บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1429: เซียนแท้ขอบเขตสุญตา หนึ่งสตรีเยื้องสัญจร
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 1429: เซียนแท้ขอบเขตสุญตา หนึ่งสตรีเยื้องสัญจร
ตอนที่ 1429: เซียนแท้ขอบเขตสุญตา หนึ่งสตรีเยื้องสัญจร
ชายชุดแดงนั้นหล่อเหลาสะกดตา อาบไล้ด้วยรัศมีเซียนสีแดงฉาน
ชายวัยกลางคนถือขวานศึกสีดำเล่มหนึ่ง ปราณดูสุขุมเยี่ยงขุนเขา
และนักพรตเต๋าร่างผอมถือขลุ่ยกระดูกเลาหนึ่งในมือ ดวงตาวูบไหว
รูปลักษณ์ของพวกเขาแตกต่าง ทว่าปราณบนร่างแต่ละผู้ล้วนแข็งแกร่งเหนือชั้นกว่าวิญญาณอาสัญวิถีเซียนใด ๆ ที่รวมตัวกันอยู่ เพียงยืนเฉย ๆ ก็แผ่อำนาจร้ายกาจกดดันทั่วหล้าจนสั่นสะท้าน
ดุจสามเทพเจ้าครองโลกา!
ดวงตาของสุนัขพื้นเมืองวูบไหว สีหน้าจริงจังอย่างหาได้ยาก
“ไฉนพวกเขาจึงฟื้นสู่โลกหล้ายามนี้ได้!?”
สีหน้าของม่อซิงหลินแปรเปลี่ยน สันหลังเย็นเยือก
เขารู้ที่มาของคนทั้งสามนี้ คนทั้งหมดล้วนแต่เป็นเซียนแท้ในขอบเขตสุญตาก่อนตายตก!
ซึ่งเป็นขอบเขตวิถีเซียนอันสูงส่งเกินเหล่าวิญญาณอาสัญวิถีเซียน ณ ที่นี้จะเทียบได้
ในโลกเซียน มีเพียงเซียนผู้ก้าวสู่ขอบเขตสุญตาแล้วเท่านั้นจึงควรค่าถูกเรียกว่า ‘เซียนแท้’!
และตัวตนระดับนี้ก็ยังห่างไกลเกินกว่าจะลืมตาตื่นสู่โลกา
เพราะวิถีเต๋าของพวกเขาลึกล้ำน่าสะพรึงกลัวเกินไป การสะกดของกฎสวรรค์จึงยิ่งร้ายแรง
ทว่ายามนี้ สามวิญญาณอาสัญเซียนแท้ปรากฏขึ้น!
เพียงพริบตา ม่อซิงหลินก็ตระหนักถึงความผิดปกติ หัวใจของเขาร่วงลงสู่ตาตุ่ม
ส่วนผู้อื่น รวมถึงเฟิงจิ้งไห่และลวี่ตงชิวล้วนถอนใจโล่งอก
“ขอบคุณผู้อาวุโสทั้งสามที่มาช่วยเหลือ!”
เฟิงจิ้งไห่กล่าวอย่างขอบคุณ
ชายชุดแดงโบกมือ “พวกเจ้าถอยไปก่อน”
กล่าวจบ เขาก็หันมากล่าวกับซูอี้ด้วยสีหน้าเฉยเมย “เจ้าหนุ่ม หยุดตรงนี้แล้วส่งเคล็ดพลังวัฏสงสารมา แล้วข้าจะปล่อยเจ้ารอดกลับไป”
นี่หาใช่คำแถลงไม่ แต่เป็นคำสั่ง!
