บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1425: เปิดฉากคิดบัญชี
ตอนที่ 1425: เปิดฉากคิดบัญชี
สำนักเซียนฝังวิญญาณ
ในโถงเซียนอันโอ่อ่าเก่าแก่แห่งหนึ่ง สาวใช้ผู้งดงามเรียงแถวนำมธุรสหยกสรรพอาหารอันโอชารสมารับรองลื่นไหลเยี่ยงสายน้ำ
ในโถงหลักมีวิญญาณอาสัญวิถีเซียนอยู่สามสิบหกตน!
บนร่างของพวกเขา บ้างเพลิงศักดิ์สิทธิ์แผดเผา บ้างรัศมีเซียนเจิดจรัส บ้างปราณดาบพลิ้วโปรย พวกเขาแต่ละคนล้วนมีปราณแข็งแกร่งพลุ่งพล่านถึงขีดสุด
โดยเฉพาะเก้าบุคคลในที่นั่งตำแหน่งสูงสุดซึ่งมีอำนาจกดดันสูงสุด พวกเขาทั้งหมดล้วนอาบแสงศักดิ์สิทธิ์ บรรยากาศทุกการเคลื่อนไหวยิ่งใหญ่เหนือผู้ใด
เฟิงจิ้งไห่และหงซานถูรวมอยู่ในหมู่พวกเขา
“หลังจากเนิ่นนานชั่วกาล ไม่คาดเลยว่าพวกเราทั้งหลายจะมารวมตัวกันที่นี่ก็เพื่อตัวตนเล็กจ้อยในขอบเขตไร้ขีดจำกัดผู้เดียว ชวนให้รู้สึกหลากหลายอย่างจริงแท้”
เฟิงจิ้งไห่รำพึงบนบัลลังก์ประธาน
คนทุกผู้ต่างทอดถอนใจ
พวกเขาล้วนแต่เป็นเซียนก่อนตายตก พยัคฆ์ร้ายสองตัวไม่อยู่ร่วมถิ่น
ทว่ายามนี้ เพียงเพื่อต้องการกำจัดศัตรูผู้เดียวกัน พวกเขากลับต้องมารวมตัวกันเป็นคราแรก ใครเล่าจะมิรำพึงได้?
“หลังล่าซูอี้ผู้นี้เสร็จ ข้าจะดื่มกับพวกท่านอีก”
เฟิงจิ้งไห่ว่า
เซียนทั้งหลายล้วนแย้มยิ้มพยักหน้า
เซียนทั้งหลาย ณ ที่ประชุมนี้ ในสมัยโบราณกาลก่อนล้วนแต่ไร้คู่เปรียบในโลกหล้า ถือครองวิถีเต๋าสูงสุดที่ไร้ผู้ใดก้าวถึง นับประสาอันใดกับซูอี้ได้เล่า?
“ว่าไป เพื่อจัดการผู้น้อยคนเดียว เราคนเฒ่าทั้งหลายกลับต้องลงมือด้วยกัน ต่อให้ชนะก็ถือเป็นการต่อสู้มิได้หรอก”
บางผู้รำพึงเบา ๆ
“ข้าพูดเช่นนั้นไม่ได้หรอก ไอ้หนูนั่นเป็นคนขู่ให้เราทั้งหลายจำนนเอง มิใช่เราสักหน่อยที่ไปเกรี้ยวกราดข่มขู่”
บางผู้กล่าวอย่างเฉยเมย
“ชนะคือเจ้า พ่ายคือเชลย ขอเพียงได้วัฏสงสารมา ทุกสิ่งล้วนคุ้มค่า”
บางผู้กล่าว
เหล่าเซียนต่างกล่าวโอ่สูงส่งราวกับเป็นผู้ชนะศึกแล้ว
สายตาของเฟิงจิ้งไห่กวาดมองคนทุกผู้ หัวใจของเขาก็เปี่ยมความมั่นใจทะเยอทะยานเช่นกัน
เหล่าเซียนรวมหมู่ แม้ทุกผู้จะเป็นวิญญาณอาสัญ ความแข็งแกร่งก็ยังทรงพลังไร้ผู้เทียบ!
ทันใดนั้น โลกภายนอกก็บังเกิดเสียงฮือฮาสนั่นลั่นทั่วฟ้าดิน
ซูอี้มาแล้ว!
