บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1421: หากมิทำลายก็มิอาจก่อ ต้องทำลายก่อนแล้วจึงก่อ
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 1421: หากมิทำลายก็มิอาจก่อ ต้องทำลายก่อนแล้วจึงก่อ
ตอนที่ 1421: หากมิทำลายก็มิอาจก่อ ต้องทำลายก่อนแล้วจึงก่อ
ชนะแล้ว?
เซียนดาบชิงซื่อและดาบพุทธะสรรพสุญตาก็นิ่งเงียบไป
หัวใจของพวกเขากระเพื่อมด้วยความพรั่นพรึง
ฟ้าดินเงียบสงัด จตุรทิศไร้วจี
ชุยเจิงดวงตาเหลือกถลนด้วยความอับอาย
ในฐานะเซียนผู้ครั้งหนึ่งเคยยืนตระหง่านกลางนภา ทอดตาลงมองโลกหล้า ยามนี้เขากลับถูกชายหนุ่มผู้หนึ่งเหยียบย่ำใต้บาทา!
ความอับอายนี้เป็นเช่นดาบนับหมื่นกรีดเฉือนหัวใจ ทำให้เขาแทบสิ้นสติ
“ยามนี้ เจ้าใช้วิถีเต๋าได้เพียงสองส่วนจริง ๆ หรือ?”
ซูอี้ก้มลงถามชุยเจิงเบา ๆ
“หากไม่ถูกผูกมัดด้วยอำนาจกฎสวรรค์ ผู้นอนอยู่ตรงนี้ต้องเป็นเจ้าแน่!”
ชุยเจิงกัดฟันกล่าว
ซูอี้กล่าวกับตนเองยิ้ม ๆ “จะคนจะเซียน หากแพ้ก็คือแพ้ พูดจาเยี่ยงคนขี้แพ้เช่นนี้ใช้มิได้เลยจริง ๆ”
ไกลออกไป สุนัขพื้นเมืองกล่าวขึ้นด้วยเสียงลุ่มลึก “ผีเซียนเล็กจ้อยนี่ใช้มิได้จริง ๆ”
ใบหน้าของชุยเจิงแดงก่ำ เค้นวาจาลอดไรฟัน “จะฆ่าก็ฆ่า ข้าแพ้แล้ว จะฆ่าแกงอย่างไรก็เชิญ!”
ซูอี้ว่า “เจ้ามาทำอันใดที่นี่?”
ชุยเจิงสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวว่า “ข้าได้รับคำสั่งให้มาคุยเรื่องสำคัญเกี่ยวกับความเป็นความตายของเจ้า!”
ซูอี้แค่นเสียงหึ “ไหนว่ามา”
ชุยเจิงว่า “สำนักข้าประกาศจุดยืนแล้ว ขอเพียงเจ้าตกลงช่วยทำลายคำสาปให้ทุกคนในเขตหวงห้ามเซียนละล่อง ความแค้นก่อนหน้านี้ทั้งหมดจะกลายเป็นเรื่องในอดีต!”
“นอกจากนั้น ขอเพียงเจ้าส่งอำนาจวัฏสงสารมา พวกเราทั้งหมดจะชดใช้ให้กับเจ้า และจะทำสัญญาตกลงว่าจะมิถือเจ้าเป็นศัตรูในภายหน้า”
กล่าวเช่นนี้แล้ว ชุยจงก็เงยหน้าขึ้นกล่าวกับซูอี้อย่างยากลำบาก “เจ้าน่าจะรู้ว่าเงื่อนไขเช่นนี้ใจกว้างเพียงใด หาไม่ ด้วยทุกสิ่งที่เจ้าทำที่เขาพฤกษ์ระย้า เจ้าจะถูกคิดบัญชีเป็นสิบเป็นร้อยเท่า!”
“และยามนี้ เจ้าแค่ตอบตกลงกับเงื่อนไขนี้ก็แลกโอกาสรอดชีวิตได้ง่าย ๆ ข้าหวังว่าเจ้าจะคิดให้ดี อย่าผิดต่อความหวังดีจากสำนักข้า!”
