บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1419: วิญญาณอาสัญวิถีเซียนเข่นฆ่าถึงแดนเหย้า!
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 1419: วิญญาณอาสัญวิถีเซียนเข่นฆ่าถึงแดนเหย้า!
ตอนที่ 1419: วิญญาณอาสัญวิถีเซียนเข่นฆ่าถึงแดนเหย้า!
นอกประตูเรือนตระกูลม่อ
ชายชราชุดดำเส้นผมและหนวดเคราขาวโพลนผู้หนึ่งยืนแบกศิลาหลุมศพอันไร้คำจารึกอยู่
บ่าวจารึกศิลาแห่งสำนักเซียนฝังวิญญาณ เยว่ฉี!
“ผู้อาวุโสมากระทำการใดที่นี่หรือ?”
ม่อชิงโฉวก้าวออกมาจากประตูเรือน นัยน์ตาพร่างดาวเย็นชา
“ตาเฒ่าไร้ค่าผู้นี้ได้รับบัญชาเจ้าสำนักให้มาส่งสาส์น”
เยว่ฉีนำม้วนหยกม้วนหนึ่งส่งให้ในอากาศ “หลังเซียนม่ออ่านแล้ว โปรดให้คำตอบอย่างชัดเจนด้วย”
กล่าวจบ เขาก็ชี้ศิลาหลุมศพบนบ่าของเขา กล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ทัศนคติของตระกูลม่อจะเกี่ยวข้องกับอนาคตที่ ‘แท่นศิลาไว้อาลัย’ นี้ว่าต้องมีคำสลักหรือไม่”
“เจ้ารอตรงนี้แหละ!”
ม่อชิงโฉวแค่นเสียงอย่างเย็นชา ก่อนจะนำม้วนหยกเดินเข้าเรือนไป
……
“สำนักเซียนฝังวิญญาณจะรังแกกันเกินไปแล้ว!”
ณ โถงหลักตระกูลม่อ บรรยากาศเงียบขรึมกดดัน สีหน้าเหล่าผู้ทรงอำนาจล้วนมืดดำ
พวกเขาล้วนอ่านเนื้อหาในม้วนหยกกันหมดแล้ว
เหตุผลนั้นเรียบง่าย
เจ้าสำนักเซียนฝังวิญญาณเฟิงจิ้งไห่ร่วมมือกับตระกูลหงเชื้อสายมารสวรรค์ ขุมอำนาจเซียนตระกูลฝูและหอเซียนดาบมายา โรงดาบเทพลี้ลับและขุมกำลังใหญ่อื่น ๆ ประกาศว่าต้องการทุ่มกำลังทั้งหมดในเขตหวงห้ามเซียนละล่องจัดการกับซูอี้ด้วยกัน!
และยามนี้ เฟิงจิ้งไห่ส่งบ่าวจารึกศิลาเยว่ฉีมาส่งสาส์น เหตุเพราะต้องการให้ตระกูลม่อตัดสัมพันธ์กับซูอี้ เลือกร่วมมือกับสำนักเซียนฝังวิญญาณแทน
หากตระกูลม่อปฏิเสธ พวกเขาจะถูกถือเป็นศัตรูร่วมของเขตหวงห้ามเซียนละล่อง!
บางผู้ไม่พอใจ
“หากเป็นแค่สำนักเซียนฝังวิญญาณก็จัดการง่าย ปัญหาในยามนี้ก็คือขุมกำลังใหญ่ซึ่งเคียดแค้นสหายเต๋าซูร่วมมือกับสำนักเซียนฝังวิญญาณแล้ว ทั่วเขตหวงห้ามเซียนละล่องนี้ ใครเล่าจะกล้าเป็นปรปักษ์?”
บางผู้เป็นกังวล
“ข้ามิคาดเลยจริง ๆ ว่าไอ้แก่เฟิงจิ้งไห่นี่จะยังอยู่…”
บางผู้ดูเคร่งเครียด
เฟิงจิ้งไห่ เจ้าสำนักเซียนฝังวิญญาณเป็นเซียนวิญญาณโดยแท้จริง!
กลุ่มเต๋าโบราณเหล่านั้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นขุมกำลังผู้ฝึกตนในแดนมนุษย์ ทว่าสำนักเซียนฝังวิญญาณนั้นแตกต่าง พวกเขามาจากโลกเซียน
ด้านมรดกสืบทอด หาด้อยไปกว่าพวกเขาตระกูลม่อไม่!