ดุจประกาศิตเทพอันมิอาจบิดพลิ้ว
นักพรตเต๋าร่างผอมกล่าวเบา ๆ “สหายน้อย การทำความผิดนั้นไม่สมควร วันนี้เจ้าเข่นฆ่าผู้คนมากมาย จะชดใช้ยามนี้ก็ไม่สายไป เราผู้เฒ่าทั้งสามหามีความแค้นกับเจ้าไม่ ขอเพียงส่งอำนาจวัฏสงสารมาเป็นสิ่งชดเชย เรื่องวันนี้ก็ถือว่าแล้วกันไปได้”
ส่วนชายวัยกลางคนหนวดเคราหยิกหยอยหากล่าววจีใดไม่ เขาเพียงจ้องซูอี้อย่างเย็นชาด้วยนัยน์ตาคมกริบราวกำลังพินิจคนบาป
ฟ้าดินเงียบสงัด บรรยากาศกดดันเสียจนยากหายใจ
เซียนแท้ขอบเขตสุญตาทั้งหลายทรงพลังองอาจ ผู้อื่นทำได้เพียงสั่นสะท้านอย่างเงียบงัน
ซูอี้พลันมองมายังสามเซียนแท้ขอบเขตสุญตาที่เข้ามาพัวพัน ก่อนจะกล่าวอย่างเฉยเมย
“สุดท้ายก็สนแต่อำนาจวัฏสงสาร พวกเจ้าและพวกเขาต่างกันเช่นไร?”
สายตาของเขาสุขุม น้ำเสียงเต็มไปด้วยการตั้งคำถาม ทำให้สามเซียนแท้ขอบเขตสุญตามิใคร่สบายตัวนัก
ชายชุดแดงขมวดคิ้ว กล่าวอย่างไม่แยแสว่า “ยามนี้ถึงคราวต้องแถลง เจ้าตอบมาก็พอว่าจะส่งวัฏสงสารมาหรือไม่!”
การวางตนนั้นก้าวร้าว
ซูอี้ยิ้มเยาะพลางกล่าว “จุดยืนของข้าง่ายมาก ผู้ใดที่ถือข้าเป็นศัตรู หากไม่จำนนก็ต้องตาย!”
“กำเริบ!”
เฟิงจิ้งไห่กล่าวปรามาสอย่างโกรธเคืองเป็นผู้แรก
ชายชุดแดง นักพรตเต๋าร่างผอมและชายวัยกลางคนเคราหยิกล้วนขมวดคิ้ว มิคาดเลยว่าเมื่อพวกเขาออกหน้าด้วยตนเอง ซูอี้ผู้นี้จะยัง… ดื้อดึงนัก
กระทั่งกล้ากล่าวข่มขู่พวกเขา!
ช่างน่าขันเสียนี่กระไร?
ซูอี้เหลือบมองเฟิงจิ้งไห่และพวกลวี่ตงชิว ก่อนจะกล่าวเนิบ ๆ “พวกเจ้าก็ต้องตายวันนี้ ไม่ว่าจะเรียกผู้ใดมาก็ช่วยเจ้าไม่ได้ ข้าให้สัจจะ!”
“เจ้า…”
“พี่ชายร่วมวิถี ข้าบอกแล้วว่าวาจานั้นอ่อนแอเป็นที่สุด แม้เราจะรังเกียจที่จะรังแกผู้น้อยเช่นนี้ แต่ยามนี้พวกเจ้าก็เห็นแล้วว่าเขา… หาฟังเราไม่”
ชายชุดแดงกล่าวช้า ๆ นัยน์ตามืดหมอง เย็นชาร้ายกาจ
นักพรตเต๋าร่างผอมกล่าวเนิบ ๆ “ข้าอยู่มาแสนนาน แต่นี่คือหนแรกเลยที่ได้เห็นคนพูดไม่รู้เรื่องเช่นนี้”
สุนัขพื้นเมืองที่มองอยู่เงียบ ๆ มาโดยตลอดอดแยกเขี้ยวมิได้ “พวกเจ้านั่นแหละตัวอันใด กล้าดีเช่นไรมาฉวยโอกาสปล้นบ้านยามไฟไหม้ต่อหน้าข้า?”
ทันทีที่วาจานี้ถูกกล่าว ทุกผู้ก็ผงะตกใจ!
ไม่อาจคาดคิดได้ว่าไฉนสุนัขพื้นเมืองนั่นจึงกล้าสามหาวขึ้นมายามนี้
“วอนเสียแล้ว!”
นัยน์ตาของชายชุดแดงระเบิดจิตสังหาร ขณะที่เขากำลังจะโจมตีนั้นเอง
“ช้าก่อน!”
นักพรตเต๋าร่างผอมหยุดเขาไว้ทันที
คิ้วของเขาขมวดขณะจ้องมองสุนัขพื้นเมืองอย่างประหลาดใจ “เจ้าคือ… สหายเต๋าซิงเชวียที่อยู่ข้างกายเซียนหงอวิ๋นหรือไม่?”
เซียนหงอวิ๋น?
ซิงเชวีย?
