บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1427: หนึ่งดาบพิฆาตเซียน
ตอนที่ 1427: หนึ่งดาบพิฆาตเซียน
เลี่ยเหวินจงตายแล้ว!
เพียงพริบตา เขาก็ถูกฆ่าด้วยหมัดของซูอี้
วิญญาณอาสัญวิถีเซียนสามตนร่วมมือกัน ทว่ากลับไร้ผู้ใดช่วยชีวิตเลี่ยเหวินจงได้!
สิ่งที่ชวนใจสั่นที่สุดคือ จวบยามนี้ยังไม่มีผู้ใดมองขอบเขตวิถีของซูอี้ออก
เรื่องทั้งหมดนี้ล้มล้างความคิดฝันของผู้คนจนสิ้น
ก่อนหน้านี้ ทุกคนล้วนคิดว่าเมื่อซูอี้กล้ามาคิดบัญชี เขาต้องมีบางอย่างให้พึ่งพา ซึ่งสิ่งนั้นหากไม่ใช่ไพ่ตายสำคัญก็ต้องเป็นผู้หนุนหลัง
ทว่าไม่คิดเลยว่าเพียงความแข็งแกร่งของซูอี้ก็เพียงพอแล้ว!
ร้ายกาจยิ่งนัก!
ไม่เพียงเหล่าผู้มองจากไกล ๆ แต่เหล่าวิญญาณอาสัญวิถีเซียนยังยากจะยอมรับได้เช่นกัน
หนึ่งราชันแห่งภูมิขอบเขตไร้ขีดจำกัด ต่อให้บรรลุสู่วิถีจุติสรวงแล้วก็ตาม คนผู้นั้นก็ยังแตกต่างกันมากกว่าหนึ่งขอบเขตใหญ่หากเทียบกับวิญญาณอาสัญวิถีเซียน!
ทว่าขณะเดียวกัน ชายหนุ่มผู้นี้ก็สามารถสังหารวิญญาณอาสัญวิถีเซียนได้ ใครเล่าจะยอมรับไหว?
นี่เป็นเรื่องที่มิเคยเกิดขึ้นมาก่อนอย่างแน่นอน
ร่างของซูอี้ปรากฏขึ้นในฝุ่นควัน
สังหารเลี่ยเหวินจงโดยไร้รอยขีดข่วน!
“วิญญาณอาสัญวิถีเซียน… ดูเหมือนจะไม่มีสิ่งใดมากไปกว่านั้น”
ซูอี้กระซิบ
คู่เนตรของเขาทอประกายวาววับ ขณะที่สีหน้าสุขุมเยือกเย็น
เขากล่าวพลางลงมือโจมตีสองบุรุษหนึ่งสตรี
ก่อนหน้านี้ สามคนนี้ร่วมมือกันเข้าช่วยชีวิตเลี่ยเหวินจง ซูอี้ย่อมไม่เกรงใจ
“ฆ่า!”
ชายในชุดขุนนางฟาดตราประทับวิถีเข้าใส่ซูอี้
ขณะเดียวกัน ชายวัยกลางคนชุดม่วงและสตรีในอาภรณ์หลากสีเองก็ลงมือ ใช้หอคอยและพัดหยกเข้าล้อมซูอี้ไว้กับชายในชุดขุนนาง
ตู้ม!
ท้องนภาสะเทือนไหว แสงเซียนสาดส่องทั่วทิศ
สงครามทวีความเข้มข้น
เมื่อมีเลี่ยเหวินจงเป็นบทเรียนก่อนหน้า วิญญาณอาสัญวิถีเซียนทั้งสามตนจึงมิกล้าออมมืออีก ล้วนงัดไม้ตายสูงสุดออกมาทันที
ในขณะที่ซูอี้ยังคงใช้มือเปล่า!
เขาทะลวงเข้าสู่ศึกดุจเทพยุทธ์ในร่างมนุษย์ออกศึก แข็งแกร่งทรงพลังเสียจนสมบัติเซียนสั่นคลอน การโจมตีของสามวิญญาณอาสัญวิถีเซียนล้วนถูกปัดป้องจนสลายไป
หนึ่งต่อสาม ทว่าหาเพลี่ยงพล้ำไม่!
