บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1422: แปรสามัญ!
ตอนที่ 1422: แปรสามัญ!
อำนาจพันธสัญญาแห่งทวยเทพนั้นไร้รูปร่าง มิอาจจับต้อง
ทว่ามันก็มีอยู่จริง ร้ายกาจทรงพลัง เปี่ยมอำนาจทำลายล้างน่าสยดสยอง
ทันทีที่มันแผ่เข้าไปในร่างของซูอี้ ดาบเก้าคุมขังซึ่งนิ่งเงียบในห้วงความนึกคิดก็ถูกปลดขึ้นแทบจะพร้อมกัน!
ตู้ม!
ดาบเก้าคุมขังปลดปล่อยอำนาจลึกลับเกินเข้าใจ คลุมอำนาจพันธสัญญาแห่งทวยเทพซึ่งปรากฏอย่างเงียบงันราวเป็นตาข่ายใหญ่
ระหว่างนี้ อำนาจพันธสัญญาแห่งทวยเทพดิ้นรนอย่างดุเดือด ใช้ร่างของซูอี้เป็นสนามรบ ต่อกรกับดาบเก้าคุมขังอย่างดุเดือด
ทว่าท้ายที่สุดมันก็ถูกหล่อหลอมไปสิ้น ไม่อาจต้านทานอำนาจดาบเก้าคุมขังได้
ซูอี้ทำเพียงมองทุกอย่างอย่างเย็นชาแต่ต้นจนจบ
เดือนที่ผ่านมานี้ เขาประสบมหาภัยพิบัติประหลาดนี้มามากกว่าหน
แม้เขาจะรู้มาเนิ่นนานแล้วว่ามีดาบเก้าคุมขังอยู่ อำนาจของพันธสัญญาแห่งทวยเทพจะมิเป็นภัยกับเขาก็ตาม
ทว่าทุกครั้งที่เขาเห็นอำนาจประหลาดนี้ ซูอี้ก็ยังรู้สึกหัวใจสั่นสะท้าน หวาดกลัวอย่างมิอาจบรรยายอยู่ดี!
อำนาจพันธสัญญาแห่งทวยเทพนี้ร้ายกาจเกินไป เหนือล้ำเกินความรู้ความเข้าใจปัจจุบันของซูอี้
จากวาจาของชาติที่หก พันธสัญญาแห่งทวยเทพนั้นเหนือล้ำเกินวิถีเซียน สามารถกระโดดข้ามการเปลี่ยนแปลงแห่งยุคสมัยได้!
เมื่อถามตนดู ซูอี้ก็รู้โดยไร้กังขาว่าหากไร้ดาบเก้าคุมขัง ยามเขาทำลายโลกภูมิไร้กำจัดในร่าง เขาจะถูกพันธสัญญาแห่งทวยเทพปลิดชีวิตลบหายไปได้โดยง่ายดาย!
“มิน่าเล่า ชาติที่หกจึงบอกว่าวิถีนี้ ‘มิเคยปรากฏชั่วกาลนาน’ อย่างน้อยก็หลังพันธสัญญาแห่งทวยเทพปรากฏขึ้น มันก็เป็นทางตันสำหรับผู้ฝึกตนทั้งมวล!”
