ซูอี้รู้สึกงง “พวกเขาคือใคร?”
“ห้าชาติก่อนหน้าของเจ้ากับข้า”
เสียงของชาติที่หกประหลาดไป “ตอนที่ข้ามีชีวิตอยู่ ดาบเก้าคุมขังมีตรวนเพียงแค่ห้าเส้นเท่านั้น ปิดผนึกด้วยพลังกรรมวิถีห้าแบบ ข้าเคยสืบเสาะแกะรอยของพวกเขามาหลายครั้ง พยายามที่จะหลอมรวมกับพวกเขาทุกคน…”
“เห็นได้ชัดว่าข้าพ่ายแพ้”
ชาติที่หกถอนใจยาว “จนกระทั่งมาเจอเจ้า ข้าจึงเข้าใจแล้วว่าหากต้องการจะหลอมรวมกรรมวิถีในชาติก่อน จะต้องควบคุมวัฏสงสารให้ได้เสียก่อน!”
น้ำเสียงแฝงอาการจนปัญญาและอิจฉานิด ๆ
ซูอี้ไม่ได้ใส่ใจในสิ่งเหล่านี้ ถามแต่เพียง “เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าห้าชาติที่แล้วรู้หนทางวิถีที่ล่วงละเมิดพันธสัญญาทวยเทพ?”
“ข้าเคยทดสอบมาก่อน”
ชาติที่หกกล่าว “ตอนที่ข้ามีชีวิต ขณะที่ค้นหาวิถีเส้นนี้ เคยโดนจู่โจมจากพันธสัญญาทวยเทพ!”
“นั่นเป็นภัยพิบัติที่แปลกประหลาดมาก ไม่เคยมีอยู่ในโลกา อยู่เหนือวิถีเซียน และปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน มันฟาดลงบนจิตวิญญาณของข้า เพื่อชะล้างความทรงจำของข้า ทำให้ข้าลืมวิถีที่หาเจอเส้นนั้น”
“แต่ท้ายที่สุด พลังของพันธสัญญาทวยเทพก็พ่ายแพ้ พ่ายแพ้ต่อพลังของดาบเก้าคุมขัง”
“ตอนนั้น ดาบเก้าคุมขังเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างน่าประหลาด พลังกรรมวิถีห้าแบบสั่นสะเทือนพร้อมกัน จากนั้นสะท้อนเป็นธารนทีสายยาวแห่งโชคชะตา!”
“ร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นบนธารนทีสายยาวแห่งโชคชะตา เหยียบคลื่นชะตาอยู่ใต้ฝ่าเท้า ราวกับอยู่เหนือโชคชะตาและกฎแห่งกรรม”
พูดถึงตรงนี้แล้วชาติที่หกก็อดกล่าวด้วยความตื่นตะลึงไม่ได้ “ในชั่วชีวิตนี้ของข้า เคยพบเจอธารนทีสายยาวแห่งโชคชะตา เคยพบเจอกระแสเชี่ยวกรากแห่งยุค และเคยพบเจอฮุ่นตุ้น แต่สิ่งเดียวที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนก็คือที่แท้แล้วในโลกนี้มีธารนทีสายยาวแห่งโชคชะตาอยู่จริง!”
“และไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะมีคนที่สามารถอยู่เหนือธารนทีสายยาวแห่งโชคชะตาได้!”
ขณะเดียวกัน ซูอี้นิ่งตะลึง
ครั้งนั้น เขาก็เคยเจอธารนทีสายยาวแห่งโชคชะตาเช่นกัน!