การกระทำเช่นนี้ก่อให้เกิดเสียงเซ็งแซ่ในหมู่ผู้คนอีกหนึ่งครา ทุกคนล้วนตะลึงนิ่งงัน
“พี่หลัว เจ้าพาคนไปจัดการสัตว์ร้ายนี่ ส่วนข้าจะสร้างค่ายกลขึ้นสนับสนุน!”
เฟิงจิ้งไห่ซึ่งอยู่ไกลออกไปกล่าวเสียงต่ำ
“ได้!”
นักพรตเต๋าในชุดลินินลุกขึ้น เส้นผมและหนวดเครารุงรัง ถือดาบโลหิตเล่มหนึ่งในมือ ปราณดุร้ายเปี่ยมจิตสังหาร
หลัวฉางอวิ๋น
เซียนดาบจากโรงดาบเทพลี้ลับ!
เขาพาวิญญาณอาสัญวิถีเซียนอีกห้าตนเข้าสู่สนามรบ
วิญญาณอาสัญวิถีเซียนเก้าตนร่วมมือกัน พลังนั้นจะแข็งแกร่งเพียงใดกัน?
ตู้ม!!
สารพัดสมบัติเซียนกวาดนภา รัศมีเซียนสาดส่อง สื่อถึงสารพัดอำนาจร้ายกาจไร้ผู้เทียบประดังเข้าใส่ซูอี้เพียงผู้เดียว
ท้องนภาถล่ม สุญญะป่วนปั่นโกลาหล
แดนดินระแวกนั้นล้วนแปรเปลี่ยนเป็นผุยผง
เหล่าผู้มองล้วนลนลานหนีไปตั้งหลักไกล ๆ
เพียงพริบตา การโจมตีของซูอี้ก็ถูกขวางไว้ จนตกอยู่ในสถานะที่ต้องตั้งรับการโจมตีจากทุกทิศทางเพียงฝ่ายเดียว!
“เก้าเซียนร่วมมือหยุดซูอี้ผู้นั้นลำพัง หากไม่ได้ประจักษ์กับตา ใครเล่าจะกล้าเชื่อ?”
หลายคนดูตะลึง หัวใจเปี่ยมความรู้สึกซับซ้อน
“ตัวตนเช่นนี้ มองหาทั่วโลกหล้าฟ้าดินแต่โบราณ เกรงว่าคงมิอาจหาผู้ใดเทียบ…”
บางผู้พึมพำ
“แต่เขาถูกลิขิตมาให้ตกตายวันนี้!”
“ไม่เห็นหรือว่ายังมีเซียนอีกหลายสิบคนที่ยังมิได้ขยับตัวอยู่ไกล ๆ นั่น!”
…เสียงพูดเซ็งแซ่ไปหมด
“มีแต่พวกไม่ได้เรื่อง ไอ้หนูนั่นยังไม่ได้ใช้ดาบเลย!”
สุนัขพื้นเมืองแค่นเสียงอย่างเย็นชาดูแคลน
ผู้ที่สังเกตเห็นประเด็นนี้มิได้มีเพียงมัน แต่เฟิงจิ้งไห่กับเซียนคนอื่น ๆ เองก็ตระหนักถึงเรื่องนี้ จึงอดขมวดคิ้วมิได้
“สหายเต๋าลวี่ เจ้าพาคนไปช่วยที ต้องปราบสัตว์ร้ายนี่ให้ได้ อย่ามอบโอกาสให้มันดิ้นรนเชียว!”
เฟิงจิ้งไห่ออกคำสั่งเสียงเข้ม
“ได้!”
ชายชุดขาวผู้ดูอ่อนเยาว์พยักหน้ารับคำ
ร่างของเขาผอมสูงสะดุดตา มีนามว่าลวี่ตงชิว เป็นตัวตนสูงสุดในหมู่วิญญาณอาสัญวิถีเซียนที่นี่
เขาพาวิญญาณอาสัญวิถีเซียนอีกสามตนเข้าร่วมศึกทันที
ในพริบตานั้น ในสนามรบก็มีเซียนถึงสิบสามตน!
และสถานการณ์ของซูอี้ก็ร้ายแรงอันตรายมากขึ้นเท่าทวี
“****! โคตรน่าอายฉิบหายเลยโว้ย!”