ความมั่นใจของชุยเจิงดูจะแข็งแกร่งขึ้นมาก
ในความคิดของเขา สาเหตุที่ซูอี้ยังไม่ฆ่าเขานั้นเห็นได้ชัดว่าเพราะกลัว มิกล้าก่อเรื่องวุ่นวายไปทั่ว
นอกจากนั้น เงื่อนไขที่เขายกขึ้นครานี้ก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ในความคิดเขา ด้วยสถานการณ์ของซูอี้ ขอเพียงมิได้โง่เง่า อีกฝ่ายก็ควรรู้ว่าต้องทำเช่นไร
เซียนดาบชิงซื่อกับดาบพุทธะสรรพสุญตาอดยิ้มเยาะมิได้
หากผู้ได้ยินเงื่อนไขเช่นนี้เป็นคนอื่น พวกเขาก็อาจเปลี่ยนใจเลือกโอนอ่อนแลกเปลี่ยนโอกาสมีชีวิตรอดเช่นนี้จริง
ทว่าซูอี้ย่อมแสนรังเกียจการทำเช่นนั้น!
และชายหนุ่มก็กล่าวขึ้นอย่างสนอกสนใจตามคาด “แล้วหากข้าปฏิเสธเล่า?”
ชุยเจิงขมวดคิ้ว “ผลที่ตามมาจากการปฏิเสธก็คือเป็นศัตรูร่วมของกลุ่มเต๋าทั้งหมดในเขตหวงห้ามเซียนละล่อง! ข้าบอกเจ้าก็ได้ว่าในไม่ถึงสองเดือน วิญญาณอาสัญวิธีเซียนจะคืนอิสระสู่โลกหล้า!”
“และยามนั้น เซียนทั้งหลายจะร่วมมือ ข้าเกรงว่าฟ้าดินนี้คงมิอาจหาผู้ใดช่วยเจ้าได้!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สุนัขพื้นเมืองก็แค่นเสียงเย็นชาอย่างไม่พอใจทันที “โอหัง! เจ้าคิดว่าข้าผู้นี้เป็นของประดับฉากหรือไร?”
ประโยคแสดงความไม่พอใจนี้เผยว่าต่อให้กลุ่มเซียนลงมือ มันก็ยังช่วยซูอี้ได้!
“เจ้าหรือ?”
ชุยเจิงแค่นหัวเราะ
แม้เขาจะไม่ได้พูดอันใดอีก แต่ก็เห็นได้ชัดว่าหาถือคำพูดสุนัขพื้นเมืองจริงจังไม่
สิ่งนี้ทำให้สุนัขพื้นเมืองเดือดดาล ยกอุ้งเท้าขึ้นอยากตบไอ้ผีเซียนไร้ตานี่ให้ตาย ๆ ไปเสีย
ทว่าท้ายที่สุด มันก็รั้งตน ตัดสินใจมิลดตัวไปเล่นกับผีเซียนเล็กจ้อย ลดเกียรติตนเองเปล่า ๆ
ชุยเจิงกล่าวด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก “ซูอี้ นี่คือโอกาสสุดท้ายของเจ้า ข้าหวังว่าเจ้าจะสงบใจลงคิดดี ๆ ก่อนลงมือ เพราะถึงอย่างไร ในโลกมนุษย์นี้ เจ้าก็ถูกเหล่าเซียนหมายหัว…”
เสียงนั้นหยุดลงกะทันหัน
เท้าของซูอี้ออกแรงเหยียบ และร่างของชุยเจิงก็แหลกสลายเป็นเถ้าถ่านหายทันที
“ฆ่าไปเช่นนั้นน่ะหรือ?”
สุนัขพื้นเมืองตกตะลึง
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย “ที่ถามไปก็พูดหมดแล้ว ยังปล่อยไว้อีกเพื่อการใด?”
สุนัขพื้นเมือง “…”
เซียนดาบชิงซื่ออดตัวสั่นมิได้
ไม่ว่าอย่างไร ชุยเจิงผู้นั้นก็ยังเป็นตัวตนในวิถีเซียนโดยแท้จริง เป็นเซียนเหนือนภา!
ทว่ายามนี้กลับถูกซูอี้เหยียบตาย!
หากเรื่องนี้แพร่ออกไป เกรงว่าคงลือลั่นทั่วโลกหล้า
ดุจวาจาสังหารเซียนในโลกมนุษย์!
