บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1418: แปรสามัญ แปรสัจธรรม และแปรสุญตา!
ตอนที่ 1418: แปรสามัญ แปรสัจธรรม และแปรสุญตา!
………………..
ตอนที่ 1418: แปรสามัญ แปรสัจธรรม และแปรสุญตา!
ตราประทับนั้นลอยอยู่ตรงหน้าซูอี้
เสียงของชาติที่หกดังขึ้นอีกครั้ง “นี่แตกต่างจากวิถีจุติสรวงโดยสิ้นเชิง นับแต่พันธสัญญาแห่งทวยเทพปรากฏขึ้นเหนือสรวง ไม่ว่าจะเป็นโลกเซียนหรือโลกมนุษย์ก็ไร้ผู้ใดก้าวสู่วิถีนี้ได้”
“วิถีนี้ก็มีสามขอบเขตเช่นกัน แต่แก่นการฝึกฝนของแต่ละขอบเขตนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง”
“สามขอบเขตนี้เรียกได้ว่าแปรสามัญ แปรสัจธรรม และแปรสุญตา!”
“แปรสามัญนั้นเทียบได้กับขอบเขตจิตทารก มันมิใช่การสะบั้นวิถีเต๋ากลายเป็นสามัญชนแต่อย่างใด แต่เป็นการหล่อหลอมกรรมวิถีของตนเข้ากับจิตทารก”
“เมื่อทำเช่นนั้น จิตทารกก็จะเปรียบดั่งมาตุภูมิต้นกำเนิดจักรวาลในตัว ก่อเกิดวิถีนับหมื่น กว้างใหญ่เกินคาดคะเน ไม่อาจบรรยายด้วยวิธีใด”
“เมื่อทำเช่นนี้ พลังปราณบนร่างก็จะแทบไม่มีเหลือ ในสายตาคนนอกจึงดูเหมือนสามัญชน ทว่าร่างสามัญนี้กลับเทียบชั้นเทพเซียนได้!”
ซูอี้อดประหลาดใจไม่ได้
ขอบเขตจิตทารกนั้นใช้ร่างวิถีเป็นรากแก้ว จิตวิญญาณเป็นกิ่งก้าน อำนาจมหาวิถีเป็นแหล่งกำเนิด ยิ่งขัดเกลาจิตทารกคุณภาพสูง พื้นฐานยิ่งแข็งแกร่งทรงพลัง
ถึงยามนั้น โลกภูมิไร้จำกัดในร่างของเขาก็จะก่อกำเนิดแก่นวิญญาณ สร้างพลังชีวิตภายในโลกภูมิไร้จำกัดอย่างแท้จริง
ด้วยพลังชีวิตนี้ โลกภูมิไร้จำกัดในร่างก็จะก่อเกิดสารพัดการแปรผัน เช่นการเปลี่ยนแปรแดนดิน วัฏจักรตะวันจันทรา หมู่ดาวเคลื่อนคล้อย ฟ้าดินผันเปลี่ยน สี่ฤดูเวียนบรรจบ…
จิตวิญญาณต้นกำเนิดนี้เองที่เป็น ‘จิตทารก’
คำว่าจิตก็คือแก่นแท้แห่งจิตวิญญาณ ทารกนั้นก็คือที่มาแห่งจิตต้นกำเนิด
เมื่อจิตทารกสมบูรณ์ การจุติสรวงก็เป็นจริง
นี่คือที่มาของสมญา ‘ยอดคนจุติสรวง’
จากคำกล่าวของชาติที่หก นี่เป็นวิถีจุติสรวงอันแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง แม้จะเป็นการสร้างจิตทารกเหมือนกัน ทว่ามันคือการบดขยี้โลกภูมิไร้จำกัดในร่างของเขา แปรเปลี่ยนเป็นมาตุภูมิกำเนิดจักรวาล และหลอมรวมมันเข้ากับจิตทารก!
แทนที่จะกลืนกินจิตทารกเข้าไปในโลกภูมิไร้จำกัด
สองขอบเขตนี้ต่างกันโดยสิ้นเชิง!