ซูอี้ครุ่นคิดอย่างเคร่งเครียด
ไม่นานนัก อำนาจพันธสัญญาแห่งทวยเทพก็หายไปสิ้น
ภายในร่างของซูอี้บังเกิดความกระหายหิวขึ้นโดยสัญชาตญาณ ราวกับกำลังโหยหาอาหารมื้อใหญ่
เขาไม่เคยคิดเลยว่าความหิวโหยจะแปรเปลี่ยนเป็นการทรมานอันโหดร้ายเพียงนี้
ซูอี้หยิบเม็ดโอสถออกมาเริ่มหล่อหลอมโดยไร้ลังเล
ทันใดนั้น มันก็ดูราวพิรุณโปรยหลังแล้งแสนนาน
เมื่อสารพัดโอสถแปรเปลี่ยนเป็นคลื่นความร้อนแทรกซึมเข้าไปในร่าง ความหิวโหยสุดขีดก็บรรเทาลงในที่สุด
อำนาจมหาวิถีอันปั่นป่วนในร่างของเขาขยายตัวอย่างต่อเนื่องราวกับแป้งพองตัวหลังจากหมักทิ้งไว้ มิอาจบรรยายได้
เพียงสามชั่วยาม
พลังของโอสถก็ถูกดูดกลืน ทว่าความโหยหิวอันคุ้นเคยก็ทะลักออกมาอีกหน
ซูอี้หยิบโอสถออกมาอีกชุดทันที
โชคดีที่เมื่อไม่นานนี้ เขาได้เก็บเกี่ยวสินสงครามมาล้นเหลือ โอสถทิพย์ในหมู่พวกมันถูกเตาเสริมสวรรค์หล่อหลอมแปรเปลี่ยนเป็นเลิศโอสถมากมาย
เพราะเหตุนี้ ซูอี้จึงสามารถสนองความโหยหิวจากวิญญาณได้ทุกคราไปยามเก็บตัวฝึกฝนหนึ่งเดือนก่อน
อันที่จริง เขารู้ว่ามันหาใช่ความโหยหิวโดยแท้จริงไม่
มันคือกรรมวิถีของเขาที่กำลังเกิดใหม่หลังจากถูกทำลาย เวียนวัฏในความวุ่นวายต่างหาก!
การแปรเปลี่ยนเช่นนี้ต้องการอำนาจปราณอันสม่ำเสมอ
หาไม่ การแปรเปลี่ยนนี้จะถูกกระทบกระเทือน
“อีกไม่นานหรอก มันห่างจากการก่อจิตทารกอันแท้จริงเพียงนิดเดียวเท่านั้น!”
ซูอี้ครุ่นคิด
วิถีจุติสรวงของเขาแตกต่างจากผู้ฝึกตนในโลกหล้าโดยสิ้นเชิง
เขาต้องทำลายพื้นฐานวิถีเต๋าของราชันแห่งภูมิเสียก่อน แล้วจึงใช้เคล็ดวิชาสร้างจิตทารก ถือจิตทารกนี้เป็นมาตุภูมิกำเนิดจักรวาล เพื่อรองรับทุกการฝึกฝนวิถี
ฮุ่นตุ้นกำเนิดจักรวาลนั้นมิอาจอธิบาย
เมื่อหลอมรวมการฝึกฝนมหาวิถีของเขาเข้าไป มันก็เป็นหมื่นวิถีคืนเหย้า ทำให้ร่างของเขาเป็นเช่นปุถุชน ไร้ร่องรอยของวิถีเต๋า
ตู้ม!
อำนาจวิถีเต๋าในร่างของซูอี้บิดวนพลุ่งพล่านรุนแรงราวกับฮุ่นตุ้นแปรปรวน
ด้วยมีอำนาจสารพัดโอสถจุติสรวงเข้าเสริม การแปรเปลี่ยนนี้ก็ทวีความรุนแรง วิถีอันปั่นป่วนเริ่มหดตัวลงอย่างต่อเนื่อง…
ทุกคราที่มันบีบอัด เสียงเปรี้ยงกัมปนาทจะปะทุสนั่นดุจวาตะอัสนีสะเทือนคลั่งทั่วร่างซูอี้
ในที่สุด วิถีเต๋าอันปั่นป่วนเยี่ยงฮุ่นตุ้นก็หดตัวเป็นมวลสารกลมเยี่ยงเปลือกไข่
ยามนี้ ความโหยหิวนั้นทรงพลังเสียจนร่างของซูอี้สะท้านสั่นเล็กน้อย
เขาตระหนักแล้วว่าการเวียนวัฏเลื่อนขอบเขตมาถึงกาลสำคัญสูงสุด
ซูอี้นำหนึ่งโอสถหนึ่งเม็ดที่ตนถนอมไว้ออกมาโดยไร้ลังเล!
เม็ดโอสถนี้เจิดจรัสเยี่ยงดวงดาว ใสกระจ่างเยี่ยงแก้ว พิรุณแสงเซียนโปรยปรายดูงดงามยิ่ง เสียงบริกรรมแห่งเหล่าเซียนสะท้อนออกมาแผ่วเบา
เม็ดโอสถจิตสวรรค์นพคุณ!