“ไอ้หนู อย่าเหลิงไป ผีเซียนนี้อยู่เพียงร่างวิญญาณอาสัญ ห่างไกลจากเซียนที่แท้จริงราวคนละโลก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าถูกกฎสวรรค์ผูกมัดอยู่ ใช้อำนาจได้เพียงสองส่วนเท่านั้น ตัวตนเช่นนี้อย่างมากก็แข็งแกร่งกว่าขอบเขตจุติมงคลที่แท้จริงเท่านั้น”
สุนัขพื้นเมืองกล่าวเตือนสติซูอี้
ทว่าชายหนุ่มกลับกล่าวทั้งรอยยิ้ม “ยามนี้ข้าไม่มีกระทั่งขอบเขตการฝึกฝน แต่สามารถใช้ร่างปุถุชนนี้สังหารวิญญาณอาสัญวิถีเซียนได้ ข้ายังภาคภูมิใจไม่ได้อีกหรือ?”
แต่ทันใดนั้น เขาก็เปลี่ยนน้ำเสียง “ทว่าเจ้าก็พูดถูก คนผู้นี้… ใช้ไม่ได้จริง ๆ”
สุนัขพื้นเมืองพูดไม่ออก
เจตนาดั้งเดิมของมันคือเตือนซูอี้มิให้ประเมินวิญญาณอาสัญวิถีเซียนผิดไป
ทว่าใครเล่าจะคิดว่าซูอี้กลับลำพองเหิมเกริมได้น่าขย้ำนัก!
“เจ้าอยู่ในร่างปุถุชนจริง ๆ หรือ?”
สุนัขพื้นเมืองอดถามไม่ได้
มันรู้สึกสับสนงุนงงอย่างยิ่ง ประหนึ่งได้ค้นพบกับปริศนาอันไม่น่าเชื่อ
“ไม่มีการฝึกฝนอยู่ มันก็น่า… จะนับเป็นเช่นนั้นได้กระมัง?”
ซูอี้ครุ่นคิดสักพัก และกล่าวว่า “ทว่าข้าเหยียบเท้าก้าวหนึ่งสู่วิถีจุติสรวงแล้ว คงไม่นานก่อนที่ข้าจะสร้างวิถีเต๋าใหม่ได้”
ขณะที่สุนัขพื้นเมืองกำลังจะถามอีกครั้งนั้นเอง ซูอี้ก็เปลี่ยนประเด็นเสียก่อน “วันนี้ เหตุใดเจ้าจึงมาที่นี่?”
“ข้า…”
สุนัขพื้นเมืองกล่างเสียงแข็ง “นี่ไม่ใช่ว่านายข้าห่วงเจ้าจะถูกฆ่าเสียเปล่าหรือ?”
ซูอี้กล่าวอย่างเข้าใจ “หลังจากกลับไป ข้าฝากขอบคุณนายเจ้าทีนะ”
สุนัขพื้นเมืองกล่าว “เจ้าพยายามไล่ข้าหรือ?”
ซูอี้กล่าวอย่างตกตะลึง “เจ้ายังคิดจะอยู่ที่นี่ต่อหรือ?”
สุนัขพื้นเมือง “…”
ดู๊ดู นี่คือคำพูดของมนุษย์อย่างนั้นหรือ?
มันแยกเขี้ยว “หากไม่ใช่เพราะนายข้าสั่งให้ข้ามาอยู่กับเจ้าสักพัก ข้าก็อยากไปจริง ๆ แหละโว้ย!”
“งั้นเจ้าก็ไปสิ”
ซูอี้หัวเราะขำ
บางที แหย่เจ้าสุนัขพื้นเมืองนี่เล่นก็สนุกดี
สุนัขพื้นเมืองถลึงตามองซูอี้อย่างดุดัน “ข้าก็ยังไม่ไปโว้ย! เจ้าโล้น ไปเอาสุรามาให้ข้าเหยือกที!”
มันหดหู่ไร้ที่ระบาย จึงเริ่มเรียกหาหลวงจีนคงจ้าว
หลวงจีนคงจ้าวรับปากพลางแย้มยิ้ม จากนั้นจึงส่งไหสุราหนึ่งให้พร้อมโค้งเสียหัวแทบติดพื้น ทำให้สุนัขพื้นเมืองรู้สึกดีขึ้นมาก
“เอาล่ะ ข้าจะไปเก็บตัวต่ออีกสักพัก ดูแลตนเองด้วย”
ซูอี้หันหลังเดินกลับเข้าไปในวัดสรรพสุญตา
สุนัขพื้นเมืองอดกล่าวเตือนไม่ได้ “เจ้าต้องระวังตัวไว้ อย่าได้เผลอไผลเชียวนะ ตัวตนร้ายกาจที่แท้จริงในหมู่วิญญาณอาสัญวิถีเซียนยังคงนิ่งเงียบในนิทรา อำนาจของพวกเขาร้ายกาจกว่าที่เจ้าคิดไว้มาก!”