……
ภายใต้ท้องนภา หนึ่งคนหนึ่งสุนัขก้าวย่างบนเวหา
สุนัขพื้นเมืองข้างกายเขาหาต่างจากสุนัขเฝ้าบ้านชาวนาปุถุชนทั่วไปไม่
นั่นคือซูอี้และสุนัขพื้นเมืองนามซิงเชวีย
เมื่อทั้งสองปรากฏขึ้น เสียงลือลั่นก็ตามมาทันที
“ซูอี้! เขามาจริง ๆ!”
“ขะ เขา… ไหงมากับสุนัขเล่า?”
“บางอย่างไม่ชอบมาพากลแล้ว ไฉนซูอี้ไร้กระทั่งปราณบนร่างกัน?”
เสียงหารือดังทั่วโลกหล้า และซูอี้หาสนใจไม่
สุนัขพื้นเมืองไม่พอใจเล็กน้อย สายตากวาดมองไปทั่วอย่างเฉยเมย ไอ้พวกนี้ไร้ตากันแท้ ๆ!
“ซูอี้ ไฉนเจ้าจึงพาสุนัขพื้นเมืองดาด ๆ มาด้วยเล่า หรือนี่จะเป็นผู้หนุนหลังเจ้า?”
ตัวตนหนึ่งในขอบเขตจุติมงคลจากสำนักเซียนฝังวิญญาณอดเย้ยหยันมิได้ ซึ่งนั่นทำให้เสียงหัวเราะระเบิดขึ้นทันที
สุนัขพื้นเมืองแค่นเสียงอย่างเย็นชาพลางโบกอุ้งเท้า
เปรี้ยง!!
ไกลออกไปหลายพันจั้ง ยอดฝีมือขอบเขตจุติมงคลจากสำนักเซียนฝังวิญญาณผู้นั้นร่างระเบิดในทันที โลหิตสาดกระเซ็นทั่วหล้า วิญญาณเตลิดกระจาย
เสียงหัวเราะในละแวกหยุดลงกะทันหัน บรรยากาศเงียบสงัดไร้วจี
คนทุกผู้ล้วนผงะ!
นั่นคือตัวตนในขอบเขตจุติมงคล ทว่ากลับถูกลบหายจากที่ในพริบตา!
“หัวเราะสิ ไฉนไม่หัวเราะเล่า?”
สุนัขพื้นเมืองกล่าวอย่างเย็นชา
ดวงตาของมันวาวโรจน์ น้ำเสียงแพร่ถ้วนทั่วทุกโสต ทำให้หลายผู้เปลี่ยนสีหน้า ตระหนักชัดเจนว่าสุนัขพื้นเมืองตัวนี้คือผู้แข็งแกร่งร้ายกาจอย่างเหลือเชื่อ!
“สารเลวพวกนี้ไร้ตาจริงแท้”
ขณะนั้นเอง ร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้น ก้าวเดินเข้ามาคำนับซูอี้และสุนัขพื้นเมืองด้วยรอยยิ้ม “ผู้น้อยม่อซิงหลิน คารวะสหายเต๋าทั้งสอง”
ม่อซิงหลิน!
การปรากฏกายของเขาเรียกเสียงอื้ออึงจากฝูงชน หลายผู้แสดงสีหน้าเหลือเชื่อ
เมื่อไม่นานนี้ ตระกูลม่อประกาศยืนหยัดข้างซูอี้อย่างเด็ดเดี่ยว การกระทำเช่นนี้ถือว่าเป็นศัตรูร่วมของเขตหวงห้ามเซียนละล่องทั่วทั้ง!
ทว่าไม่มีผู้ใดคาดว่าม่อซิงหลินซึ่งเป็นเซียนจะปรากฏขึ้นในยามนี้!
เขา… ไม่กลัวถูกคิดบัญชีหรือไร?
ซูอี้พยักหน้าให้ม่อซิงหลินน้อย ๆ “ในศึกนี้ ทั้งเจ้าและมันถอยไปข้าง ๆ อย่าเข้ามาพัวพัน”
ม่อซิงหลินอึ้งไป และกำลังจะกล่าวบางอย่าง
ทว่าซูอี้หันไปกล่าวกับมหานทีประกายหยกอย่างเฉยชาเสียแล้ว
“ข้าคนแซ่ซูมาแล้ว ไม่ออกมาพบกันหน่อยหรือไร?”