“ข้าไม่เคยประจักษ์แก่สัจธรรมอันน่าอัศจรรย์นี้มาก่อน แต่ข้ารู้ว่ามีเพียงการใช้กรรมวิถีทั้งหมดหลอมรวมกับจิตทารกเท่านั้น ข้าจึงสามารถสร้างรากแห่งฟ้าดินอันเก่าแก่โบราณที่สุดในวิถีจุติสรวงของข้าได้!”
ชาติที่หกกล่าว “ก่อนเลื่อนวิถี สิ่งที่ต้องทำก็แค่หลอมรวมโลกภูมิไร้จำกัดเข้ากับร่างของเจ้าให้ได้โดยสมบูรณ์ มีเพียงทางนี้ที่เจ้าจะมีโอกาสสร้างจิตทารกกำเนิดจักรวาลแทนที่โลกภูมิไร้จำกัดได้ยามเข้าสู่วิถีจุติสรวง”
“มันคือการทำลายก่อนแล้วจึงก่อ”
ม่านตาของซูอี้หดตัว
หลอมรวมโลกภูมิไร้จำกัดในร่าง?
นั่นมันไม่ต่างจากทำลายตัวเองเลย!
กล่าวคือ หากผู้พูดเป็นผู้อื่น ซูอี้จะสงสัยแน่นอนว่าอีกฝ่ายมีเจตนาร้าย
ทว่าในเมื่อผู้พูดคือชาติที่หกของเขาเอง ดังนั้น เกรงว่าคงมีความลับอื่นซุกซ่อนอยู่จริง ๆ!
“ในตราประทับนั่นคือปริศนาทั้งหมดที่ข้าอนุมานได้เมื่อกาลก่อน และหลังจากเข้าใจมันอย่างถ่องแท้แล้ว เจ้าก็ประกอบกับประสบการณ์ความเข้าใจวิถีจุติสรวงของข้า แล้วจะรู้เองว่าจะเคลื่อนวิถีเช่นไร”
ชาติที่หกกล่าวต่อ “ต้องจำไว้ว่าเมื่อพยายามเลื่อนขอบเขตก้าวสู่วิถีนี้ เจ้าจะถูกโจมตีโดยพันธสัญญาแห่งทวยเทพแน่นอน”
“ทว่าเจ้าถือครองวัฏสงสาร และยังมีดาบเก้าคุมขังอยู่ เพียงพอจะทะลวง ‘ทางตัน’ นี้ออกไปได้”
ซูอี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง และกล่าวว่า “จากที่เจ้าว่า ข้ารู้สึกจริง ๆ ว่าประสบการณ์ก้าวสู่ขอบเขตแปรสามัญนั้นคล้ายมหาวิถีเวิ้งลึกล้ำอยู่”
ชาติที่หกผงะไป เอ่ยถามว่า “จริงหรือ?”
ก่อนหน้านี้ เขารู้ว่าชาติแรกได้สอนมหาวิถีหนึ่งนามว่าเวิ้งลึกล้ำแก่ซูอี้ ซึ่งสามารถสะบั้นผลกรรมห้ามชะตาได้!
แต่เขามิคาดเลยว่ามหาวิถีเช่นนี้จะคล้ายคลึงกับการฝึกฝนขอบเขตแปรสามัญ
“เจ้าดูแล้วจะรู้เอง”
ใจซูอี้คำนึง และปราณมหาวิถีสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่ปลายนิ้ว
มหาวิถีนี้เจิดจรัสเยี่ยงอรุณรุ่ง ไพศาลราวธารดาราเก้าสวรรค์ โบราณบ้าคลั่งเยี่ยงฮุ่นตุ้นแรกกำเนิด
สีของมันฟ้าครามเยี่ยงท้องนภาต้นวสันตฤดู กระจ่างใสสูงส่งไร้ด่างพร้อย
นี่คือปราณของมหาวิถีเวิ้งลึกล้ำ!
ชาติที่หกสัมผัสมันอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะพึมพำออกมา
“แปรสามัญ เปลื้องเปลือกนอกเลือนหาย หวนคืนสู่จิตทารกดุจหมื่นวิถีคืนเหย้า อำนาจยิ่งใหญ่เช่นนี้เป็นดั่งต้นกำเนิดเหตุพลิกผันทั้งมวล มาตุภูมิแห่งสารพันปริศนา…”
“เหมือน เหมือนกันมากจริง ๆ!”