และเจ้าสำนักเฟิงจิ้งไห่ผู้นี้ก็เป็นเซียนวิญญาณผู้ลือนามในโลกหล้ามาแต่โบราณในฐานะยักษ์ใหญ่สูงสุดในวิถีวิญญาณ
และยังเป็นตัวตนชั้นนำในหมู่วิญญาณอาสัญวิถีเซียน ณ เขตหวงห้ามเซียนละล่องนี้อีกด้วย!
“ในโลกเซียน เฟิงจิ้งไห่นั้นหาสลักสำคัญไม่ ทว่าในแดนมนุษย์นี้ ความแข็งแกร่งของเขาสูงล้ำเป็นเลิศในหมู่วิญญาณอาสัญวิถีเซียน”
ม่อซิงหลินขมวดคิ้ว “ยิ่งมิต้องพูดถึงว่าหากเขาร่วมมือกับวิญญาณอาสัญวิถีเซียนอื่น ๆ ย่อมไร้ผู้ใดในเขตหวงห้ามเซียนละล่องนี้ต่อกรพวกเขาได้จริง ๆ”
วาจานี้ทำให้หัวใจของทุกผู้ดิ่งร่วง
“ท่านบรรพชน งั้นเราควรทำเช่นไรดีเจ้าคะ?”
ม่อชิงโฉวอดถามไม่ได้
ม่อซิงหลินนวดขมับแล้วเงียบไป
หัวใจของทุกผู้ในตระกูลม่อเต้นกระตุก
ทุกผู้ต่างรู้ว่าการตัดสินใจนี้สำคัญ เป็นตัวตัดสินว่าพวกเขาตระกูลม่อจะกลายเป็นศัตรูร่วมของทุกผู้ในเขตหวงห้ามเซียนละล่องนี้หรือไม่!
ครู่ต่อมา ม่อซิงหลินก็สูดหายใจลึก ๆ นัยน์ตาฉายประกายมุ่งมั่น กล่าวขึ้นว่า “ชิงโฉว เจ้าไปนำสมบัติเซียน ‘เรือเคลื่อนนภา’ พาทุกคนในตระกูลออกจากเขตหวงห้ามเซียนละล่อง ไปรวมตัวกับสหายเต๋าซูที่เขาจันทร์กระจ่างเสีย”
คนทุกผู้ล้วนตะลึง ตระหนักแล้วว่าม่อซิงหลินตัดสินใจแตกหักกับสำนักเซียนฝังวิญญาณและขุมกำลังใหญ่อื่น ๆ!
“ในเมื่อเราตระกูลม่อเลือกยืนข้างสหายเต๋าซู เราจะกระทำการใดตามใจไม่ได้ หาไม่ โลกหล้าจะมองเราตระกูลม่อเช่นไร?”
ม่อซิงหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก “ส่วนข้า… จะอยู่เล่นกับไอ้แก่พวกนั้นในเขตหวงห้ามเซียนละล่องนี่แหละ!”
ม่อชิงโฉวกล่าวด้วยใจกังวล “ท่านบรรพชน มิอันตรายไปหรือเจ้าคะ?”
ม่อซิงหลินอดเชิดหน้าหัวเราะลั่นนภามิได้ “ยายหนู ในสายตาเจ้า ข้าผู้นี้รังแกง่ายนักหรือ?”
กล่าวอย่างแสนภาคภูมิ!
เขากล่าวด้วยนัยน์ตาลึกล้ำ “อย่าห่วงเลย ข้ามิสู้กับพวกเขาหรอก ข้าอยู่ที่นี่แล้วจะเลือกจำศีล กระทำตัวเป็นหนอนบ่อนไส้ให้สหายเต๋าซู และเมื่อถึงกาล หากมิฆ่าไอ้แก่พวกนี้ให้ได้สักสองสามคน คงยากระบายแค้นในใจข้าได้!”
น้ำเสียงของเขาเจือความเย็นชา
สำนักเซียนฝังวิญญาณกล้าร่วมมือกับขุมกำลังอื่น ๆ มาข่มขู่ตระกูลม่อ ทำให้ม่อซิงหลินเดือดดาลโดยสมบูรณ์
“ทำตามนี้ ข้าจะไปพบบ่าวจารึกศิลา”
กล่าวจบ ร่างของม่อซิงหลินก็หายวับไป
นอกประตูเรือน
บ่าวจารึกศิลาเยว่ฉียังคงยืนรอ
วูบ!
