บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1426: ยกหมัดขึ้นสังหารเซียน
ตรงหน้ามีเซียนอยู่สามสิบหกตน!
การจัดทัพเช่นนั้นเพียงพอจะทำให้วิญญาณอาสัญวิถีเซียนขอบเขตเดียวกันรู้สึกสิ้นหวัง
ทว่าซูอี้กลับขู่จะเปิดฉากคิดบัญชี
หนำซ้ำเขายังเป็นฝ่ายเปิดศึกก่อนเสียด้วย!
ใครเล่าจะไม่แปลกใจ?
“สหายเต๋าท่านใดเต็มใจอยากลองเชิงคนผู้นี้บ้าง?”
เฟิงจิ้งไห่กล่าวด้วยเสียงลุ่มลึก
บรรยากาศของซูอี้ประหลาดเกินไป ไร้ร่องรอยการฝึกฝนบนร่างของเขา หาต่างจากคนทั่วไปไม่
ทว่าก็เพราะเช่นนี้เอง ผู้คนจึงไม่อาจหยั่งเชิงเขาได้!
“ข้าเอง”
เสียงแหบแห้งดังขึ้น ชายชราร่างผอมในอาภรณ์สีทอง สวมมงกุฎหยกบนศีรษะก้าวออกมา
ร่างของเขาผอมสูง เปี่ยมด้วยรัศมีเซียนสีเงินยวง อำนาจร้ายกาจชวนตะลึง กลืนภูเขากลบลำธาร
เลี่ยเหวินจง!
เซียนตนหนึ่งจากพรรคเซียนเร้นราตรี มีลำดับอาวุโสสูงสุด
แตกต่างจากขุมกำลังวิถีเซียนอื่น ๆ คนผู้นี้พิสูจน์วิถีบรรลุเซียนในแดนมนุษย์ และในสมัยโบราณ เขาคือหนึ่งในเซียนบนแดนมนุษย์ผู้ลือนาม
เมื่อเขาก้าวออกมา ทุกผู้ก็มองมาอย่างคาดหวัง
“ระวังตัวด้วย”
เฟิงจิ้งไห่กล่าวเตือน
เลี่ยเหวินจงกล่าวอย่างเนิบนาบ “พี่ชายร่วมวิถีอย่าห่วงไป หมู่สิงห์แม้ยามล่ากระต่ายก็ยังต้องทุ่มสุดกำลัง ยิ่งเป็นนักดาบเช่นข้า หากไม่ลงมือจะอยู่นิ่ง แต่หากลงมือจะทุ่มสุดกำลัง”
เขากล่าวพลางก้าวออกมา
ทุกย่างก้าวสะเทือนทั่วเวหา บรรพตลำธารเคลื่อนเขย่า แดนดินใต้เท้าแตกร้าวเป็นรอยแยกนับไม่ถ้วน
อำนาจของตัวตนในวิถีเซียนเหล่านั้น เพียงมองจากไกล ๆ ก็ทำให้เหล่าตัวตนขอบเขตจุติมงคลหวาดผวาได้
วิถีเซียนนั้นห่างไกลราวกับเป็นคนละโลก!
แม้ว่าเลี่ยเหวินจงทุกวันนี้จะเป็นเพียงวิญญาณอาสัญวิถีเซียน แต่อำนาจร้ายกาจนั้นก็ยังเหนือชั้นกว่าวิถีจุติสรวงไกลลิบ
ยิ่งห่างไกลกับเจตจำนงเซียนเป็นไหน ๆ!
ไกลออกไป สุนัขพื้นเมืองหรี่ตาลง เซียนวิถีดาบผู้ร่วงหล่นเป็นวิญญาณอาสัญ ไร้ร่างวิถี จิตวิญญาณถูกหน่วงเหนี่ยวด้วยคำสาป ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขา แม้จะมิถูกอำนาจกฎสวรรค์สะกดเอาไว้ แต่ก็ยังต่ำกว่าสองส่วนของอำนาจยามมีชีวิต!