หลายผู้ล้วนงุนงง
กระทั่งเฟิงจิ้งไห่และพรรคพวกเองก็สับสน
พวกเขาล้วนรู้จักเซียนหงอวิ๋น แต่พวกเขารู้เพียงว่าอีกฝ่ายเป็นทายาทเซียนจากโลกเซียน และมีฐานะค่อนข้างสูงส่ง
ทว่าก็รู้แค่นั้น
ส่วนสุนัขพื้นเมืองนาม ‘ซิงเชวีย’ นั้น หามีผู้รู้จักไม่
เพราะเหตุนี้เอง ก่อนสงครามบังเกิด แม้พวกเขาจะสังเกตเห็นว่าสุนัขพื้นเมืองหาปกติไม่ แต่พวกเขาก็มิได้ใส่ใจจริงจัง
ทว่ายามนี้ ไม่ว่าจะเป็นนักพรตเต๋าร่างผอม ชายชุดแดงหรือชายวัยกลางคนเคราหยิกก็ล้วนเปลี่ยนสีหน้า ความเคลือบแคลงปรากฏขึ้น!
“โอ้ นับว่าเจ้าสายตาดีในหมู่พวกไอ้แก่”
สุนัขพื้นเมืองเชิดคางกล่าวอย่างเย็นชา “ในเมื่อเจ้ารู้จักข้า ข้าผู้นี้จะให้โอกาสเจ้า ไปเสีย อย่าเข้าพัวพัน หาไม่ อย่าโทษข้าที่ไร้เมตตา!”
วาจานั้นหามีพิธีรีตองไม่
นี่ทำให้ชายชุดแดงและคนอื่น ๆ ล้วนดูถมึงทึง
“สหายเต๋าผยองเกินไปแล้ว!”
ชายชุดแดงกล่าวอย่างเย็นชา “เจ้าและเซียนหงอวิ๋นคิดยึดครองอำนาจวัฏสงสารไว้ผู้เดียวหรือไร?”
นักพรตเต๋าร่างผอมกล่าวเบา ๆ “สหายเต๋าซิงเชวีย เช่นนี้ดีหรือไม่ ขอเพียงเจ้าปล่อยให้สหายน้อยผู้นั้นส่งเคล็ดวัฏสงสารมาให้ เราทั้งสามก็จะเห็นแก่หน้าเซียนหงอวิ๋นและจากไปทันที มิเข้ายุ่งกับเรื่องวันนี้อีก”
เพียงวาจานี้ถูกกล่าว เฟิงจิ้งไห่และพรรคพวกก็หัวใจสั่นระรัว ลอบตะโกนในใจว่าแย่แล้ว สีหน้าแปรเปลี่ยนไป
ไร้ผู้ใดคาดคิดว่าสามเซียนแท้ขอบเขตสุญตาผู้เดิมพวกตนคิดว่าเป็นกำลังเสริมจะเปลี่ยนใจเพราะความสัมพันธ์ระหว่างเซียนหงอวิ๋น!
พวกเขากระทั่งไม่คิดคุ้มกะลาหัวพวกตนอีกต่อไป!
และยามนี้เอง พวกเขาจึงตระหนักลึกล้ำว่าซูอี้นั้นไม่เพียงร้ายกาจ แต่ยังมีผู้หนุนหลังด้วย!
โชคร้ายที่พวกเขามิอาจรับรู้ว่าซูอี้มิเคยใช้ปราชญ์หงอวิ๋นเป็นผู้หนุนเลยสักครั้ง!
ไม่ว่าชาติก่อนชาติใด เขาก็รังเกียจการพึ่งพาอำนาจภายนอกเสมอมา
กระทั่งสุนัขพื้นเมืองข้างกายเขายังเป็นฝ่ายมาช่วยเขาเอง
“ไปกินขี้ไป๊!”
สุนัขพื้นเมืองเหยียดยิ้ม “เซียนแท้สามตนซึ่งกลายเป็นวิญญาณอาสัญ มีหรือจะถือตนเองเป็นผักหญ้า?”
การถูกสุนัขพื้นเมืองล้อเลียนหมิ่นเกียรติต่อหน้าคนทุกผู้เช่นนี้ทำให้พวกชายชุดแดงสีหน้าดำคล้ำ
“ไฉนเป็นเช่นนี้หนอ สหายเต๋าคิดว่าจะหยุดเราทั้งสามได้หรือ?”