ร่างของม่อซิงหลินปรากฏขึ้น
ดวงตาของเยว่ฉีหรี่ลง กล่าวว่า “ตาเฒ่าไร้ค่า…”
เพียะ!
ม่อซิงหลินฟาดหลังมือ ทำให้แก้มของเยว่ฉีบวมแดง ซี่ฟันกระเด็นหลุด ร่างของเขากระดอนล้มหงาย
“เจ้า…”
สีหน้าของเยว่ฉีแปรเปลี่ยนอย่างมหันต์
“อย่าห่วงไป ข้าผู้นี้ยังคงรังเกียจจะฆ่ามดปลวกเช่นเจ้า”
ม่อซิงหลินคว้ามือ ป้ายศิลาหลุมศพไร้คำสลักร่วงลงในมือเขา
เขาใช้นิ้วเยี่ยงมีดสลักลงบนศิลา
จากนั้น เขาก็โยนป้ายศิลาให้อีกฝ่าย “เอาสิ่งนี้กลับไปให้เฟิงจิ้งไห่เบิกตาหมา ๆ ของมันดูเสีย”
เยว่ฉีเบนสายตาขึ้นมองป้านศิลา เห็นสี่คำเขียนบนนั้น
“มิตายมิเลิก!”
……
วันนั้น การวางตนอย่างแข็งกร้าวของตระกูลม่อแพร่สะพัดทั่วเขตหวงห้ามเซียนละล่อง เกิดเป็นเสียงลือลั่นทั่วแดน
“ตระกูลม่อบ้าไปแล้วหรือ?”
“ยอมเป็นศัตรูกับเขตหวงห้ามเซียนละล่องทั้งแดนดีกว่าเป็นศัตรูกับซูอี้ นี่… โง่เง่าเพียงไร?”
หลายผู้ร่างสั่น ยังคงเชื่อไม่ลง
ครึ่งเดือนมานี้ สถานการณ์ในเขตหวงห้ามเซียนละล่องแปรเปลี่ยนไปอย่างสะเทือนแดนดิน
สำนักเซียนฝังวิญญาณ ตระกูลหง ตระกูลฝู และขุมกำลังใหญ่กลุ่มหนึ่งนำโดยหอเซียนดาบมายาจับมือเป็นพันธมิตร ประกาศชัดเจนว่าต้องการสังหารซูอี้ ชิงอำนาจวัฏสงสารเพื่อวิญญาณอาสัญในโลกหล้า
ด้วยเหตุนี้ จึงแทบไร้ขุมกำลังใดในเขตหวงห้ามเซียนละล่องกล้าลุกขึ้นต้าน
เพราะหากทำเช่นนั้น พวกเขาจะกลายเป็นศัตรูร่วมในแดนหล้า!
ทว่าตระกูลม่อกลับทำเช่นนั้น!
ใครเล่าจะไม่ประหลาดใจ?
“นี่คือแดนมนุษย์ หาใช่โลกเซียนไม่! เมื่อตระกูลม่อทำเช่นนี้ก็เท่ากับรนหาที่ตาย!”
เจ้าสำนักเซียนฝังวิญญาณเฟิงจิ้งไห่ยิ้มอย่างไร้ยี่หระ
จริงอยู่ที่ตระกูลม่อเป็นตระกูลเซียนชั้นนำตระกูลหนึ่งในโลกเซียน
แต่นั้นคือกาลก่อน นานแสนนาน!
มิต้องพูดถึงว่าโลกเซียนเกิดภัยพิบัติ แค่ในแดนมนุษย์ยามนี้ อำนาจในมือตระกูลม่อยังเล็กจ้อยเมื่อเทียบกับขุมกำลังใหญ่พันธมิตรเหล่านี้!
“ในเมื่อตระกูลม่อคิดฆ่าตัวตาย เช่นนั้นก็สงเคราะห์ให้พวกเขาหน่อย!”
เฟิงจิ้งไห่ตัดสินใจ
วันเดียวกันนั้น เขาเชิญกลุ่มวิญญาณอาสัญวิถีเซียนกลุ่มหนึ่งจากขุมกำลังต่าง ๆ ออกเดินทางเพื่อล้างแดนเหย้าตระกูลม่อ
ทว่าก็ต้องผงะเมื่อพบว่าตระกูลม่อเหลือเพียงอาคารร้าง!