แต่ถึงอย่างนั้น ตัวตนเช่นนี้ก็กำราบตัวตนวิถีจุติสรวงได้ทั่วหล้าได้เกินพอ
เพราะถึงอย่างไร นี่ก็เป็นตัวตนในวิถีเซียน!
ในสายตาของมัน ความแข็งแกร่งของซูอี้ไม่อาจใช้ขอบเขตเข้ามาคะเนวัดได้อีกต่อไป และยังมีเคล็ดวัฏสงสารอยู่ในครอบครอง และมิใช่ว่าในร่างจะไร้พลังต่อสู้ดังที่เห็น
‘หวังว่า… เจ้าจะมิใช่แค่หัวรั้น แต่มีไพ่ตายใหญ่ซ่อนอยู่นะ’
ซิงเชวียครุ่นคิด
หัวใจของม่อซิงหลินเองก็เป็นกังวลยิ่งกว่ายามใด
เขามองปราดเดียวก็เห็นว่าวิญญาณอาสัญวิถีเซียนตนนั้นหามีความเลินเล่อไม่ ไม่อย่างนั้นคงไม่ต้องให้เลี่ยเหวินจงลองเชิงก่อน
นี่คือกลยุทธ์รุกคืบทีละก้าวอย่างระวัง จุดประสงค์คือลองเชิงซูอี้ก่อนแล้วค่อย ๆ วางแผน
เมื่อเข้าใจข้อมูลของซูอี้ ความปราชัยก็มิห่างมือนัก!
“อยากลองเชิงข้าก่อนหรือ?”
ขณะเดียวกัน ซูอี้ก็มองเจตนาของอีกฝ่ายออก จึงอดยิ้มหยันไม่ได้
ตู้ม!
ยามพวกเขายังอยู่ห่างกันร้อยจั้ง ซูอี้ก็ทะยานเวหา โจมตีเข้าใส่เลี่ยเหวินจงที่ใกล้เข้ามา
เลี่ยเหวินจงขมวดคิ้ว หาประมาทไม่
แขนเสื้อของเขาโบกสะบัดสู่เวหา
ดาบสีเงินเล่มหนึ่งทะยานผ่านนภา เปล่งรัศมีเซียน คมกริบเกินใดเทียบ ทะยานแหวกผ่านนภาไวว่อง
ขณะนั้น ทุกผู้ต่างเห็นภาพหลอนว่าฟ้าดินถูกดาบเล่มนี้ผ่าแยก ดวงตาเจ็บแปลบถ้วนทั่ว
เมื่อเผชิญดาบนี้ ซูอี้ชกออกไปเบา ๆ หาแฝงปราณใดไม่
หมัดนี้ตรงไปตรงมาเยี่ยงออกมาจากผู้ฝึกยุทธ์ปุถุชน เรียบง่ายชัดเจน กระทั่งดูหยามกันในสายตาคนทุกผู้
ทว่ายามหมัดนี้ถูกปล่อยออกมา ปราณดาบสีเงินก็แหลกสลายไปพร้อมกับแดนดินแถบนั้น
ท่ามกลางฝุ่นควัน ร่างของซูอี้วูบไหวโจมตีอีกหน กระหน่ำรัวหมัดเยี่ยงพิรุณโปรยปราย
ไร้การหน่วงใด ๆ ทั้งสิ้น
เลี่ยเหวินจงแค่นเสียงอย่างเย็นชา สะบัดแขนเสื้อพลิ้ว ปราณดาบทะยานกระชั้นเข้ามา ล้วนเผยอำนาจวิถีเซียนดุร้ายและทรงพลัง
ทว่าเกิดภาพเหลือเชื่อหนึ่งขึ้น
ซูอี้ผู้ดูจะไร้ปราณฝึกฝนกลับสามารถบดขยี้พิรุณดาบเหนือนภาดุจหักกิ่งไผ่ โจมตีเลี่ยเหวินจงตรงหน้าเขาอย่างง่ายดาย
เปรี้ยง!