ธารนทีสายยาวเส้นนั้นพุ่งทะลักออกมาจากความว่างเปล่า ไหลไปยังหนทางแสนไกลที่ไม่มีใครรู้จักอย่างไม่จบไม่สิ้น ราวกับไม่มีวันสูญสิ้น ไร้ซึ่งจุดหมายปลายทาง
คลื่นแห่งวันเวลาเดือดพล่านอยู่ในธารนที ความเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งดำเนินอยู่ภายใน อดีต ปัจจุบัน และอนาคต เหมือนกับกำลังหมุนเวียนและผัดเปลี่ยนอยู่ในนั้น
นึกถึงขึ้นมาในตอนนี้ ซูอี้ยังคงรู้สึกตื่นตะลึง
เช่นเดียวกัน ซูอี้จำได้เป็นอย่างดีว่าตอนที่ทัศนาจารย์อยู่ในขอบเขตคืนสู่สามัญก็เคยพบเห็นเหตุการณ์เช่นนี้โดยบังเอิญเช่นกัน ทว่าท้ายที่สุดก็ผ่านพ้นไป
แตกต่างไปจากเขา ตอนนั้นเขาเคยอยู่ในห้วงธารนทีสายยาวแห่งโชคชะตาอย่างแท้จริง ถูกวันเวลาบีบรัด ถูกโหมซัดด้วยเรื่องราวต่าง ๆ ในโลก ถูกคลื่นของมหาวิถีอันไร้ขอบเขตรุมเร้า ได้แต่ลอยตัวไปมาตามแรงคลื่น…
สิ่งที่พบเห็นกับสิ่งที่รู้สึก ทำให้เขาคล้ายกับตกอยู่ท่ามกลางความคลุมเครือ ถอนตัวไม่ขึ้น
สุดท้าย อาศัยพลังแห่งวัฏสงสาร เขาจึงตื่นจากสภาวะคลุมเครือที่ถูกธารนทีสายยาวแห่งโชคชะตารุ้มเร้าเช่นนั้นขึ้นมาได้
ร่างนั้นเหยียบอยู่บนคลื่น ไม่ว่าวันเวลาจะโหมซัด หรือเรื่องใด ๆ ในโลกจะเปลี่ยนแปลง ก็ไม่อาจแตะต้องตัวอีกฝ่ายได้แม้แต่น้อย
หนักแน่นประดุจหินผา ยืนอยู่กลางธารนทีสายยาวแห่งโชคชะตา ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ยืนหยัดมั่นคงตลอดกาล!
“คนผู้นั้นที่เจ้าพูด ข้าก็เคยเจอเช่นกัน”
ซูอี้เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน “อีกทั้ง ข้ายังเคยสนทนากับอีกฝ่ายด้วย มั่นใจได้ว่าอีกฝ่ายก็คือชาติที่หนึ่งของเจ้ากับข้า”
ชาติที่หกตื่นตกใจ กล่าว “เจ้าสามารถสนทนากับอีกฝ่ายได้?”
ซูอี้พยักหน้าพลางกล่าว “เจ้าไม่เคยสนทนาด้วยหรอกหรือ?”
ชาติที่หกนิ่งเงียบไปนานมากจึงตอบ “ไม่เคย ตอนนั้น ขณะที่ข้าถูกโจมตีจากพันธสัญญาทวยเทพ ร่างนั้นปรากฏตัวในช่วงเวลาที่สั้นมาก ช่วยข้าสลายพลังของพันธสัญญาทวยเทพ จากนั้น…เพียงแค่มองข้าแวบหนึ่งจากไกล ๆ และพูดขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า มีแต่วัฏสงสารเท่านั้น จึงสามารถย่างก้าวสู่หนทางเส้นนี้”
“จากนั้นร่างก็หายลับไป”
“และก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันที่ทำให้ข้ารู้ว่า ถึงแม้หนทางวิถีที่ข้าตามหาเส้นนั้นจะถูกพันธสัญญาทวยเทพมองว่าเป็นศัตรูราวกับหนทางแห่งความตาย แต่สำหรับคนที่สามารถควบคุมวัฏสงสารได้ กลับไม่ใช่เรื่องยากเลย!”
พูดถึงตรงนี้แล้ว ชาติที่หกกล่าว “เล่าให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่ว่าเจ้าสนทนาอะไรกับคนผู้นั้น?”