ใช้ ‘โสมเซียนนพคุณ’ ที่ปราชญ์หงอวิ๋นให้มาเป็นวัตถุดิบหลัก หลอมรวมเข้ากับโอสถทิพย์จุติสรวงหายากหลายร้อยชนิด เคี่ยวหลอมอยู่สามวันสามคืนโดยเตาเสริมสวรรค์ก่อนจะหลอมออกมาได้สองเม็ด
หนึ่งเม็ดถูกใช้เป็นค่าแรงของเตาเสริมสวรรค์
ส่วนอีกหนึ่งอยู่ในมือของซูอี้
และยามนี้ เมื่อซูอี้กลืนโอสถนี้ลงไป
ตู้ม!!
อำนาจร้ายกาจของโอสถก็ถาโถมเยี่ยงคลื่นยักษ์ไปทั่วร่างของซูอี้
และภายในร่างของเขา อำนาจวิถีเต๋าอันปั่นป่วนก็ดูจะสะสมอำนาจได้เพียงพอเสียที และพลันแปรเปลี่ยนไปอย่างสุดขั้วเกินใดเทียบ!
ราวกับฮุ่นตุ้นแหวกเปิด ท้องนภาเคลื่อนสูง ผืนพิภพคล้อยต่ำ
การแปรเปลี่ยนเช่นนี้น่าอัศจรรย์เหลือเชื่อ ราวกับเทพผู้สร้างใช้ขวานยักษ์เบิกสุญญะ พัฒนาภูมิลักษณ์อันเก่าแก่สูงสุด
สารพัดความรู้สึกลึกลับเองก็ปรากฏในใจซูอี้ราวกระแสวารี
ขณะเดียวกัน ในโลกภายนอก
บนท้องนภากลางราตรี เมฆทัณฑ์ประหลาดปรากฏขึ้นอย่างไม่เป็นระเบียบ ไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ
เมฆทัณฑ์นั้นดำสนิทเยี่ยงหมึก กระเพื่อมบิดวนอย่างรุนแรง และทัณฑ์อสนีบาตดูกำลังคุกรุ่นแผดเผา
ภายในทัณฑ์อสนีบาตนั้นมีอำนาจกฎเกณฑ์ดุจตรวนทิพย์นับไม่ถ้วนวูบไหวอยู่จาง ๆ
“หือ?”
สุนัขพื้นเมืองพลันปรากฏขึ้นนอกห้อง มองขึ้นไปสู่ท้องนภา
จากนั้นม่านตาของมันก็หดตัวอย่างตกตะลึง
นี่… มหาภัยพิบัติใดกัน!?
ความหนาวเยือกเกินบรรยายพุ่งขึ้นในใจ และสุนัขพื้นเมืองก็ร่างสั่น แผดเสียงลั่นด้วยหัวใจกระวนกระวาย หวาดกลัวเกินสะกดกลั้น
“มหาภัยพิบัติบรรลุเซียนที่ข้าผู้นี้เคยเผชิญเมื่อกาลก่อนยังน่ากลัวน้อยกว่ามหาภัยพิบัติเช่นนี้เป็นไหน ๆ!”
สุนัขพื้นเมืองฝืนเบิกตามอง พยายามสัมผัสบางอย่าง
ทว่าเพียงพริบตาเดียว มันก็โอดครวญ หัวใจสั่นระรัว เหงื่อกาฬแตกพลั่ก ขนทั่วกายลุกชัน!
มันไม่กล้าพยายามหยั่งอีกต่อไป
อำนาจมหาภัยพิบัตินั้นรุนแรงเกินไป แม้แต่ระดับวิถีเต๋า หากฝืนเข้าสัมผัส มันก็ยังไม่อาจรับผลกระทบได้!
“หือ?”
ทันใดนั้น มันก็ตะลึงงัน
มันเห็นอันใด?