ท่ามกลางเสียงระเบิดสนั่นหล้า ร่างของเลี่ยเหวินจงเซถอยหลัง ใบหน้าเฒ่าชราปรากฏความไม่อยากเชื่อ
ก่อนเขาจะทันตั้งหลัก ซูอี้ก็เข้าประชิดลงมือโจมตีอีกหน หมัดระดมรัวมีอำนาจดุจคลื่นสอดประสาน กระหน่ำโจมตีติดตามมิขาดสาย
เลี่ยเหวินจงไม่กล้าลังเล เขาโจมตีสุดกำลัง ร่างเปี่ยมรัศมีเซียน แรงกดดันที่สามารถเขย่าโลกหล้าเข้าประชัน
ทว่าเพียงพริบตา การโจมตีของเขาก็ถูกทลายสิ้น รัศมีเซียนที่คุ้มร่างอยู่ถูกบดขยี้ เลือดลมทั่วกายปั่นป่วน
ตู้ม!
หมัดของซูอี้ทรงพลังราวดาบคมอันมิอาจทำลาย ทะลวงรัศมีเซียนคุ้มกายของเลี่ยเหวินจง
ทันใดนั้น เลี่ยเหวินจงก็ร้องอู้อี้อย่างเจ็บปวด ร่างของเขากระเด็นปลิวไป
การต่อสู้เหล่านี้เกิดขึ้นเพียงชั่วหนึ่งประกายแสง
เมื่อเห็นว่าเลี่ยเหวินจงแพ้พ่าย ทุกผู้ที่มองอยู่ล้วนตกใจ ดวงตาแทบถลนจากเบ้า
“นี่มันเรื่องอันใดกัน? วิญญาณอาสัญวิถีเซียนสู้มิได้หรือ!”
บางผู้กรีดร้อง
“สวรรค์!!! ข้าตาเพี้ยนไปแล้วหรือไร?”
บางผู้ถึงกับหวาดผวา
“นี่…”
เฟิงจิ้งไห่และวิญญาณอาสัญวิถีเซียนอื่น ๆ ล้วนตกตะลึง ดูไม่อยากเชื่อตาม ๆ กัน
ศึกนี้เพิ่งเริ่มเพียงไม่ถึงอึดใจ ทว่ากลับแสดงให้เห็นว่าเซียนเยี่ยงเลี่ยเหวินจงเป็นฝ่ายถูกซูอี้กระหน่ำโจมตีอยู่ฝ่ายเดียว!!
เรื่องนี้ล้มล้างความเข้าใจของทุกคนโดยสิ้นเชิง
พวกเขาไม่คิดเลยว่าซูอี้ผู้ดูเหมือนคนธรรมดาจะน่าสะพรึงกลัวยามลงมือจริง ๆ!
“สหายเต๋าซูเขา…”
ดวงตาของม่อซิงหลินเบิกกว้างด้วยความตะลึงจนพูดไม่ออก
ทีแรก เขาคิดกับตนเองอยู่ว่า ปราชญ์หงอวิ๋นจะต้องลุกขึ้นมาช่วยซูอี้แก้สถานการณ์ในศึกนี้แน่นอน
จนกระทั่งเมื่อเห็นซิงเชวียปรากฏกาย เขาก็ยิ่งแน่ใจ
แต่เขาไม่คิดเลยว่าลำพังเพียงฝีมือตน ซูอี้จะสามารถปราบวิญญาณอาสัญวิถีเซียนยามเผชิญหน้าตรง ๆ ได้แล้ว!
ซ้ำยังทรงพลังอย่างยิ่ง ทันทีที่เริ่มศึกก็รุกบดขยี้อีกฝ่ายจนย่อยยับ!
“แตกตื่นอันใด หากไร้ฝีมือ มีหรือเขาจะกล้ามาคิดบัญชี?”