“หนีไปแล้ว? ฮ่า ๆๆ นี่หรือคือไม่ตายไม่เลิกลากับข้า?”
เฟิงจิ้งไห่อดหัวเราะมิได้
วันเดียวกันนั้น ข่าวการหลบหนีของตระกูลม่อแพร่ไปทั่วแดน
พายุใหญ่โหมซัดทั่วเขตหวงห้ามเซียนละล่อง
ทั้งหมดนี้ยังทำให้ความหยิ่งผยองของขุมกำลังพันธมิตรเช่นสำนักเซียนฝังวิญญาณลุกโหมทวีคูณ
ขุมกำลังวางตัวเป็นกลางบางแห่งมิอาจต้านทานต่อการกดดันได้ จึงต้องเลือกร่วมมือกับสำนักเซียนฝังวิญญาณ
……
ขณะที่ตระกูลม่อหนีออกมาจากเขตหวงห้ามเซียนละล่อง
ตรงหน้าภูเขาจันทร์กระจ่าง
ชายวัยกลางคนชุดดำผู้หนึ่งเดินช้า ๆ ท่ามกลางแสงพลบค่ำ
“ซูอี้อยู่หนใด?”
ชายวัยกลางคนชุดดำกล่าวอย่างไร้อารมณ์ เสียงของเขาสะท้านก้องทั่วท้องนภาด้าวแดน ทำให้ค่ายกลรอบเขาจันทร์กระจ่างกระเพื่อมไหวอย่างรุนแรง
“ผู้อาวุโสคือใครหรือ? ไฉนจึงมาที่นี่?”
เซียนดาบชิงซื่อและดาบพุทธะสรรพสุญตาปรากฏขึ้น มองชายวัยกลางคนชุดดำจากไกล ๆ อย่างเคร่งเครียด
ปราณบนร่างอีกฝ่ายลึกลับเกินเข้าใจ เกินหยั่งคาดและชวนระทึกใจ
“นามข้าคือชุยเจิง มาจากสำนักเซียนฝังวิญญาณ ต้องการพบซูอี้ที่นี่”
ชายวัยกลางคนชุดดำกล่าวเนิบ ๆ “เวลามีค่า ให้เขาออกมาหาข้าเร็ว ๆ เสีย”
สำนักเซียนฝังวิญญาณ!
เซียนดาบชิงซื่อและดาบพุทธะสรรพสุญตาล้วนหล้าเปลี่ยนสี ขุมกำลังวิญญาณจากโลกเซียนนี้ยังมีอยู่ในโลกหล้าอีกหรือ?
“หากมีอันใดจะกล่าว ก็บอกข้าเถอะ”
เซียนดาบชิงซื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก
“เจ้าหรือ?”
ชายวัยกลางคนชุดดำซึ่งเรียกตนว่าชุยเจิงดูเหยียดหยาม “ในสิบอึดใจ หากซูอี้ไม่ออกมา อย่าโทษที่ข้าผู้นี้เหยียบย่ำที่นี่แล้วกัน!”
กร่างอำนาจยิ่ง!
เซียนดาบชิงซื่อและดาบพุทธะสรรพสุญตามองหน้ากัน และต่างเรียกใช้สมบัติประจำตน
เมื่อซูอี้เก็บตัวฝึกฝนอยู่ยามนี้ ต้องมิให้คนนอกเข้ารบกวน!
เห็นเช่นนี้ ชุยเจิงก็แค่นเสียงเย็นชาอย่างอดมิได้ “อยากลงมือ? ข้าผู้นี้จะสนองให้!”
ด้วยหนึ่งสะบัดแขนเสื้อ แส้ยาวสีดำขดหนึ่งก็ทะยานเวหาหวดฟาด
ตู้ม!
สุญญะแหลกสลายเยี่ยงกระดาษเปื่อย
แส้ยาวสีดำนั้นทรงพลังอย่างยิ่ง เพียงหนึ่งการโจมตี แม้เซียนดาบชิงซื่อและดาบพุทธะสรรพสุญตาจะร่วมมือ พวกเขาก็มิอาจรับมันได้ ถูกฟาดกระเด็นไปอย่างรุนแรง
“มิใช่การฝึกฝนในขอบเขตจุติมงคล อีกฝ่าย… น่าจะเป็นวิญญาณอาสัญวิถีเซียน!”
เซียนดาบชิงซื่อกระอักโลหิต สีหน้าไม่สู้ดี
วิญญาณอาสัญวิถีเซียน!!
