บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 142 แกะขาวและหมาป่า
หลังจากประโยคนั้นเอ่ยออกจากปากหลิวเซียงหลาน บรรยากาศในลานบ้านกลายเป็นมืดหม่น
“ผู้เฒ่าพรต ไม่มีอะไรต้องกังวล มีเพียงสี่คนในลานนี้ สองคนที่อ่อนแอสุดซ่อนอยู่ในเรือน ส่วนอีกสองที่เหลือ…”
ท่วงท่าของฉู่ซื่อหลางยังคงเกียจคร้าน แต่แววตากลับเริงร่า “ผู้ที่เปิดประตูให้เราก็แค่คนหนุ่มขอบเขตโคจรโลหิตขั้นปลาย ส่วนเจ้าหนุ่มในศาลานั่น สำเร็จขั้นต้นของขอบเขตรวบรวมลมปราณ ไม่มีสิ่งใดให้เราต้องกังวลเลย”
หลังจากหยุดชั่วคราว เขาชี้ไปที่น้ำเต้าปลุกวิญญาณข้างเอวของซูอี้ “นั่นคือสมบัติที่เวิงอวิ๋นฉีขโมยมาจากเราไม่ใช่หรือ สรุปได้จากสิ่งนี้ว่าพวกเขาต้องมีความสัมพันธ์กับเวิงอวิ๋นฉีเป็นแน่แท้ นับได้ว่าคราวนี้เรามาถูกทางแล้ว!”
หลังจากพูดจบ ฉู่ซื่อหลางนั่งลงบนม้านั่งตามอัธยาศัย ยืดเอวของเขาอย่างเกียจคร้าน ท่วงท่าผ่อนคลายขึ้นเรื่อย ๆ
ไม่ต้องบอกกล่าวก็ทราบได้ ตัวเขาคิดอ่านว่าตนเป็นนายของที่นี่แล้ว
ท่าทางที่ดูผ่อนคลาย นั้นแสดงถึงความลำพองและกำชัย
“หนุ่มสาวทั้งสี่นี้ไม่มีทางคุกคามเราได้แน่”
ดวงตาที่เย้ายวนของหลิวเซียงหลานกวาดไปรอบ ๆ ก่อนจะหัวเราะอย่างแผ่วเบา
รอยยิ้มบนใบหน้าของนักพรตเสวี่ยเหิงค่อยจางลง เขาถอนหายใจยาว แต่ยังไม่ลืมจะเอ่ยเตือน “อย่าได้หยาบคาย นึกถึงคำพูดก่อนหน้าของข้าด้วย พวกเจ้าทั้งสองต้องสุภาพ อย่าทำให้สหายน้อยเหล่านี้ต้องตื่นกลัว”
ฉู่ซื่อหลางพ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
หลิวเซียงหลานขยิบตาให้หวงเฉียนจวิน พร้อมกับเผยยิ้มสร้างความลุ่มหลง “สหายน้อยผู้นี้ ช่างละอ่อนและไร้เดียงสานับได้ว่าถูกใจข้า เมื่อใดธุระของข้าจบ เราออกไปหาที่ส่วนตัวร่ำสุรากันหน่อยเป็นไร?”
ครั้งพูดจบ นางจงใจยืดเอวเพรียวบางตั้งตรง เน้นเผยหน้าอกหน้าใจที่นางภูมิใจเพื่อยั่วยวน
ฉากนี้ทำให้ฉู่ซื่อหลางตาแทบถลน เขากุมส่วนสงวนของตนอย่างไม่รู้ตัว พลางนึกสาปแช่งอยู่ในใจ!
“พวกเจ้ามาจากพรรคมารหยินใช่หรือไม่?”
หวงเฉียนจวินถามด้วยความประหลาดใจ
แลเห็นสีหน้าประหลาดใจของเด็กหนุ่ม หลิวเซียงหลานจึงอดไม่ได้ที่จะป้องปากหัวเราะ “ไม่ผิด เวิงอวิ๋นฉีผู้นั้นไม่เคยเอ่ยถึงเราให้เจ้าฟังเลยหรือไร?”