ในหมู่เมฆอันเปี่ยมด้วยอำนาจสารพัดกฎเกณฑ์รัดพัน มีร่างมายาดุจทวยเทพอยู่!
ร่างอวตารของวิถีแห่งสวรรค์?
หรือจะเป็น… เทพที่เขาว่ากัน!?
ชั่วขณะนั้น ทั่วร่างของสุนัขพื้นเมืองเย็นยะเยือก มันไม่กล้าขยับตัว หัวใจได้รับการกระทบกระเทือนยิ่งกว่ายามใด สติหลุดลอยสู่ภวังค์
สุนัขพื้นเมืองดูจะได้ยินวจีดาบดังแว่วมา
มันดูจะได้เห็นเงาของดาบอันสูงส่งเหนือผู้ใดเล่มหนึ่งทะยานสู่เก้าชั้นฟ้า พุ่งเข้าสู่เมฆทัณฑ์นั้น
และดูมันจะเห็นเมฆทัณฑ์นั้นสลายตัว
อำนาจกฎเกณฑ์อันลึกลับทั้งหลายแหลกไม่เหลือเค้า ร่างมายาดุจเทพเทวาระเบิดหายเยี่ยงฟองอากาศ
…ไม่อาจทราบได้ว่าเนิ่นนานเพียงใดจากนั้น ร่างของสุนัขพื้นเมืองก็สั่นสะท้าน พลันตื่นขึ้นจากภวังค์
ณ ท้องนภาไกลโพ้น หมู่เมฆลอยแผ่วพลิ้ว สายลมโชยนุ่มนวล ดวงดาราพริบพราย จันทราลอยเด่นกระจ่างชัด แล้วเงาของบททดสอบสวรรค์นั้นเล่าหายไปหนใดกัน?
“***! มหาภัยพิบัติบ้านไหนกันนี่!?”
สุนัขพื้นเมืองอดสบถเสียงต่ำมิได้
เมื่อครู่ มันกลัวตัวสั่นแทบเป็นแทบตาย ทว่าเผลอเพียงครู่ มหาภัยพิบัติประหลาดนี้ก็หายไปแล้ว
วูบ!
ดวงตาของสุนัขพื้นเมืองฉายแววโรจน์ขณะมองไปยังห้องพำนักของซูอี้
มันสังหรณ์ว่ามหาภัยพิบัติร้ายกาจนี้ต้องเกี่ยวพันกับซูอี้ และ… มีเป็นไปได้สูงมากว่าอีกฝ่ายจะบรรลุขอบเขตสู่วิถีจุติสรวงแล้ว!
“ช่างเถอะ ไว้ถามยามเขาออกจากการเก็บตัวก็ยังมิสาย”
สุนัขพื้นเมืองบังคับตนให้ฝืนความอยากพุ่งไปถามเอาไว้
มันพยายามสงบใจตน
หนึ่งมหาภัยพิบัติปรากฏขึ้นอย่างไร้เสียง และก็มีเพียงมันที่รับรู้ ผู้อื่นหาได้ตระหนักไม่
นอกจากนั้นยังมีอำนาจกฎเกณฑ์ประหลาดอยู่ในเมฆทัณฑ์นั้น ซ้ำยังมีร่างมายาดุจเทพเทวา ประหลาดยิ่งนัก!
“เจ้าเด็กแซ่ซูนี่ต้องมีปริศนายิ่งใหญ่อยู่กับตน! บางทีอาจเป็นเพราะเจ้านายมองเห็นเช่นนี้ นางจึงมองเขาแตกต่างออกไปก็เป็นได้”
สุนัขพื้นเมืองครุ่นคิดอย่างจริงจัง
…
ภายในห้องพำนัก
ซูอี้กำลังนั่งขัดสมาธิ
เขาดูไร้ความโดดเด่น ไม่มีกระทั่งร่องรอยปราณพลิ้วแผ่วออกมาจากร่าง
ทว่าในร่าง เขากำลังเกิดใหม่อย่างที่ไม่เคยกระทำ!