หัวใจของดาบพุทธะสรรพสุญตาดิ่งวูบ มีหรือจะไม่เข้าใจได้ว่าชายวัยกลางคนชุดดำนามชุยเจิงยืมอำนาจสมบัติลับบางอย่างซ่อนตัวจากกฎสวรรค์มาปรากฏตัวในโลกหล้า?
ตู้ม!
ฟ้าดินสะเทือนเลือนลั่น ชุยเจิงก้าวสู่อากาศ มือถือแส้ยาวสีดำ ด้วยหนึ่งการโจมตี ค่ายกลทั่วเขาจันทร์กระจ่างก็สลายหาย
“หากไม่ใช่เพราะมีกฎสวรรค์พันธนาการข้าทำให้ใช้อำนาจได้เพียงสองส่วนล่ะก็ หนึ่งการโจมตี มีหรือจะมิลบที่นี่จากโลกหล้าได้?”
ชุยเจิงถอนใจเบา ๆ เงยหน้าขึ้นจ้องมองท้องนภาอย่างดูขุ่นข้อง
เขากล่าวพลางสะบัดมือ
ตู้ม!
แส้ยาวสีดำนั้นราวกับมังกรทมิฬตัวยาวทะยานลง
ทั่วเขาจันทร์กระจ่างถล่มสิ้น
อาคารถล่มล่ม ฝุ่นควันปลิวกระจาย
ณ วัดสรรพสุญตาซึ่งตั้งในแดนหวงห้ามหลังภูเขา หลวงจีนคงจ้าว เฒ่าเว่ย ชิงถัง เว่ยซานและคนอื่น ๆ ล้วนสะดุ้งตกใจ เป็นกังวลยิ่งกว่ายามใด
ศัตรูร้ายมาถึงที่หรือ?
“ฆ่า!”
ดาบพุทธะสรรพสุญตาและเซียนดาบชิงซื่อโจมตีอย่างสุดกำลัง
ทั้งสองสิ้นหวังอย่างสมบูรณ์ ก้าวเข้ามาขวางไว้สุดชีวิต
ซูอี้เก็บตัวฝึกฝนอยู่ และพวกหลวงจีนคงจ้าวเองก็ช่วยอันใดมิได้ ด้วยเหตุฉะนี้ พวกเขาทั้งสองมีหรือจะปล่อยศัตรูเข่นฆ่าตามใจ?
ต่อให้ต้องตาย ก็ต้องหยุดไว้อย่างเต็มที่!
“ผีเสื้อหรือจะสู้ไฟ น่าขำนัก”
ชุยเจิงเผยสีหน้าเยาะเย้ย “เช่นนั้น… ข้าจะส่งพวกเจ้าไปตายก่อน!”
แส้ยาวสีดำในมือของเขาโบกสะบัด
แสงเซียนน่าสะพรึงกลัวสีดำทมิฬระเบิดดุจเกลียวคลื่น ถล่มเข้าโจมตีดาบพุทธะสรรพสุญตาและเซียนดาบชิงซื่อในพริบตา
“ท่านบรรพชน!!”
“แย่แล้ว!”
พวกหลวงจีนคงจ้าวล้วนหวาดผวา
ขณะที่กำลังร้ายกาจนี้กำลังถาโถมจะถึงตัวดาบพุทธะสรรพสุญตาและเซียนดาบชิงซื่ออยู่แล้วนั่นเอง
หนึ่งตัวตนพลันแค่นเสียงอย่างเย็นชา
ตู้ม!
แสงเซียนทมิฬชวนสะพรึงแหลกสลายหายไปเยี่ยงฟองอากาศตรงหน้าทั้งสอง
ขณะเดียวกัน อุ้งเท้าสุนัขขนปุยข้างหนึ่งก็ฟาดเข้าใส่ร่างของชุยเจิง
เปรี้ยง!
ร่างของชุยเจิงร่วงลงพื้นเยี่ยงอุกกาบาต ฝุ่นควันตลบอบอวล
สุนัขพื้นเมืองตัวหนึ่งปรากฏ ณ จุดเดิมที่ชุยเจิงเคยยืน มองมาด้วยสายตาเย็นชาดูแคลน
และร่างของซูอี้ก็ปรากฏขึ้นหน้าประตูห้องหนึ่งในวัดสรรพสุญตาแต่ยามใดมิอาจทราบ
………………..