“พูดเช่นนี้แล้วกัน หากตัวตนเหล่านั้นลืมตาตื่น กระทั่งนายข้าก็ยังต้องให้ความสนใจ!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ม่านตาของซูอี้ก็หดตัวเล็กน้อย เขาพยักหน้าและเดินจากไป
“เจ้าโล้น ไปจัดสำรับอาหารให้ข้าที จำไว้ว่าข้าไม่ต้องการอาหารมังสวิรัติแบบที่พวกเจ้าหลวงจีนกินกัน”
สุนัขพื้นเมืองออกคำสั่งราวกับเป็นปู่ “รับใช้ข้าให้ดี แล้วข้าจะพาเจ้าไปโลกเซียนด้วยในภายหน้า!”
สีหน้าท่าทางเช่นนั้นไม่ต้องบอกก็รู้ว่ายกหางตนเอง
ทว่าหลวงจีนคงจ้าวตบอกรับคำอย่างแสนปรีดา “ผู้อาวุโสรอชมได้เลย!”
ดาบพุทธะสรรพสุญตาและเซียนดาบชิงซื่อมองหน้ากันแล้วพากันขำ
นี่คงกล่าวได้ว่าศีลเสมอกัน
สุนัขพื้นเมืองนำยันต์ลับชิ้นหนึ่งออกมาขยี้เบา ๆ
เรื่องในวันนี้ต้องรายงานต่อปราชญ์หงอวิ๋น
…
ไม่กี่ชั่วยามต่อมา
เรือสมบัติลำหนึ่งทะยานสู่นภา ร่อนลงตรงหน้าภูเขาจันทร์กระจ่างอย่างเชื่องช้า
ร่างของม่อชิงโฉวปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ ยกมือขึ้นโบกเก็บเรือสมบัติไป
จากนั้นนางก็เห็นภาพประหลาดตา
ภูเขาจันทร์กระจ่างถล่มลงเป็นซากกับพื้น
มีวัดตั้งอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง
ในวัดนั้นมีสุนัขพื้นเมืองตัวหนึ่งนั่งโอนเอนดื่มกินอาหารบนโต๊ะ
หลวงจีนคงจ้าวอยู่ข้างกายมัน เติมอาหารรินสุราอย่างแข็งขัน
“ท่านเซียนม่อ ไฉนเจ้ามาอยู่ที่นี่กัน?”
เซียนดาบชิงซื่อออกมาทักทาย
“ข้า…”
ม่อชิงโฉวกล่าวสาเหตุการมาของนางด้วยสีหน้าซับซ้อน
เมื่อรู้เช่นนี้ เซียนดาบชิงซื่อ ดาบพุทธะสรรพสุญตาและคนอื่น ๆ ก็อดซาบซึ้งใจมิได้
ไม่คาดเลยว่าสกุลม่อจะยอมถูกมองเป็นศัตรูร่วมในเขตหวงห้ามเซียนละล่อง เลือกยืนข้างซูอี้อย่างเด็ดเดี่ยว!