เขาไร้ร่องรอยการฝึกฝนในกาย ทว่าทุกวาจาที่เปล่งออกกลับเป็นเช่นอัสนีบาตจากเก้าชั้นฟ้า สะเทือนสั่นทั่วฟ้าดิน
ราวมีคลื่นเสียงก่อตัวออกจากปากของซูอี้กวาดเป็นคลื่นร้ายกาจไปทั่วมหานทีประกายหยก ค่ายกลแล้วค่ายกลเล่าถูกกระเทือนกระเพื่อมตาม ๆ กัน
ค่ายกลพิทักษ์แดนของสำนักเซียนฝังวิญญาณล้วนสั่นสะท้านเป็นชั้นแสงขวางคลื่นเสียงไว้
ไม่อาจทราบได้ว่ามีผู้ฝึกตนในละแวกมหานทีประกายหยกตะลึงราวถูกสายฟ้าฟาดมากมายเพียงไร หัวใจของพวกเขาสั่นสะท้าน ถูกกระทบกระเทือนอย่างร้ายกาจ สีหน้าแปรเปลี่ยนต้องถอยร่างหลบออกไปตาม ๆ กัน
นี่คือความน่ากลัวของซูอี้!
ไม่ต้องใช้อำนาจวิเศษใด เพียงเสียงก็สามารถสะเทือนสวรรค์สั่นโลกา ถล่มโจมตีวิญญาณของเหล่าผู้ฝึกตนที่นี่ได้!
สิ่งเหลือเชื่อที่สุดก็คือเขาดูไร้ความพิเศษ ไร้ร่องรอยการฝึกฝนใด ๆ
“จะให้ข้าออกไปพบ? โอ้ ตั๊กแตนน้อยเสียงดังดีนี่”
เสียงอันทรงอำนาจหนึ่งดังขึ้น
แสงเซียนทะยานขึ้นสู่ฟ้า ณ กลางมหานทีประกายหยก เฟิงจิ้งไห่และหงซานถูพาเซียนกลุ่มหนึ่งปรากฏตัว เคลื่อนผ่านนภาอย่างยิ่งใหญ่
เหล่าเซียนเคลื่อนขบวน ฟ้าดินแปรสีสัน!
การจัดทัพอันน่าหวาดหวั่นนี้ทำให้แดนดินเดือดพล่าน ผู้คนตื่นเต้นขึ้นโดยสมบูรณ์
เห็นเช่นนี้ สีหน้าของซูอี้ยังคงเฉยชาเยี่ยงก่อน ทำเพียงกล่าวกับสุนัขพื้นเมืองข้างกายว่า “จำไว้นะ เจ้าแค่ดูเรื่องสนุกอย่างเดียวเท่านั้น”
สุนัขพื้นเมืองแค่นเสียงอย่างเย็นชา กล่าวอย่างขุ่นเคือง “ข้าหน่ายเกินกว่าจะช่วยเจ้า!”
ม่อซิงหลินอดผงะไปไม่ได้ หรือซูอี้วางแผนจะสู้กับเหล่าเซียนด้วยตนเอง?
“มิคาดเลยว่าเจ้าม่อซิงหลินก็มาด้วย”
ดวงตาของเฟิงจิ้งไห่คมปลาบเยี่ยงอัสนีบาต กล่าวกับม่อซิงหลินจากไกล ๆ ด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ตั้งมั่นจะช่วยซูอี้ผู้นั้น เป็นศัตรูกับข้าโดยสมบูรณ์แล้วรึ?”
เซียนตนอื่น ๆ ต่างก็มองม่อซิงหลินราวจะกินเลือดกินเนื้อเช่นกัน
“เปล่าหรอก เขาก็เหมือนข้า มาดูเรื่องสนุกเฉย ๆ ต่างหาก”
สุนัขพื้นเมืองชิงกล่าวขึ้นก่อน “พวกเจ้าฟังให้ดีนะ จะเป็นการดีที่สุดหากทุ่มสุดกำลังเพื่อฆ่าเจ้าเด็กแซ่ซูนั่น!”
ทุกผู้ “???”