หวงเฉียนจวินส่ายหัว
“เจ้าออกไปก่อน”
ในศาลา ซูอี้เอ่ยคำสั่งอย่างเฉยชา
หวงเฉียนจวินพยักหน้ารับก่อนจะรีบกลับไปที่ห้อง
นักพรตเสวี่ยเหิง และคนอื่น ๆ ต่างไม่ได้ห้ามปราม พวกเขายังคงทำตัวตามสบายและสงบ เนื่องจากพวกเขาไม่ได้กังวลว่าหนุ่มสาวเหล่านี้จะสร้างปัญหาใดให้พวกเขาได้
“เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าขอไปคุยกับสหายน้อยผู้นั้นตามลำพังก่อนก็แล้วกัน”
หลิวเซียงหลานกัดริมฝีปากสีแดงของนางแผ่วเบา พลางขยิบตาราวกับส่งสัญญาณให้ทุกคนรู้
“ทำธุระให้เสร็จก่อน!” นักพรตเสวี่ยเหิงขมวดคิ้วและตำหนิ
ทันใดนั้น เขาหันกลับไปมองยังซูอี้และถามด้วยรอยยิ้มว่า “สหายน้อย เจ้าช่วยบอกเราเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเจ้ากับเวิงอวิ๋นฉีได้หรือไม่”
ซูอี้ตอบกลับอย่างเฉยชา “ข้าก็รอเขาอยู่เหมือนกัน ทว่ายังไม่ทันจะได้ความ พวกเจ้าก็มากันเสียก่อน”
“รอเขา?” คำตอบนี้ทำนักพรตเสวี่ยเหิงอึ้งไปครู่ “เขาจะมาเร็ว ๆ นี้งั้นหรือ?”
“ข้าไม่รู้”
ฉับพลัน ซูอี้เอ่ยถามกลับ “พวกเจ้าพบที่นี่ได้อย่างไร?”
“แน่นอน เราสะกดรอยเขามา” ฉู่ซื่อหลางพูดอย่างเกียจคร้าน
ซูอี้พยักหน้าอย่างเข้าใจ “ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีวิธีการลับที่สามารถจับร่องรอยของเวิงอวิ๋นฉีได้ ไม่ต้องสงสัยเลย”
ฉู่ซื่อหลางกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “เจ้าเด็กนี่มีสายตาอยู่บ้าง แต่วิธีนี้มีเพียงข้าเท่านั้นที่เชี่ยวชาญ ผู้อื่นไม่มีทางลอกเลียนแบบ”
“ป่วยไข้ หุบปาก!”
นักพรตเสวี่ยเหิงขมวดคิ้วและตำหนิอีกครา
ฉู่ซื่อหลางยิ้มอย่างไม่พอใจ
“สหายน้อย เจ้าดูเหมือนไม่กลัวพวกเราเลย ทำไมกัน?”
นักพรตเสวี่ยเหิงอดไม่ได้ที่จะพูด เขารู้สึกว่าซูอี้ดูสงบเกินไปอย่างไม่ควรเป็น
“เหตุใดข้าจึงต้องกลัว?”
ซูอี้ยิ้ม “ไม่เลย ข้ามีความสุขเกินจะเอ่ยต่างหาก”
ฉู่ซื่อหลางและหลิวเซียงหลานสังเกตเห็นสิ่งผิดแปลกอย่างชัดเจน พวกเขาอดไม่ได้ที่จะหันไปมองยังซูอี้
นักพรตเสวี่ยเหิงกะพริบตาถามกลับอย่างฉงน “มีความสุข?”
ซูอี้หยิบจอกสุราขึ้นดื่มแล้วพูดว่า “ข้ากังวลอยู่นานว่าจะหาเวิงอวิ๋นฉีเจอได้อย่างไร แต่หนึ่งในคนของเจ้ามีวิธีลับในการจับร่องรอยของเขาเช่นนี้ ข้าไม่ควรมีความสุขงั้นหรือ?”
นักพรตเสวี่ยเหิงและคนอื่น ๆ ตกตะลึงเล็กน้อย พวกเขาบางคนยังไม่เข้าใจ
เกิดอะไรขึ้น?
ชายหนุ่มผู้นี้เป็นคนของเวิงอวิ๋นฉีไม่ใช่หรือ?
ทันใดนั้น เสียงเคาะประตูด้านนอกลานบ้านกลับดังขึ้น
“คุณชายซูอยู่หรือไม่?”
เสียงที่หนักแน่นและหยาบกร้านดังขึ้นนอกลานบ้าน
นักพรตเสวี่ยเหิงและคนอื่น ๆ ต่างแข็งค้าง เมื่อฟังเสียงแล้วนั่นไม่ใช่เสียงเวิงอวิ๋นฉีอย่างแน่นอน แล้วเช่นนั้นมันเป็นเสียงของใคร?