“เลือกได้ฉลาด ข้าต้องพูดว่าบรรพชนซิงหลินตระกูลเจ้าเป็นคนที่ทั้งฉลาดและกล้าหาญ”
สุนัขพื้นเมืองผู้กำลังกินดื่มสุขสำราญกล่าวขึ้น “ในภายหน้า พวกเจ้าสกุลม่อจะแสนยินดีที่ตัดสินใจเช่นนี้”
หากเป็นผู้อื่นกล่าวเช่นนี้ ม่อชิงโฉวคงมองข้าม
ทว่าเมื่อวาจาเหล่านี้ออกมาจากปากของ ‘ใต้เท้าซิงเชวีย’ ผู้รับใช้เซียนหงอวิ๋น มันก็ทำให้หัวใจของม่อชิงโฉวชื้นขึ้น ความว้าวุ่นบนสีหน้าจางหายไปมาก
“หากผู้อาวุโสกล่าวเช่นนั้น ผู้น้อยก็สบายใจขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ”
ม่อชิงโฉวโค้งขอบคุณเขา
จากนั้นนางก็ตั้งใจขอพบซูอี้ แต่ก็ได้รู้จากปากเซียนดาบชิงซื่อว่าซูอี้กลับไปเก็บตัวอีกหนแล้ว
วันเดียวกันนั้น ด้วยการจัดสรรของเซียนดาบชิงซื่อ ม่อชิงโฉวและสมาชิกสกุลม่อผู้ซ่อนตัวในสมบัติเซียน ‘เรือเคลื่อนนภา’ ก็ได้เข้าพักในวัดสรรพสุญตา
สำหรับม่อชิงโฉว เมื่อมี ‘ใต้เท้าซิงเชวีย’ พิทักษ์ที่นี่อยู่ ทุกผู้ในสกุลม่อก็สิ้นกังวล
ขณะเดียวกัน นี่ยังทำให้ม่อชิงโฉวตระหนักชัดเจนขึ้นด้วยว่าความสัมพันธ์ระหว่างซูอี้กับเซียนหงอวิ๋นนั้นเกินธรรมดา
หาไม่ ไฉนใต้เท้าซิงเชวียต้องมาพิทักษ์ที่นี่ด้วยตนเอง?
…
ภายในห้อง
ซูอี้นั่งลงขัดสมาธิ
ระหว่างเก็บตัวหนึ่งเดือน เขาได้เข้าใจ ‘เคล็ดเคลื่อนขอบเขต’ ที่หวังเย่ ผู้เป็นตัวตนในชาติที่หกของเขาสอนให้อย่างถ่องแท้
โลกภูมิไร้จำกัดในร่างของเขาแหลกสลายไปเนิ่นนาน การฝึกฝนวิถีเต๋าทั้งหมดว้าวุ่นเยี่ยงฮุ่นตุ้นแรกกำเนิด พลุ่งพล่านปั่นป่วนอยู่ในตันเถียน
ในสายตาคนนอก เขาดูเหมือนคนธรรมดา ไร้ปราณการฝึกฝนใด ๆ แม้เพียงน้อย
เพราะการฝึกฝนทุกขอบเขตถูกทำลายสิ้น ผนึกไว้ในตันเถียนของซูอี้โดยใช้เคล็ดวิชา
หากมิทำลายก็มิอาจก่อ ต้องทำลายก่อนแล้วจึงก่อ!
ทำลายทุกอย่างในอดีตเพื่อเวียนวัฏฝึกฝนใหม่ท่ามกลางความยุ่งเหยิงแห่งการทำลายล้าง!
หนึ่งเดือนมานี้ ซูอี้มุ่งไปที่การอนุมานทำความเข้าใจปริศนาของวิถีนี้ และในที่สุดก็ตระหนักลึกซึ้งว่าหนทางแปลงวิถีอันถือว่า ‘มิเคยก่อกำเนิดชั่วกาลนาน’ โดยชาติที่หกนี้ลึกลับเพียงไร
มันกระทั่งเปี่ยมด้วยบรรยากาศเร้นลับต้องห้าม!
บางทีอาจมีใครบางคนพยายามทำเช่นนี้มาก่อน แต่กลับกลายเป็นทำลายการฝึกฝนทั่วกายสิ้น
เพราะอำนาจพันธสัญญาแห่งเทพนั้นไม่ยินยอมให้ผู้ใดเหยียบย่างสู่วิถีนี้ได้เลย!
และซูอี้ก็ถือครองวัฏสงสาร ทั้งยังมีความเข้าใจเกี่ยวกับมหาวิถีเวิ้งลึกล้ำ เขาจึงทำสำเร็จได้ในที่สุด ไม่ถูกกำจัดทันทียามเคลื่อนขอบเขตสู่วิถีนี้
ทว่า…เขาก็ยังไม่ได้บรรลุสู่ขอบเขตนี้โดยสมบูรณ์ และยังมิได้ก้าวเท้าสู่วิถีจุติสรวงที่มิเคยมีมาก่อนนี้
อันตรายยังคงแฝงเร้น!
และยามนี้ กลิ่นอายปราณหายนะประหลาดก็ปรากฏขึ้นเงียบ ๆ จากสุญญะ พุ่งเข้าใส่เขาตามที่คาดเอาไว้
นั่นคือ… อำนาจของพันธสัญญาแห่งทวยเทพ!