พวกเขาเกือบคิดแล้วว่าหูฝาด
ทันใดนั้น สุนัขพื้นเมืองก็กล่าวช้า ๆ อย่างมีเหตุผล “แต่หากมีผู้ใดหนีจากสงคราม ข้าผู้นี้รับปากว่ามันจะตายอย่างอนาถ!”
วาจานั้นสะท้อนถ้วนทั่ว และยังทำให้สีหน้าของเหล่าวิญญาณอาสัญวิถีเซียนมืดทะมึน
เป็นแค่สุนัขพื้นเมือง กล้ามาขู่พวกเขา!
ช่างน่าขันเสียนี่กระไร?
ชายวัยกลางคนผมดำในชุดขาวผู้หนึ่งเชิดหน้าหัวเราะลั่นนภา “ฮ่า ๆๆ สุนัขนี่น่าสนใจแท้ ข้าจะจับมันมาบดกระดูกแล่หนัง ต้มหม้อไฟเนื้อสุนัขกินในภายหลัง!”
นี่คือวิญญาณอาสัญวิถีเซียนตนหนึ่ง มีนามว่าอู๋ชงจือ มาจากสุขาวดีจรทักษิณและเป็นเซียนในวิถีมารก่อนตายตก มีอุปนิสัยโหดร้ายคลั่งอำนาจยิ่งนัก
สุนัขพื้นเมืองแค่นเสียงอย่างเย็นชา และร่างของมันก็หายวับไป
อึดใจต่อมา มันก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าอู๋ชงจือ ประทับอุ้งเท้าลงบนใบหน้าของเขา
ป้าบ!
เสียงตบดังสนั่น
ร่างของอู๋ชงจือละลิ่วลอยหัวทิ่ม แก้มบวมแดงก่ำ
เหล่าผู้ชมตัวสั่นไร้ซึ่งวาจา
สุนัขพื้นเมืองกลับสู่ที่เดิมของมันและกล่าวอย่างเย็นชา “เจ้าควรดีใจนะที่ยังมีชีวิต หากไม่ใช่เพราะเจ้าเด็กแซ่ซูมิให้ข้าเข้าร่วมศึก เพียงอุ้งเท้านี้ก็ตบไอ้แก่อย่างเจ้าตายได้!”
อู๋ชงจือเดือดดาล ใบหน้างอง้ำอัปลักษณ์ ทว่าแท้จริงในหัวใจของเขากลับหวาดผวา ไม่อาจคาดคิดเลยว่าไฉนสุนัขพื้นเมืองตัวหนึ่งจะทรงพลังได้เพียงนี้
เซียนตนอื่น ๆ เองก็พากันขมวดคิ้ว ดูประหลาดใจ
สุนัขพื้นเมืองตัวนี้… พิเศษมาจากหนใด?
หรือนี่จะเป็นผู้หนุนหลังซูอี้จริง ๆ?
ซูอี้ขมวดคิ้ว หันไปมองสุนัขพื้นเมือง
แม้เขาจะไม่ได้กล่าววาจาใด แต่มันก็ทำให้สุนัขพื้นเมืองรู้สึกจนใจจนต้องกล่าวอย่างขุ่นเคือง “อย่าห่วงไป ต่อให้ภายหน้าเจ้าจะถูกฆ่า ข้าผู้นี้ก็จะไม่ขยับ!”
“เจ้าตรงนั้นน่ะ ไปกันเถอะ ไปหาที่ดูห่าง ๆ กัน”
กล่าวจบ สุนัขพื้นเมืองก็พาม่อซิงหลินจากไปแล้ว
ภาพนี้ทำให้ทุกผู้ประหลาดใจยิ่ง
เฟิงจิ้งไห่และเหล่าวิญญาณอาสัญวิถีเซียนเองก็ผงะไป มิเข้ามาพัวพันหรือ!?
หมายความเช่นไร หรือเจ้าเด็กแซ่ซูนั่นยังอยากดวลกับเซียนสามสิบหกตนลำพัง?
บ้าไปแล้ว!
ชั่วขณะนั้น พวกเขาล้วนลังเล มิอาจคาดได้ว่าซูอี้ซ่อนเร้นสิ่งใดไว้
ใครเล่าจะคาดว่าแม้จะมีผู้หนุนหลังแข็งแกร่ง เขาก็ยังมิยอมใช้ พาตนเองมาตายอยู่ดี?
เรื่องนี้ต้องมีสิ่งผิดปกติ!