เห็นได้ชัดว่าเขาอยากจะรู้เอามาก กระทั่งน้ำเสียงก็ยังแฝงไว้ซึ่งความคาดหวัง
ซูอี้คิดสักครู่ กล่าวโดยไม่ปิดบัง “เขาเคยบอกว่า เมื่อสังเกตพบสัจธรรมนิจนิรันดร์ รู้แจ้งกฎเกณฑ์แห่งโชคชะตาก็สามารถยืนหยัดอยู่บนหมื่นวิถี มองดูความเปลี่ยนแปลงของโลก สังเกตความอัศจรรย์แห่งการไหลเวียนของวันเวลา และสัมผัสความลับแห่งการแทนที่ของยุค…”
“และเคยบอกว่า เขาเสาะแสวงวิถีดาบ หลงวนเวียนในวัฏสงสาร ก้าวเดินท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของยุค ค้นหาสืบเสาะ แต่กลับไม่พบคำตอบ…”
“เป็นเพราะไร้เทียมทาน เขาจึงเป็นศัตรูกับตัวเอง สุดท้ายจึงพบว่าสิ่งที่ค้นหามีแต่ต้องเริ่มค้นหาจากวัฏสงสารเท่านั้น…”
ฟังถึงตรงนี้ ชาติที่หกอดรำพึงขึ้นมาไม่ได้ “สัจธรรมนิจนิรันดร์? กฎเกณฑ์แห่งโชคชะตา? มองดูโลกกว้าง สัมผัสความลับแห่งการเปลี่ยนแปลงของยุค? นี่ไม่ใช่พลังที่ว่ากันว่ามีแต่ ‘ทวยเทพ’ เท่านั้นจึงสามารถควบคุมได้หรอกหรือ?”
“ไม่ใช่สิ พลังของเทพอาจจะสามารถทะลุผ่านอดีต ปัจจุบัน อนาคต และอาจจะอยู่เหนือยุคได้ แต่ ไม่มีทางควบคุมโชคชะตาได้! และไม่มีทางเป็นอมตะชั่วนิจนิรันดร์!”
ซูอี้ฟังแล้วงงไปหมด
ไม่รอให้เขาได้ถามอีก ชาติที่หกก็ถามขึ้นอีกครั้ง “เขา…ยังพูดอะไรอีก?”
น้ำเสียงเร่งเร้าขึ้น แฝงด้วยความหวัง
เหมือนกับว่าคำพูดของคนผู้นั้นสามารถแก้ปริศนาข้อสงสัยที่รุมเร้าใจเขามาโดยตลอดได้
ซูอี้คิดสักครู่กล่าว “เขาเคยทอดถอนใจว่า ผู้ที่กระจ่างในวัฏสงสารสามารถมองเห็นมุมหนึ่งของโชคชะตาในวัฏสงสาร อย่างเฉินซีไม่ได้โกหกข้า!”
เฉินซี?
ชาติที่หกตะลึง ใครกัน?
แต่เขาสกัดกลั้นไว้ไม่ยอมถาม
ซูอี้กล่าวต่อ “ตามที่คนผู้นั้นกล่าว เป็นเพราะข้ากระจ่างในวัฏสงสารจึงสามารถเปิดมุมหนึ่งของโชคชะตาได้ ทำให้ข้าอยู่ห่างจากเขาเพียงแค่มีวัฏสงสารกีดกั้น ได้พบกันบนธารนทีสายยาวแห่งโชคชะตา”
“เขายังบอกอีกว่า เขาคือผู้ริเริ่มการวนเวียนในวัฏสงสาร”
ฟังถึงตรงนี้ เห็นได้ชัดว่าชาติที่หกไม่อาจสงบใจได้อีกต่อไป กล่าว “หมายความว่า เขาคือชาติที่หนึ่งจริง ๆ และก็เป็นเจ้าของดาบเก้าคุมขังเช่นนั้นหรือ?”
ซูอี้พยักหน้าพลางตอบ “ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน”
“ยืนหยัดอยู่บนธารนทีสายยาวแห่งโชคชะตา มีความเป็นนิจนิรันดร์ เหตุใดเขาจึงกลับสู่วัฏสงสารอีก? ที่แท้แล้วเขากำลังเสาะหาอะไรกันแน่?”