ม่อซิงหลินอดสบถไม่ได้
“หากพวกนั้นจะรักษาหน้า มีหรือจะร่วมมือกันวางแผนที่นี่?”
สุนัขพื้นเมืองพูดลอย ๆ “แต่ยิ่งเป็นเช่นนั้น ยิ่งแสดงให้เห็นว่าเจ้าหนูนั่นแข็งแกร่งเพียงใดไม่ใช่หรือ?”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ มันพลันโก่งคอตะโกนไปไกล “อย่ามัวแต่พิรี้พิไรสิฟะ ลงมือด้วยกันให้หมดนั่นแหละ! ฆ่าเจ้าคนแซ่ซูซะ!”
น้ำเสียงของมันดังสนั่นทั่วหล้า
ทุกผู้ “…”
ม่อซิงหลินกุมขมับ สีหน้าเปี่ยมด้วยรอยยิ้มเจื่อนสนิท
หากไม่รู้มาก่อน เกรงว่าตนคงคิดว่าใต้เท้าซิงเชวียมีความแค้นลึกล้ำต่อซูอี้เป็นแน่
เฟิงจิ้งไห่หาขยับตัวไม่
ซูอี้มีความแปลกประหลาดมากจนเกินคาดเดา ดังนั้นศึกนี้จึงต้องค่อยเป็นค่อยไปเท่านั้น!
เปรี้ยง!
ศึกทวีความดุเดือด
สิบสามวิญญาณอาสัญวิถีเซียนร่วมมือ อำนาจเช่นนี้ร้ายกาจยิ่ง ทำให้ชายหนุ่มตกอยู่ในสถานการณ์กดดันยิ่งกว่ายามใด
ทว่านั่นแหละ สิ่งที่เขายินดียามพบพาน
ตู้ม!
หนึ่งวจีดาบคำราม
ดาบแห่งโลกาปรากฏในมือซูอี้
ตัวดาบเรียบง่ายสีครามทองเรืองรัศมีจ้า วจีดาบดุจกระแสวารี อำนาจดาบแหวกนภาทะลวงแดนดิน!
ยามนี้ ทุกผู้ล้วนรู้สึกราวกับซูอี้แปรเปลี่ยนเป็นคนละคน
ในร่างสูงใหญ่ของเขามีอำนาจพลุ่งพล่านดุจวายุคลั่งอัสนีคำราม ผิวกายมีจังหวะวิถีเคลื่อนอลหม่านดุจหุบเหวเยี่ยงขุมนรก ลึกลับเกินคาดเดา
และอำนาจในร่างของเขาก็พุ่งทะยานขึ้นทุกขณะ!
ก่อนหน้านี้ ตัวเขาไร้ซึ่งเค้าลางการฝึกฝนในร่าง
ทว่ายามนี้ เขากลับเหมือนเป็นนายเหนือแห่งหมื่นวิถี ร่างเปี่ยมด้วยภาวะดาบ แรงกดดันทำให้ฟ้าดินทั่วทศทิศสะเทือนเลือนลั่น
‘ในที่สุดก็บีบให้ชักดาบได้แล้วหรือ? ดีล่ะ!’
เฟิงจิ้งไห่คิดจากไกล ๆ
ทว่า เมื่อเขาเห็นอำนาจอันน่าสะพรึงกลัวจากร่างของซูอี้ เขาก็มิอาจซ่อนความตะลึงในใจได้ นี่คือวิถีจุติสรวงหรือ?
แต่ไฉนตัวตนในขอบเขตจิตทารกสักคนในโลกหล้าจะมีอำนาจต่อสู้ท้าทายสวรรค์เช่นนี้ได้!?
ขณะเดียวกัน สิบสามวิญญาณอาสัญวิถีเซียนที่ล้อมโจมตีซูอี้อยู่ล้วนตะลึงในใจ สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน
ไม่จำเป็นต้องหารือ พวกเขาล้วนเพิ่มระดับการโจมตีราวบ้าคลั่ง พยายามปราบซูอี้ให้สิ้น
ตู้ม!