“อย่ามัวแต่อึ้งสิ! ข้าบอกไปหมดแล้ว จะ! ไม่! ยุ่ง! เชิญฆ่าเจ้าคนแซ่ซูได้เลย”
สุนัขพื้นเมืองตะโกนลั่นมาจากไกล ๆ
ทุกผู้ล้วนตะลึงอึ้ง
ม่อซิงหลินอดใช้มือแปะหน้าผากอย่างตกตะลึงมิได้
ใต้เท้าซิงเชวียและสหายเต๋าซู พวกเขาคิดกระทำการใด?
ซูอี้เมินเรื่องพวกนี้ไปสิ้น
เขากล่าวกับพวกเฟิงจิ้งไห่จากไกล ๆ ว่า “เมื่อสามวันก่อน ข้าบอกว่าพวกเจ้าเลือกได้เพียงจำนนหรือตาย ยามนี้ได้เวลาแจ้งจุดยืนแล้ว”
น้ำเสียงของเขาเฉยเมย สะท้อนก้องฟังชัดถ้วนทั่วแดน
คนทุกผู้กรามแทบร่วงอย่างตกใจ
อยู่ตรงหน้าคือเซียน ทว่าพวกเขากลับต้องเลือกจำนนหรือตาย!
ซูอี้ผู้นี้… เก็บกดมากไปจริง ๆ หรือไม่?
“จำนนหรือ?”
รอยยิ้มเย็นเยียบปรากฏจาง ๆ บนใบหน้าเฟิงจิ้งไห่ “เจ้าคิดว่าข้ามารอที่นี่เพื่อก้มหัวให้เจ้า ผู้น้อยตัวจ้อยหรือไร?”
“นี่เป็นความเห็นของคนอื่น ๆ ด้วยหรือไม่?”
ซูอี้ใช้สองมือไพล่หลัง กวาดตามองไปรอบ ๆ
“หากสหายเต๋าซูเต็มใจส่งวัฏสงสารมาเดี๋ยวนี้ ข้ารับปากจะให้สหายเต๋าซูจากที่นี่ไปอย่างปลอดภัยในวันนี้”
หงซานถูกล่าวเสียงลุ่มลึก
การปรากฏตัวของสุนัขพื้นเมืองทำให้เขาสังเกตความผิดปกติบางอย่างได้
และกิริยาสุขุมของซูอี้นั้นเปี่ยมความมั่นใจ ทำให้หงซานถูและเซียนคนอื่น ๆ ต่างตื่นตัวระแวง
พวกเขาล้วนแต่เป็นผู้เฒ่าเจนมรสุม มีหรือจะมิเห็น?
“ถูกต้อง ส่งวัฏสงสารมา แล้วความแค้นเก่าก็นับว่าหายกัน! หาไม่ ที่นี่วันนี้ เกรงว่าเจ้าจะได้ตายโดยไร้ที่ฝัง”
หญิงงามวัยกลางคนผู้วางตนอย่างสง่างามผู้หนึ่งกล่าว
วิญญาณอาสัญจากขุมกำลังโบราณต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนออกมาแสดงจุดยืนของตนตาม ๆ กัน ถือซูอี้เป็นเพียงของตายบนตะเกียบ จะหยิบแบ่งเช่นไรก็ตามใจ
สิ่งเดียวที่ทำให้พวกเขากลัวก็คือสุนัขพื้นเมืองซึ่งอยู่ห่างออกไป และประกาศตนจะไม่เข้าร่วมศึกนี้
แน่นอนว่าแค่กลัว
หากลงมือสุดกำลังจริง ๆ พวกเขาเหล่าเซียนร่วมมือ หากลัวผู้ใดไม่!
“ว่าแล้วเชียว ไร้ผู้ใดคิดจำนน”
ซูอี้พยักหน้า กล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยชา “ก็ได้ วันนี้ที่เขตหวงห้ามเซียนละล่องนี้ ข้าคนแซ่ซูจะเปิดฉากคิดบัญชี!”
กล่าวจบ เขาก็ก้าวไปเบื้องหน้า
หนึ่งคนเผชิญเซียนสามสิบหกตน และยังคงเป็นฝ่ายเริ่มเคลื่อนไหวก่อน!?
ภาพนั้นทำให้ทุกผู้เบิกตาอย่างไม่อยากเชื่อ!!!