“ข้าแน่ใจว่าหลังจากพิสูจน์เต๋าเคลื่อนวิถี การใช้มหาวิถีเช่นนี้จะมีบทบาทเหลือเชื่อในการสร้างพื้นฐาน!”
เมื่อกล่าวเช่นนี้ น้ำเสียงของชาติที่หกก็ดูซับซ้อน “ไฉนข้าจึงรู้สึกว่ายามเจ้าได้รับมหาวิถีเวิ้งลึกล้ำจากชาติแรกกาลก่อน เขาก็คาดไว้แล้วกันนะว่าจะมีวันนี้ แล้วกรุยทางให้เจ้าล่วงหน้า?”
ซูอี้ผงะตะลึง
เขาฟังออกชัดเจนว่าน้ำเสียงของชาติที่หกเจือความริษยาและขมขื่น!
“เป็นร่างเวียนวัฏเหมือนกันแท้ ๆ แต่เขาทำลายผลกรรม ห้ามชะตาเพื่อเจ้า… ซ้ำยังกรุยทางให้เจ้าเดินทางสู่วิถีจุติสรวงอีก… นี่…ยุติธรรมแล้วหรือ!?”
ชาติที่หกไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
ซูอี้อดเสสรวลกล่าวไม่ได้ “ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นคนเดียวกัน เจ้าทำตนเช่นนี้แย่ไปหน่อย ดูไม่เหมือนจอมราชันย์วิถีเซียนเลยนะ”
“ข้าผู้นี้กลายเป็นกรรมวิถี ถูกผนึกในดาบเก้าคุมขังไปแล้ว ยังจะมาเหมือนจอมราชันย์วิถีเซียน***อันใดอีก!”
ชาติที่หกเดือดดาลเสียจนระเบิดคำหยาบคาย
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการรับรู้ว่าชาติแรกกระทำสิ่งใดกับซูอี้บ้างทำให้ชาติที่หกเสียอาการโดยสมบูรณ์
ซูอี้สิ้นวาจา “…”
จู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่าภาพตรงหน้าเขาช่างน่าขันนัก ราวกับชาติที่หกกำลังตีอกชกลม สิ้นความน่าเกรงขาม…
ครู่ต่อมา ชาติที่หกก็รำพัน “ข้าเสียอาการเอง ข้าก็รู้เหตุผลว่าที่ชาติแรกกระทำเช่นนี้ก็เพราะเจ้าเป็นผู้เดียวในหมู่ร่างเวียนวัฏที่ควบคุมวัฏสงสารด้วยตนเอง และเพราะเช่นนี้ เจ้าจึงเปิดมุมหนึ่งแห่งชะตา พานพบชาติแรกบนธารสายยาวแห่งโชคชะตา และได้รับความช่วยเหลือเช่นนี้ได้”
ซูอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “อย่าพูดถึงความช่วยเหลือเหล่านี้เลย ข้ามิเคยคิดว่าจะมีผู้ใดกรุยทางให้ข้า หากเจ้าไม่สะดวกใจ ยามข้าหลอมรวมกรรมวิถีของเจ้า เราประลองกันบนสมรภูมิจิตใจได้”
“เหมือนเช่นเจ้าว่า รอดูกันว่าท้ายที่สุดผู้ใดจะกำชัย!”
วาจานั้นตรงไปตรงมาและเยือกเย็น ทะนงอย่างเปิดเผย
ชาติที่หกกล่าวสั้น ๆ คำเดียว “ดี!”
……
ช่วงกาลต่อมา ซูอี้เก็บตัวฝึกฝน
ภูเขาจันทร์กระจ่างสงบเงียบ
ในโลกภายนอก การแปรเปลี่ยนของฟ้าดินนั้นทวีความเร็ว
จนกระทั่งครึ่งเดือนต่อมา อำนาจกฎเกณฑ์ทั่วฟ้าดินก็มิอาจหยุดยั้งวิญญาณอาสัญขอบเขตจุติมงคลได้อีก
และวิถีจุติสรวงก็ปรากฏขึ้นในกฎสวรรค์โดยสมบูรณ์
มันเร็วกว่าที่ม่อชิงโฉวกล่าวไว้ในยามแรกครึ่งเดือน!