“ประตูไม่ได้ลงกลอน ผู้บัญชาการจาง เชิญเข้ามาได้ตามสะดวก”
ซูอี้ตอบรับอย่างไม่ใส่ใจ
เขายังแปลกใจเล็กน้อย ว่าเหตุใดจางอี้เหรินถึงมาเวลานี้?
ประตูลานบ้านถูกผลักเปิดจากด้านนอก
ทันใดหลังจากนั้น ร่างสองร่างพลันปรากฏขึ้น
ชายผู้เดินนำแต่งกายด้วยเครื่องแบบทหาร รูปร่างของเขาสูงตระหง่านราวกับขุนเขา ดวงตาส่องประกายประหนึ่งสายฟ้า
ผู้ที่มาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากจวิ้นอ๋องอู๋หลิง เฉินเจิ้ง!
ข้าง ๆ เขาคือจางอี้เหรินผู้มีรูปร่างสูงสง่า ผิวคล้ำเปล่งประกายคล้ายทองสัมฤทธิ์ ใบหน้าหยาบกร้านมากล้ำด้วยประสบการณ์
“บัดซบ!”
ทันทีที่แลเห็นเฉินเจิ้ง ฉู่ซื่อหลางซึ่งก่อนหน้านี้ยังเกียจคร้านและผ่อนคลาย ร่างกายแปรเปลี่ยนเป็นสั่นเทาราวถูกผีสิง รีบลุกขึ้นราวกับก้นถูกรนด้วยเพลิงร้อน และลนลานวิ่งไปด้านข้างนักพรตเสวี่ยเหิงอย่างไม่รู้ตัว ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างดุเดือด
“ฉ… เฉิน… เฉิน…”
ทางด้านหลิวเซียงหลานไม่ได้ดีไปกว่ากัน นางเหมือนหนูที่เห็นแมว ใบหน้าเผยออกด้วยความกลัวจนร่างกายอันบอบบางสั่นสะท้าน แม้แต่หนังศีรษะยังชาหนึบไม่อาจควบคุม ถ้อยคำที่เอ่ยออกฟังไม่ได้ความ
“เย็นไว้ก่อน!” นักพรตเสวี่ยเหิงตวาดเสียงต่ำ
ทว่าใบหน้าของเขาแปรเปลี่ยนไปเช่นกัน ร่างกายที่นั่งบนม้านั่งหินตึงแข็งเกร็ง กลั้นใจบังคับตัวเองให้อยู่ในความสงบ
จวิ้นอ๋องอู๋หลิง!
หนึ่งในบรรพจารย์ยุทธ์ผู้เลิศล้ำ หนึ่งในสิบแปดจวิ้นอ๋องแห่งต้าโจว!
ตัวตนอหังการผู้นี้ใครบ้างในต้าโจวจะไม่รู้จัก?
นักพรตเสวี่ยเหิงไม่เคยคาดคิดเลย เรือนนี้แม้จะแปลกไปบ้าง แต่คนใหญ่โตเช่นเฉินเจิ้งก็ไม่ควรมาปรากฏกายเช่นนี้ไม่ใช่หรือ?
แต่ด้วยผ่านร้อนผ่านหนาวมาก็มาก แม้จะอึ้งไปชั่วขณะ เขาก็ยังสงบอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว พลางคิดเข้าข้างตัวเอง อีกฝ่ายอาจจะมาผิดที่ก็เป็นได้…
แลเห็นฉากดังกล่าวเมื่อผ่านประตูมา หว่างคิ้วของเฉินเจิ้งเริ่มขมวดเข้าหากัน
ดวงตาประหนึ่งสายฟ้าเฉียบ กวาดมองไปยังฉู่ซื่อหลางและคนอื่น ๆ
นักพรตเสวี่ยเหิงและคนอื่นไม่กล้ามองตอบ แผ่นหลังสั่นเทาเย็นเยือก ไร้ซึ่งความเย่อหยิ่ง และความมั่นใจว่าจะชนะอีกต่อไป
“คุณชายซู”
จางอี้เหรินลอบสังเกตเห็นว่าบรรยากาศอึมครึมอยู่เช่นกัน แต่เขาหาได้สนใจไม่ เพียงยืนตรงจากระยะไกล ก่อนประสานมือคารวะแล้วกล่าวต่อซูอี้ทั้งรอยยิ้ม “เรามาไม่ได้แจ้งก่อน โปรดคุณชายซูอย่าได้ถือสา”
ซูอี้พยักหน้า “ผู้บัญชาการจาง ไม่ต้องเกรงใจ”
“ท่านผู้นี้คือจวิ้นอ๋องนายของข้า”
จางอี้เหรินแนะนำด้วยท่าทางเคร่งขรึม “นายท่าน นี่คือคุณชายซู”
เฉินเจิ้งมองไปที่ซูอี้อยู่ครู่หนึ่ง แล้วประสานมือตนเองพลางเอ่ยออก “ผู้แซ่เฉินมาในวันนี้เพื่อขอบคุณคุณชายซู สำหรับเหตุการณ์บนเรือโดยสาร หากไม่ได้คุณชายซูลงมือคลี่คลายปัญหาในวันนั้น ตัวเฉินผู้นี้คงต้องโทษอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง”
จบประโยคเขาโบกมือ “อี้เหริน นำของขวัญของเราออกมา”
จางอี้เหรินก้าวออกมาข้างหน้าพร้อมกับกล่องหยกและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นี่เป็นกิ่งเขา ‘กวางอัคคีน้ำเงิน’ สัตว์อสูรระดับสี่ แม้ไม่ได้ล้ำค่านัก แต่เรามอบด้วยความจริงใจ หวังว่าคุณชายซูจะไม่รังเกียจรับเอาไว้”
จวิ้นอ๋องอู๋หลิงมาเพื่อมอบของขวัญด้วยตนเอง!?