สารพัดสมบัติเซียนแผดเสียงคำราม สารพันศาสตร์เซียนลึกลับแผลงฤทธา ทุกสิ่งเป็นประหนึ่งคลื่นทำลายล้างที่ทะลักถาโถมเข้าใส่ร่างของซูอี้
ดวงตาของชายหนุ่มฉายแววดูแคลน
อีกฝ่ายทดสอบเขาทีละขั้น แล้วเขาจะไม่ลองเชิงอีกฝ่ายเช่นกันหรือไร?
ยามนี้ เขาพอจะคาดเดาข้อมูลของอีกฝ่ายได้คร่าว ๆ แล้ว และไม่จำเป็นต้องออมมืออีกต่อไป!
“เปิด!”
เพียงกล่าวเบา ๆ ซูอี้ก็ทะยานเวหา ฟาดฟันหนึ่งดาบออกมา
เปรี้ยง!
เสียงนั้นทรงพลังและดุดันดุจมหาตะวันร่วงหล่นจากเก้าชั้นฟ้า ภาวะดาบยิ่งใหญ่ดูไร้เทียมทาน บดขยี้สิ้นทุกสิ่ง
“แย่แล้ว!”
“ไยจึงเป็นเช่นนี้ได้…”
หลัวฉางอวิ๋น ลวี่ตงชิวและเซียนทั้งหลายล้วนถูกผลักกระเด็นไปเบื้องหลัง สีหน้าดูเหลือเชื่อ
การล้อมโจมตีของพวกเขาพังทลาย
และหลังซูอี้หลุดจากวงล้อมได้ ก็โจมตีรวดเร็วเยี่ยงสายฟ้า ไร้ความลังเลใด ๆ
ตู้ม!
ดาบแห่งโลกากวาดผ่าน ภาวะดาบทรงพลังบดขยี้ท้องนภา สังหารชายในชุดขุนนางถือตราประทับวิถีลงทันที
เฉียบคม!
และซูอี้ก็ฉวยโอกาสจากสถานการณ์นี้ฟาดฟันเก้าดาบในหนึ่งอึดใจ
แต่ละดาบล้วนมีพลังของพวกมันแตกต่างกันออกไป
บ้างเหมือนกระแสดาราพร่างพรมจากเก้าชั้นสรวง พลิกฟ้าสลับแดนดิน
บ้างเหมือนเพลิงสวรรค์หลอมนภาปกคลุมทั่วฟ้า
บ้างดุร้ายทรงพลังเยี่ยงเทพเซียนรัวกลองศักดิ์สิทธิ์สยบฟ้าจรดแดน
…ปราณดาบสายแล้วสายเล่าสอดประสาน ฟ้าดินแถบนั้นล้วนรวนเรพังสลายราวถึงวันสิ้นภพ
“ม่ายยยย!”
เซียนบางตนร้องอย่างหวาดผวา สมบัติวิเศษถูกดีดกระเด็นจากมือ ร่างจมสู่ปราณดาบอันไพศาล สลายเป็นจุณ
เปรี้ยง!!!
เสียงระเบิดสนั่นชวนหูดับ และสตรีในอาภรณ์หลากสีผู้ใช้พัดหยกพลันร่างฉีกขาดดุจห้าอาชาแยกร่าง ตายลงอย่างอนาถ
ขณะเดียวกัน เซียนตนอื่น ๆ ในบริเวณก็ตกตายเพิ่มอีกสาม
หนึ่งแหลกลาญเป็นผุยผงโดยภาวะดาบกว้างใหญ่เยี่ยงท้องนภา หนึ่งถูกผ่าเป็นสองซีก และอีกหนึ่งถูกปราณดาบสะบั้นร่างทะลวงศีรษะตกตาย!
เพียงพริบตา สามเซียนก็ตายลงอย่างน่าสังเวช
การตายอันชวนสยดสยองนี้ทำให้เหล่าผู้ชมตะลึงงัน
หาคาดไว้ไม่ว่ายามซูอี้ใช้ดาบจะร้ายกาจน่าสะพรึง แตกต่างจากกาลก่อนโดยสิ้นเชิง!