ตลอดกาลนานมา ไม่อาจทราบได้ว่ามีราชันแห่งภูมิขอบเขตไร้ขีดจำกัดต้องสิ้นวิถีในจักรวาลพร่างดาวนี้มากมายเพียงไร
และยามนี้ เมื่อวิถีจุติสรวงหวนปรากฏ ทั่วทุกมุมโลกหล้าจึงมีผู้อยู่ในวิถีจุติสรวงเต็มไปหมด!
ภาพนี้ตระการตาราวดอกเห็ดผลิบาน
สถานการณ์ทั่วจักรวาลพร่างดาวปั่นป่วน วายุกระโชกโหมคลั่ง
“นี่คือการเปลี่ยนแปลงอย่างมหันต์ซึ่งมิเคยเกิดขึ้นนับแต่ยุคสิ้นกฎเกณฑ์! คิดเสียว่าเป็นการมาแห่งยุคทอง!”
“โลกหล้าแปรเปลี่ยนแล้ว ไม่ว่าจะสุดโต่งมากน้อยเพียงไร มันก็สั่งสมความเงียบงันมาตลอดกาลจนระเบิดเป็นเหตุพลิกผันรุนแรงเจิดจรัสเพียงนี้ ผู้ฝึกตนในยุคสมัยนี้ช่างโชคดี!”
“ยอดคนจุติสรวงที่แท้จริงจะเทียบกับวิญญาณอาสัญเหล่านั้นได้เช่นไร? เมื่อกาลผ่าน ข้อได้เปรียบของกลุ่มเต๋าโบราณเหล่านั้นจะหายไปทีละน้อย!”
“เว้นแต่พวกเขาจะทำลายคำสาปบนร่างได้!”
“อา นั่นขึ้นกับว่าใต้เท้าทัศนาจารย์จะยินยอมหรือไม่!”
…โลกหล้าครึกครื้นอื้ออึง และในเขตหวงห้ามเซียนละล่องก็ไร้ความสงบ
เพราะวิญญาณอาสัญวิถีเซียนปรากฏตัวขึ้นตาม ๆ กัน!
ตัวตนระดับนี้ไม่ต้องการอยู่เฉยแล้ว แม้จะมิอาจออกสู่โลกภายนอกได้ แต่พวกเขาก็สามารถปรากฏกายสัญจรไปมาในเขตหวงห้ามสิ้นเซียนได้!
ตระกูลม่อ
วิญญาณอาสัญวิถีเซียน ‘ม่อซิงหลิน’ เองก็ปรากฏกายได้
เขาสวมอาภรณ์สีเงิน สวมมงกุฎและเข็มขัด ใบหน้าดุจมงกุฎหยกเยี่ยงชายหนุ่ม มีเพียงดวงตาที่เผยความแปรเปลี่ยนแห่งกาล
“ชิงโฉว มีข่าวการเคลื่อนขอบเขตเลื่อนขั้นของสหายเต๋าซูบ้างหรือไม่?”
ในโถงใหญ่ ม่อซิงหลินเอ่ยถามเบา ๆ
ม่อชิงโฉวส่ายหน้ากล่าว “เมื่อไม่กี่วันก่อน ข้าเดินทางไปยังภูเขาจันทร์กระจ่างด้วยตนเอง และได้รู้ว่าสหายเต๋าซูเก็บตัวฝึกฝนไปหนึ่งเดือนก่อน ยังไร้ข่าวคราว ณ ยามนี้”
ม่อซิงหลินขมวดคิ้วเล็กน้อย “สหายเต๋าซูเหลือเวลาไม่มากแล้ว”
ช่วงนี้ วิญญาณอาสัญวิถีเซียนปรากฏตัวขึ้นตาม ๆ กันในเขตหวงห้ามเซียนละล่อง และออกคำขู่จะตามคิดบัญชีกับซูอี้ในภายหน้า
มีกระทั่งข่าวว่าขุมกำลังโบราณซึ่งเป็นปรปักษ์กับซูอี้ได้ร่วมมือกัน วางแผนล้างแค้นซูอี้อยู่!