ยิ่งไปกว่านั้น ของขวัญยังเป็นวัตถุวิญญาณจากสัตว์อสูรระดับสี่!
ชายหนุ่มผู้นี้เป็นใครกัน? ทำไมเขาถึงมีใบหน้าที่ใหญ่โตเช่นนี้?
นักพรตเสวี่ยเหิงรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นเรื่อย ๆ สีหน้าเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นมืดหม่นและประหม่าอย่างไม่อาจจะควบคุม
“ขอบคุณ”
ซูอี้ประสานมือ ก่อนจะชี้ไปยังที่นั่งในลานบ้าน “ท่านทั้งสอง โปรดนั่งลงก่อน”
เฉินเจิ้งและจางอี้เหรินเข้ามานั่งตามลำดับ
เมื่อเห็นซูอี้ถือกาน้ำชาเพื่อชงชา จางอี้เหรินพลันลุกขึ้นในทันทีและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คุณชายซู ให้ข้าทำแทนเถิด”
ซูอี้ไม่ได้ปฏิเสธ
“คุณชายซู สามคนนี้เป็นใครหรือ?”
เฉินเจิ้งมองไปที่นักพรตเสวี่ยเหิงและคนอื่น
ในชั่วพริบตา นักพรตเสวี่ยเหิงและคนอื่นต่างก็ตัวสั่นเทา หัวใจของพวกเขาแทบกระดอนถึงลำคอ ร่างกายแข็งเกร็งพร้อมจะต่อสู้
“คนเหล่านี้มาจากพรรคมารหยิน นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นพวกเขา” ซูอี้กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
บรรยากาศชะงักงันอย่างกะทันหัน
ดวงตาของจางอี้เหรินส่องประกายตระหนักรู้
เฉินเจิ้งยังนั่งอยู่กับที่อย่างเงียบสงบ แต่สายฟ้าน่าสะพรึงสายหนึ่งปรากฏในดวงตาเขา
“ท่านเฉินเจิ้ง ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อสร้างความลำบากแก่คุณชายซู แต่เพื่อสอบถามเกี่ยวกับที่อยู่ของคนทรยศเวิงอวิ๋นฉี” นักพรตเสวี่ยเหิงรีบแก้ตัว
พลันหายใจเข้าลึก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “คุณชายซูสามารถยืนยันคำพูดของผู้น้อยนี้ได้เช่นกัน
ซูอี้หัวเราะและพูดว่า “แท้จริงแล้วข้าเองก็ต้องการความช่วยเหลือจากพวกเขาเพื่อค้นหาเวิงอวิ๋นฉีอยู่เช่นกัน”
เฉินเจิ้งขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดว่า “ข้าขอบังอาจถามคุณชาย เวิงอวิ๋นฉีผู้นั้นมันคือใคร?”
ซูอี้เอ่ยตอบอย่างไร้อารมณ์ “เป็นผู้ทรยศคนหนึ่งจากพรรคมารหยิน เขามีบางอย่างที่ข้าต้องการ”
เฉินเจิ้งเข้าใจอย่างคลุมเครือและกล่าวว่า “เช่นนั้นแล้ว สามคนนี้ตกลงจะช่วยหรือไม่?”
นักพรตเสวี่ยเหิงและคนอื่นตอบอย่างรวดเร็ว “แน่นอนว่าเรายินดี!”