ชาติที่หกกล่าวพึมพำกับตัวเองด้วยความสับสน
ซูอี้กล่าวตามที่รู้สึก “ข้าก็อยากจะรู้เช่นกัน แต่เสียดาย ตอนนั้นเขากล่าวแต่เพียงว่า เก้าคือตัวเลขสูงสุด ตอนนั้นที่เขาใช้วัฏสงสารกลับชาติเกิดใหม่ เริ่มการเดินทางเพื่อเสาะหาหนทางวิถีที่สูงส่งยิ่งกว่า เป็นคนเดียวที่ค้นพบวัฏสงสาร วกไปวกมาก็วกสู่ความเป็นหนึ่ง ทุกอย่างย้อนกลับสู่ตำแหน่งเดิม กลายเป็นวัฏสงสารที่วนเวียนจนครบหนึ่งรอบ”
“ตามที่เขากล่าวมา ทั้งหมดนี้ไม่ได้ถูกกำหนดขึ้นมาแต่แรก แต่เกิดขึ้นเพราะการบรรจบพบกันของโอกาสและเหตุต้นผลกรรม”
“และก็เป็นเพราะเหตุนี้ ในครั้งนั้นข้าจึงมีโอกาสได้พบมุมหนึ่งของโชคชะตาในวัฏสงสาร”
“แน่นอน หากว่าข้าดับสิ้นไปเพียงเท่านี้… ทุกอย่างก็อาจจะจบสิ้น”
ชาติที่หกตื่นตระหนก “ทุกอย่างจบสิ้น? เจ้าคงไม่ได้เอาชื่อคนผู้นั้นข่มขู่ให้ข้าตกใจหรอกกระมัง?”
ซูอี้หัวเราะพลางกล่าว “ข้ายังไม่ถึงกับต้องแอบอ้างชื่อคนอื่นหรอก”
ชาติที่หกนิ่งเงียบไปชั่วครู่ กล่าว “ข้าเข้าใจแล้ว เป็นเพราะเจ้าควบคุมวัฏสงสาร จึงได้พบเห็นมุมหนึ่งของโชคชะตา ได้พบกับร่างของชาติที่หนึ่งบนธารนทีสายยาวแห่งโชคชะตา”
“ส่วนชาติก่อนหน้าอื่น ๆ ไม่ได้ควบคุมความลับแห่งวัฏสงสาร จึงไม่อาจพบกับตัวเองในครั้งแรกสุดบนธารนทีสายยาวแห่งโชคชะตาได้!”
พูดถึงท้ายที่สุด ชาติที่หกอดทอดถอนใจไม่ได้ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรันทด
อย่างไรเสียหัวใจสำคัญก็อยู่ที่ว่าสามารถควบคุมวัฏสงสารได้หรือไม่!
“ที่ข้าบอกสิ่งเหล่านี้แก่เจ้า ไม่ใช่เพราะต้องการจะข่มขู่ และไม่ได้พูดให้กลัว แต่เป็นเพราะอยากจะให้เจ้าเข้าใจว่า หากข้าตาย ชาติก่อน ๆ ที่ผ่านมาก็จะดับสลายไปด้วยเช่นกัน”
ซูอี้กล่าว “แน่นอน เจ้าจะเข้าใจว่านี่เป็นวิชาที่ข้าใช้ควบคุมจิตใจของเจ้าก็ได้ แต่สิ่งที่ข้ากล่าวมาทั้งหมดล้วนเป็นความจริง และแน่นอนเจ้าจะไม่เชื่อก็ได้”
ชาติที่หกไม่โต้เถียง
เขานิ่งเงียบไปนานมากจึงกล่าว “เขา…ยังพูดอะไรอีก?”
ซูอี้ส่ายหน้าพลางกล่าว “ไม่ได้พูดอะไรอีก ตอนนั้น เขาเพียงแค่ควานเคล็ดพลังมหาวิถีที่มีชื่อว่า ‘วิถีเวิ้งลึกล้ำ’ ขึ้นมาจากธารนทีสายยาวแห่งโชคชะตาและมอบให้แก่ข้า บอกว่าเป็นการช่วยเหลือข้าและก็เป็นการช่วยตัวเขาเองด้วย”
“วิถีเวิ้งลึกล้ำ? มหาวิถีเช่นนี้มีความพิเศษอันใดเช่นนั้นหรือ?”
ชาติที่หกอดถามขึ้นมาไม่ได้
ซูอี้ตอบ “ตามที่เขากล่าว มันสามารถหยุดเหตุต้นผลกรรมและยับยั้งอายุขัย เวลาที่ข้าย่างก้าวสู่หนทางราชันแห่งภูมิ สามารถสร้างภาวะจิตแห่ง ‘การหลุดพ้น’ ไม่อยู่ในความควบคุมของวัฏสงสารและเหตุต้นผลกรรม”
“หยุดเหตุต้นผลกรรมและยับยั้งอายุขัย!”