สิบสามวิญญาณอาสัญเซียน หกตายในพริบตา และถึงแม้อีกเจ็ดคนจะรอดชีวิต แต่ก็ล้วนบาดเจ็บไม่มากก็น้อย
นี่แหละหนาเป็นดั่งคำกล่าว ‘ดาบสยบหล้า’!
เหล่าผู้ชมล้วนร่างสั่นสะท้าน
แข็งแกร่งเกินไป!
เป็นเพียงชายหนุ่มผู้อาจเข้าสู่วิถีจุติสรวงแล้วเท่านั้น ทว่ายามนี้ กระทั่งเซียนเขาก็ฆ่าได้!
“มิน่าเล่า มหาภัยพิบัติเมื่อคืนนั้นจึงร้ายกาจประหลาดนัก เพราะวิถีจุติสรวงที่ไอ้หนูนั่นบรรลุร้ายกาจเกินไปนั่นเอง หาไม่ มีหรือเขาจะครองอำนาจต่อสู้ท้าทายสวรรค์เพียงนี้?”
ซิงเชวียคิดด้วยหัวใจเรรวน
มันจำคืนที่ซูอี้ก้าวข้ามมหาภัยพิบัติประหลาดได้ และพอจะเข้าใจแล้ว
“สหายเต๋าซูเขา… หรือจะเป็นร่างเวียนวัฏของราชันเซียนกัน?”
ม่อซิงหลินดูตกตะลึงจนเสียอาการ
“ร่างเวียนวัฏของราชันเซียน?”
สุนัขพื้นเมืองนึกถึงคนที่ปราชญ์หงอวิ๋นเคยกล่าวถึงขึ้นมา
คนคลั่งดาบ!
ตำนานผู้เคยเป็นอันดับหนึ่งในหมู่สิบราชันเซียน ณ ศาลเซียนรวมศูนย์ เป็นที่รู้จักในนามราชันเซียนวิถีดาบอันดับหนึ่งแห่งโลกเซียน!
“เร็วเข้า ลงมือด้วยกันเถอะ!”
ยามนี้ เฟิงจิ้งไห่มิอาจอยู่เฉยได้อีกต่อไป จากนั้นจึงตวาดลั่น
เขาไม่เคยคิดว่าซูอี้จะทรงพลังขนาดนี้ด้วยกำลังตนเองลำพัง!
โดยเฉพาะเมื่อเขาเห็นตอนที่ซูอี้ฆ่าได้กระทั่งเซียน ทำให้เฟิงจิ้งไห่และคนอื่น ๆ ตื่นตระหนกอย่างยิ่ง ใครหรือจะกล้ามองเฉย ๆ?
“ฆ่า!”
“ไม่ต้องยั้งมือ ปราบเขาให้สิ้นซาก!”
…หนึ่งกลุ่มเซียนเคลื่อนตัว แต่ละผู้ล้วนปลดปล่อยอำนาจเซียนร้ายกาจอหังการ ใช้สมบัติเข้าโรมรันในสมรภูมิ
เพียงอำนาจเช่นนั้นก็ทำให้ทั่วแดนดินในระยะแปดพันลี้สะเทือน ฟ้าดินแปรเปลี่ยนดุจอาเพศ
เหล่าผู้เฝ้ามองจากไกล ๆ ต้องถอยร่นไปแสนไกลอีกหน
และยามนี้เอง สุนัขพื้นเมืองเองก็แสดงสีหน้าเคร่งขรึมอย่างหาได้ยาก
มันสังเกตเห็นว่ามีตัวตนทรงพลังมากมายในหมู่วิญญาณอาสัญวิถีเซียนเหล่านั้น!
“ใต้เท้า หากสหายเต๋าซูประสบอุบัติเหตุใด ท่านจะเคลื่อนไหวหรือไม่ขอรับ?”
หัวใจของม่อซิงหลินแล่นมาจุกที่ลำคอ เผลอหลุดถามออกมา
ซิงเชวียตอบโดยมิคิด “แน่นอน! ข้าต้องห้ามเข้าแทรกแซงจริง ๆ ยามมีใครบอกห้ามยุ่งด้วยหรือ? หากเป็นเช่นนั้นจะต่างอันใดกับคนโง่ที่ทอไหมขังตนเอง ย้อมหล้าดุจกรงขังบ้าง?”
ม่อซิงหลิน “…”