เฉินเจิ้งเกียจคร้านเกินกว่าจะสนใจตัวตนต่ำต้อยทั้งสามตัวนี้
เขามองย้อนกลับไปที่ซูอี้และกล่าวว่า “คุณชายซู เมื่อวานข้าเดินทางไปยังสำนักดาบชิงเหอ เพื่อเยี่ยมเยือนมู่ชางถู แต่กระนั้นข้าได้ยินข่าวหนึ่งมา เขาแพ้ให้กับชายหนุ่มลึกลับผู้หนึ่งเมื่อวันก่อน ขอบังอาจถามได้หรือไม่ ท่านทราบเรื่องใดเกี่ยวกับมันบ้างหรือเปล่า?”
ได้ยินคำถามนี้ จางอี้เหรินเงี่ยหูฟังอย่างสนใจเช่นกัน
ซูอี้เอ่ยตอบอย่างสงบ “หากถามว่าผู้ใดทำให้เขาก้มหัวยอมรับความพ่ายแพ้เมื่อวันก่อน คนผู้นั้นย่อมเป็นซูผู้นี้”
“อย่างที่คาดไว้ อี้เหรินเดาได้ถูกแล้ว”
เฉินเจิ้งอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยอารมณ์หลากหลาย จะไม่ตกใจได้อย่างไร จะมีสักกี่คนสามารถเอาชนะปรมาจารย์วิถียุทธ์เช่นมู่ชางถูได้?
ไม่น่าแปลกใจเลยที่หลังจากพ่ายแพ้ มู่ชางถูจะก้าวลงจากตำแหน่งเจ้าสำนักในทันที เห็นได้ชัดว่าจิตใจบอบช้ำอย่างหนัก
“คุณชายซูทำให้ข้าประหลาดใจมากขึ้นเรื่อย ๆ”
จางอี้เหรินรู้สึกประหลาดใจ สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเคารพอย่างชัดเจน
ครั้งได้ยินบทสนทนานี้ นักพรตเสวี่ยเหิงและคนอื่นคล้ายกับโดนฟ้าผ่า
เมื่อครู่นี้ พวกเขามองซูอี้เปรียบดังมด พูดคุยและหัวเราะได้อย่างอิสระ ไม่ได้คิดเป็นจริงเป็นจังกับชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า
ใครจะคิดว่าแท้จริงแล้ว เด็กหนุ่มผู้นี้กลับเป็นผู้ไร้เทียมทานในคราบแกะขาว?
“โชคดีที่ข้าเตือนคนอื่นให้สุภาพโดยตลอด ไม่เช่นนั้นแล้ววันนี้คงจบไม่สวยเป็นแน่…”
นักพรตเสวี่ยเหิงแอบชื่นชมยินดี
ฉู่ซื่อหลางกลืนน้ำลายอย่างแรง ขาสั่นไม่อาจควบคุม ในใจคิดว่า… หากเป็นไปได้อยากจะวิ่งหนีไปให้ไกลที่สุดตอนนี้!
หลิวเซียงหลานอยากจะร้องไห้แต่ไร้น้ำตา ข้าไม่ควรมาที่นี่ตั้งแต่แรก!
โชคดีที่ขณะนี้ไม่มีใครสนใจทั้งสามคน ไม่ว่าจะเป็นซูอี้หรือเฉินเจิ้งต่างก็เพิกเฉยต่อพวกเขาโดยสิ้นเชิง
สิ่งนี้ทำให้พวกเขาสงบสติอารมณ์ได้เล็กน้อย แต่พวกเขายังรู้สึกละอายและขุ่นเคืองที่ผู้อื่นทำราวกับพวกเขาไร้ตัวตน
อย่างไรก็ตาม พวกเขาทั้งสามคือผู้พิทักษ์แห่งพรรคมารหยิน สาขาแคว้นกุ่น พวกเขาไม่ควรเป็นตัวตนที่ใครควรจะมองข้ามหัวได้ง่ายไม่ใช่หรือ?
หลังจากพูดคุยกันสักพัก เฉินเจิ้งจึงถามขึ้น “คุณชายซู ข้าใคร่รู้อยากทราบว่าท่านสนใจจะไปหุบเขามารบุปผาโลหิตเพื่อล่าสัตว์อสูรบ้างหรือไม่?”
“ล่าสัตว์อสูร?” ซูอี้รู้สึกงงงวย
ก่อนที่เฉินเจิ้งจะพูดต่อ จางอี้เหรินพลันยิ้มและตั้งท่าจะอธิบายอย่างรวดเร็ว…