ชาติที่หกร้องตะโกนเสียงดัง “เช่นนี้… เท่ากับเจาะจงมาที่ข้า! ไม่สิ เจาะจงกรรมวิถีในชาติก่อน ๆ ที่ถูกคุมขังอยู่ในดาบเก้าคุมขังเล่มนี้ต่างหาก!”
“ข้าเข้าใจแล้ว ชาติที่หนึ่งกำลังเบิกทางให้แก่เจ้า อาศัยแก่นแท้เวิ้งลึกล้ำ เจ้าไม่ต้องอยู่ในความควบคุมของชาติก่อน ๆ อีก ตัดขาดความเป็นไปได้ทั้งหมดที่ชาติก่อน ๆ จะแทนที่เจ้า!!”
ชาติที่หกหมดสิ้นความหวัง ทั้งโกรธ ทั้งผิดหวัง และยังรู้สึกเจ็บใจอย่างแรง
เขาคิดมาตลอดว่าจะแทนที่ซูอี้ และไม่เคยปิดบังความคิดของตัวเขาเอง
ทว่าตอนนี้ เขาเพิ่งรู้ว่าชาติที่หนึ่งได้เบิกทางให้ซูอี้ก่อนแล้ว! ขจัดความเป็นไปได้ที่ชาติอื่น ๆ จะแทนที่ซูอี้!
ซูอี้รู้สึกสะท้านใจมากเช่นกัน
ตอนแรกที่เขาพูดถึงแก่นแท้เวิ้งลึกล้ำ ไม่ได้คิดเลยว่าจะเป็นเช่นนี้
แต่พอฟังคำของชาติที่หกแล้ว เขาก็เข้าใจเช่นกันว่าแก่นแท้เวิ้งลึกล้ำที่ชาติที่หนึ่งถ่ายทอดให้แก่ตนเองในตอนแรก ที่แท้แล้วมีเจตนาเช่นนี้รวมอยู่ด้วย!
หยุดเหตุต้นผลกรรม ยับยั้งอายุขัย…
สิ่งที่หยุดไม่ใช่เหตุต้นผลกรรมที่ตนเองพบเจอในชาตินี้ แต่เป็นเหตุต้นผลกรรมในชาติก่อน ๆ ของตนเอง จากนั้นยับยั้งชาติก่อน ๆ แทนที่ตัวเอง!
ณ ตอนนี้ ซูอี้เบิกบานใจขึ้นมาและอดไม่ได้ที่จะแอบละอายใจ
หากไม่ใช่เพราะวันนี้ได้พูดคุยกับชาติที่หก เขาก็ยังคงไม่เข้าใจเจตนาของชาติที่หนึ่ง!
“มิน่าเล่าเจ้าจึงไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด ที่แท้แล้วเป็นเพราะมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมนี่เอง”
นิ่งเงียบไปนาน เสียงของชาติที่หกทุ้มต่ำแฝงด้วยความเหน็บแนม
ซูอี้ส่ายหน้าพลางกล่าว “ข้าไม่กลัวที่จะช่วงชิงแห่งภาวะจิตกับเจ้าจริง ๆ จัง ๆ สักครั้ง และไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะใช้แก่นแท้เวิ้งลึกล้ำสยบเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ เมื่อข้าหลอมรวมกรรมวิถีของเจ้าแล้ว เจ้าก็จะสามารถเข้าใจได้เอง”
เขาไม่เคยคิดที่จะทำเช่นนี้มาก่อน!
ความทะนงของเขา จิตวิถีของเขา วิถีดาบที่เขาแสวง ก็ไม่มีทางยอมให้เขาทำเช่นนี้ด้วยเช่นกัน!
ชาติที่หกไม่โต้แย้ง
แสงลำหนึ่งสว่างขึ้นกลายเป็นตราประทับปรากฏต่อหน้าซูอี้
“ภายในนี้บันทึกความลี้ลับแห่งการย่างก้าวสู่หนทางวิถีเส้นนั้น สำหรับคนอื่น ๆ แล้วเป็นหนทางแห่งความตาย แต่สำหรับเจ้า มันคือหนทางต้องห้าม… ที่พันธสัญญาของทวยเทพมองว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจ!”
………………..