สุนัขพื้นเมืองแค่นเสียงอย่างเย็นชา
อันที่จริง หัวใจของมันกำลังสะท้านสะเทือน
เมื่อไม่นานนี้ ซูอี้ลงมือสังหารวิญญาณอาสัญวิถีเซียนนามชุยเจิง
ทว่ายามนั้น ชุยเจิงก็ถูกอำนาจกฎสวรรค์จำกัดอยู่ จึงใช้พลังได้เพียงสองส่วนเท่านั้น
และยามนี้แตกต่างออกไปแล้ว พลังของเลี่ยเหวินจงไม่ได้รับผลกระทบจากสิ่งใด แข็งแกร่งเหนือชั้นกว่าชุยเจิงผู้นั้นมิอาจทราบว่ากี่เท่าตัว
ทว่ายามประมือกันจริง ๆ ก็ยังพ่ายแพ้ต่อซูอี้อยู่ดี!
นี่คือสิ่งที่มันเองก็หาคาดไว้ไม่
ตู้ม!
ยามโลกหล้าบังเกิดเสียงฮือฮาอย่างตกตะลึง ซูอี้ได้ออกโจมตีรวดเร็วเยี่ยงลำแสง ทรงพลังและอหังการยิ่ง
“ไป!”
เลี่ยเหวินจงใช้ดาบเซียนสีเงินฟาดฟันอย่างดุดัน
ดาบเซียนครวญวจี เปล่งรัศมีเซียนสาดส่องทั่วฟ้าดิน ทะลวงดวงตาคนทุกผู้มิอาจลืมเปิด
เคร้ง!!!
ซูอี้เหวี่ยงหมัดเข้าเผชิญอย่างหนักหน่วง
ดาบเซียนสั่นระรัวไหว เปล่งวจีครางครวญอื้ออึง
ซูอี้ชกออกอีกหมัด ดาบเซียนกระเด็นกระดอนอย่างรุนแรง มิอาจรับอำนาจได้อีก มันสั่นสะท้านราวถูกฟ้าผ่า ส่งวจีโหยหวนสนั่นนภา
เลี่ยเหวินจงกระอักเลือดคำโต สีหน้าดูตื่นตระหนก
ทันทีที่เขากำลังจะล่าถอย มือขวาของซูอี้ก็ชกไปบนอากาศ
ตู้ม!
อากาศที่อยู่ห่างออกไปหลายพันจั้งพลันกระเพื่อมไหว
เลี่ยเหวินจงซึ่งอยู่ ณ ที่นั้นถูกกดดันอย่างรุนแรง บาดแผลนับไม่ถ้วนปรากฏบนร่าง โลหิตไหลรินพร้อมแผดเสียงร้องอย่างเจ็บปวด
ทุกผู้ล้วนตัวสั่น เหงื่อกาฬแตกพลั่กชโลมกาย
ใครเล่าจะไม่เห็นว่า เลี่ยเหวินจงผู้เป็นอดีตเซียนดาบกำลังอยู่ในสถานการณ์อันตรายสิ้นหวัง?
“ตาย!”
ยามคับขันนี้เอง เสียงตะโกนหนึ่งก็ดังขึ้น
วิญญาณอาสัญวิถีเซียนสามตนทะยานเวหาเข้าช่วยชีวิต
เป็นสองบุรุษหนึ่งสตรี ซึ่งล้วนใช้ตราประทับวิถี หอคอยและพัดหยกฟาดเข้าใส่ซูอี้
“อยากช่วยคน? ฝันเฟื่องโดยแท้!”
ซูอี้แค่นเสียง
เขาหาหลบเลี่ยงไม่ และพลังอันร้ายกาจที่ปกคลุมอยู่บนร่างสูงพลันระเบิดออก
เปรี้ยง!