“ท่านบรรพชน มิใช่ท่านบอกหรือเจ้าคะว่ายังมีเวลาอีกราว ๆ สองเดือนก่อนที่วิญญาณอาสัญวิถีเซียนจะปรากฏตัวสู่โลกหล้า?”
ม่อชิงโฉวอดกล่าวมิได้
“ไม่หรอก นี่เป็นเพียงการคาดเดา ความเร็วของการแปรเปลี่ยนฟ้าดินกำลังเร่งเร็ว ข้าสงสัยว่ามันจะมิถึงสองเดือนหรอก วิญญาณอาสัญวิถีเซียนจะปรากฏตัวนอกเขตหวงห้ามเซียนละล่องได้”
เค้าความโศกปรากฏบนสีหน้าม่อซิงหลิน “เรื่องสำคัญที่สุดในยามนี้คือ เมื่อใช้สมบัติลับบางอย่าง วิญญาณอาสัญวิถีเซียนบางตนก็ซ่อนปราณออกไปยังโลกภายนอกโดยไม่ต้องกลัวกฎสวรรค์ได้แล้ว!”
หัวใจของม่อชิงโฉวเต้นกระตุก
นางจำได้ว่าเมื่อกาลก่อน เหล่าวิญญาณอาสัญขอบเขตจุติมงคลก็ปรากฏตัวบนโลกหล้าโดยใช้สมบัติลับเช่นกัน!
มิต้องสงสัยเลยว่าวิญญาณอาสัญวิถีเซียนก็ใช้วิธีนี้ได้เช่นกัน
แม้ความแข็งแกร่งจะถูกสะกดไว้อย่างรุนแรง แต่อย่าลืมว่านี่เป็นวิญญาณอาสัญวิถีเซียน!
ร้ายกาจเหนือชั้นกว่าเจตจำนงเซียนมากนัก!
“เจ้าเอาเรื่องนี้ไปบอกสหายเต๋าซู บอกให้เขาระวังไว้อย่าเลินเล่อ”
ม่อซิงหลินตัดสินใจ “เซียนเหล่านี้ล้วนไร้เมตตา พวกเขาจะทำทุกอย่างเพื่อล้างแค้น!”
“เจ้าค่ะ!”
ม่อชิงโฉวรับคำสั่งและมิกล้าโอ้เอ้
ยามนี้เอง บ่าวเฒ่าผู้หนึ่งก็รีบร้อนเข้ามา
“ท่านบรรพชน คนผู้หนึ่งเรียกตนว่า ‘บ่าวจารึกศิลา’ มาเยือน พร้อมแบกศิลาหลุมศพไร้คำสลักมาด้วยชิ้นหนึ่งขอรับ!”
สีหน้าของบ่าวเฒ่าดูบูดเบี้ยว
บ่าวจารึกศิลา!
ม่อซิงหลินพลันผงะ “คนจากสำนักเซียนฝังวิญญาณยังมีชีวิตอยู่หรือ?!”
นัยน์ตาเรืองประกายของม่อชิงโฉวเกร็งนิ่ง ใบหน้างดงามของนางแปรเปลี่ยนกะทันหัน
สำนักเซียนฝังวิญญาณ
ขุมกำลังผู้ฝึกตนวิญญาณเกี่ยวข้องกับผีดิบอันเป็นที่รู้จักดีในโลกเซียน ภูมิหลังเก่าแก่โบราณอย่างยิ่ง และเซียนในสำนักล้วนแต่เป็นเซียนวิญญาณ!
และ ‘บ่าวจารึกศิลา’ ที่ว่านั้นคือตำแหน่งหนึ่งในสำนักเซียนฝังวิญญาณ เปรียบได้กับผู้ส่งสาส์นของสำนัก
จากกฎระเบียบของสำนักเซียนฝังวิญญาณ ขอเพียงบ่าวจารึกศิลาเคลื่อนไหว มันหมายถึงการประกาศศึก!
เมื่อบ่าวจารึกศิลาส่งศิลาหลุมศพสลักสาส์นประกาศศึกมาถึงหน้าประตู มันหมายความว่าหากมิตายจะมิเลิกรา!
………………..