อำนาจมหาวิถีอันปั่นป่วนอยู่ภายในตันเถียนของเขาเจิดจ้าเยี่ยงดาวตกเหนือท้องนภาพร่างดาว ประสานถักทอเป็นพิมพ์เขียวดาบวิถีเล่มหนึ่ง
และดาบวิถีเล่มนั้นก็ค่อย ๆ ก่อตัวและแข็งแกร่งขึ้น
อำนาจวนเวียนราวฮุ่นตุ้น ให้บรรยากาศศักดิ์สิทธิ์สูงส่งดุจสวรรค์สร้าง
เมื่อพินิจให้ดีแล้ว มันดูมีรูปลักษณ์เหมือนดาบเก้าคุมขังทุกกระเบียดนิ้ว เว้นแต่ไม่มีตรวนเท่านั้น!
คลื่นอำนาจมหาวิถีร้ายกาจพุ่งขึ้นบนดาบวิถีเล่มนี้ หมอกแสงโกลาหลนับร้อยล้านพร่างพรมลงมา ซึ่งทำให้ร่างวิถี จิตวิญญาณและการฝึกฝนของซูอี้ก้าวสู่ขอบเขตใหม่!
มันเป็นการเวียนวัฏที่กล่าวได้ว่าเป็นการสร้างหลังสิ้น ก่อหลังทำลาย เวียนวัฏจากเถ้าถ่าน กลั่นบริสุทธิ์เหนือยามใด!
สิ่งที่น่าเหลือเชื่อที่สุดก็คือทุกอำนาจที่ซูอี้ครอบครอง แม้กระทั่งปราณของเขาก็หายวับไปจากรูปลักษณ์ภายนอก ถูกรั้งเก็บไว้ในตัว หลอมรวมเข้ากับดาบวิถีในตันเถียนของเขา
หากมองจากภายนอก การแปรเปลี่ยนอันไม่เคยเกิดขึ้นนี้ดูราวกับเขาร่วงลงคลุกมลทิน คืนสู่การเป็นมนุษย์ปุถุชน
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงเปลือกนอก
ตู้ม!
ดาบวิถีในตันเถียนของเขากู่คำราม อำนาจมหาวิถีอันปั่นป่วนเคลื่อนโคจรเดือนพล่านวนซ้ำมิรู้จบ กลืนกินและหมุนวนเยี่ยงฮุ่นตุ้นแรกกำเนิด
ชั่วขณะนั้น ซูอี้สัมผัสได้ชัดเจนว่าตนแตกต่างไปจากกาลก่อนโดยสิ้นเชิง
ราวกับแก่นแห่งชีวิตของเขาแปรเปลี่ยนอย่างสุดขั้ว ชะล้างอำนาจคืนสู่สามัญ!
การเคลื่อนขอบเขตนี้ยังคงต้องใช้ดาบเก้าคุมขังสะบั้นเมฆาทัณฑ์ยามเกิดมหาภัยพิบัติเช่นกาลก่อน
สิ่งที่แตกต่างจากอดีตคือ ซูอี้ได้ก้าวสู่วิถีจุติสรวงอันเป็นเอกลักษณ์ในโลกหล้า มิเคยก่อเกิดตราบนิรันดร์
ขอบเขตของเขาในขณะนี้มีนามว่าแปรสามัญ!
และดาบวิถีในร่างของเขาอันมีรูปลักษณ์เหมือนดาบเก้าคุมขังก็คือจิตทารกของเขา บรรจุวิถีเต๋าของเขาไว้ภายในเช่นมาตุภูมิกำเนิดจักรวาล!
จิตทารกของผู้อื่นแทบจะเป็นร่างซึ่งถูกผนึกไว้ในโลกภูมิไร้จำกัดอันสื่อถึงวิถีเต๋าของพวกตนทั้งสิ้น
ทว่าจิตทารกของซูอี้มีรูปลักษณ์เป็นดาบเก้าคุมขัง หลอมรวมวิถีเต๋าทั้งหมดเข้าไปในตัวมันด้วยเหตุผลบางประการ
ทั้งสองย้อนแย้ง แตกต่างกันอย่างยิ่ง!
“ในที่สุด… ก็เลื่อนขอบเขตได้…”
ซูอี้รำพึงแฝงด้วยความพึงพอใจ