ยามตราประทับวิถีสีฟ้ากระแทกเข้าใส่ร่างของซูอี้ พลังนั้นก็ขวางมันไว้ทันท่วงที
ทันใดหลังจากนั้น หอคอยโบราณและพัดหยกอันเจิดจรัสก็โจมตีเข้ามาแทบจะพร้อมเพรียงกัน
หอคอยแผ่เพลิงศักดิ์สิทธิ์เจิดจรัส พัดหยกส่งลำแสงอสนีบาตนับพันสาย
ทว่าอำนาจของสมบัติเซียนทั้งสองชิ้นนี้ก็เป็นเช่นตราประทับวิถี ถูกอำนาจร้ายกาจรอบร่างซูอี้หยุดไว้ตาม ๆ กัน!
เพลิงศักดิ์สิทธิ์ก้องคำราม ทว่ากลับไม่อาจรุกคืบ
อสนีบาตเกรี้ยวกราด ทว่ากลับถูกขวางไว้ดุจเป็นกฎเกณฑ์!
การโจมตีประสานของสามวิญญาณอาสัญวิถีเซียนทำได้เพียงให้ร่างของซูอี้สะท้านสั่น!
ดุจศรหลุดจากสาย เขาไม่เพียงปัดสามสมบัติเซียนกระเด็น ทว่ายังปรากฏขึ้นตรงหน้าเลี่ยเหวินจงทันทีด้วย
“แย่แล้ว!”
เลี่ยเหวินจงเพิ่งผ่อนกำลังลง เมื่อเห็นซูอี้ลงมือโจมตี เขาก็อดผงะไปมิได้ แต่ยามคิดหลบก็สายเกินไป
“ตาย!”
ซูอี้ชกออกไป
ดุจเซียนในร่างมนุษย์ หมัดของเขาแหวกพสุธาแดนสรวง บดขยี้ท้องนภาอันเป็นนิรันดร์
และยามเสี่ยงชีวิตนี้เอง ดวงตาของเลี่ยเหวินจงเหลือกถลน ร้องคำรามสะเทือนแดนดิน ยกดาบขึ้นฟาดฟันอย่างรุนแรง
ทุ่มสุดแรงในดาบนี้!
ตู้ม!!
ราวท้องนภาร่วงถล่ม สรรพสิ่งมลายหาย
พิรุณแสงศักดิ์สิทธิ์น่าหวาดหวั่นปกคลุมทั่วฟ้าดินในทันที
ท่ามกลางคลื่นพลังทำลายล้างนี้ ดาบเซียนสีเงินเล่มหนึ่งร่วงจากท้องนภา
เสียงกรีดร้องอย่างหวาดผวาดังตามมาทันที ร่างของเลี่ยเหวินจงกระเด็นท่ามกลางอำนาจทำลายล้างเยี่ยงว่าวสายป่านขาด
ก่อนที่ร่างของเขาจะทันตั้งหลักได้ มันก็ระเบิดสลายหายไป
หนึ่งเซียนดับดิ้นชวนเวทนา!!
ภาพนี้ทำให้ทุกผู้ตื่นตะลึงโดยสมบูรณ์ ร่างสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว
ใครเล่าจะคาดคิดว่าแม้สามวิญญาณอาสัญวิถีเซียนจะเข้าช่วยเหลือทันเวลา แต่เลี่ยเหวินจงก็ยังมิอาจหลบหนี และถูกซูอี้สังหารได้อยู่ดี?
ใครเล่าจะคาดคิดว่าซูอี้ที่ทุกคนแทบจะมองว่าแพ้แน่ตั้งแต่ก่อนเริ่มศึกจะทรงพลังเพียงนี้?
เขาทะลวงทั่วหล้า บดขยี้ทศทิศ สังหารเซียนลงในอึดใจ!
ยิ่งกว่านั้น ชายหนุ่มยังไม่ได้ใช้สมบัติชิ้นใดตั้งแต่ต้นจนจบ!
ไม่เพียงเหล่าผู้ชมศึกจะตะลึงเท่านั้น ทว่าเหล่าวิญญาณอาสัญวิถีเซียนห่างออกไปต่างก็ตะลึงตาม ๆ กัน
พวกเขาล้วนเปลี่ยนสีหน้าโดยถ้วนทั่ว!