นักพรตร่างผอมรำพึง
จิตสังหารร้ายแรงปรากฏขึ้นจนวาตะเมฆาปั่นป่วนไปหมด
สามเซียนแท้ขอบเขตสุญตามองสุนัขพื้นเมืองอย่างเย็นชา
ซูอี้ผู้ถือครองอำนาจวัฏสงสารนั้นเป็นดั่งสมบัติสวรรค์เกินห้ามใจสำหรับวิญญาณอาสัญเช่นพวกเขา
ไร้ผู้ใดรามือได้เพียงแค่นั้น!
“เราไม่ทำร้ายสหายเต๋าเพราะเห็นแก่หน้าเซียนหงอวิ๋น แต่หากสหายเต๋ายังดึงดัน ข้าก็ทำได้เพียงต้องล่วงเกิน!”
นักพรตร่างผอมกล่าวด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก
ทันใดนั้น ซูอี้ก็ก้าวมายืนข้างสุนัขพื้นเมือง กล่าวอย่างเฉยเมย “เจ้าถอยไปก่อน ในเมื่อพวกเขาอยากตาย ข้าจะสงเคราะห์ให้”
คนทุกผู้ล้วนผงะ แทบสงสัยว่าพวกตนหูฝาด
สามเซียนแท้ขอบเขตสุญตาต่างผงะไปเช่นกัน ในใจรู้สึกขบขัน
และระเบิดหัวเราะอย่างช่วยมิได้ออกมาทันที
“สหายเต๋าซิงเชวีย เจ้าก็เห็นแล้วว่าสหายน้อยผู้นี้หาชมชอบความช่วยเหลือของเจ้าไม่ และอยากลงมือกระทำการด้วยตนเองนะ!”
นักพรตร่างผอมหัวเราะ
สุนัขพื้นเมืองหาหัวเราะด้วยไม่ มันจ้องมองซูอี้อย่างลึกล้ำ “หนนี้ข้ารับปากเจ้ามิได้! หาไม่…”
“ไม่เพียงนายข้าจะผิดหวัง ข้ายังมิอาจโงหัวขึ้นได้อีกชั่วชีวิตด้วย!”
กล่าวจบ มันก็หันหัวไปมองสามเซียนแท้ขอบเขตสุญตาและกล่าวอย่างเย็นชา “สำหรับข้าผู้นี้ ดวลกับพวกจิ๊บจ๊อยเหล่านี้หนึ่งต่อสามหายากเย็นไม่!”
ตู้ม!
รัศมีเซียนเจิดจรัสขึ้นบนร่างของมันทะลักไหลเยี่ยงน้ำตก ประดังกดดันเสียจนฟ้าดินใกล้เคียงครวญลั่น เคลื่อนขยับป่วนปั่นร้ายกาจ
อำนาจเช่นนั้นหาอ่อนแอไปกว่าสามเซียนแท้ขอบเขตสุญตาเหล่านั้นไม่!
เสียงสูดหายใจเฮือกดังขึ้นในแดนดิน
ยามนี้เอง ผู้คนจึงตระหนักว่าสุนัขพื้นเมืองมิโดดเด่นตัวนี้ แท้จริงน่าสะพรึงกลัวยิ่ง!
เฟิงจิ้งไห่และพรรคพวกล้วนหนาวเยือกหนักข้อ
“ที่แท้เจ้าหมานี่ก็แข็งแกร่งเพียงนี้”
ซูอี้อดประหลาดใจมิได้
เขาตระหนักอยู่นานแล้วว่าสุนัขพื้นเมืองแข็งแกร่งมาก แต่มิคาดว่าจะถึงขนาดนี้!
“ฮึ!”
ชายชุดแดงเปี่ยมจิตสังหาร กล่าวด้วยนัยน์ตาคมปลาบดุจสายฟ้า “สหายเต๋าซิงเชวีย ข้าอดทนมาพอแล้ว แต่เจ้าก็มิดื่มสุราฉลอง จะดื่มแต่สุราลงทัณฑ์ ทำเราผิดหวังจริง ๆ!”
“จะงอแงอันใดนักหนา มีปัญหาก็มาฆ่าข้าเสีย!”
สุนัขพื้นเมืองแสยะยิ้ม
ซูอี้กำดาบแห่งโลกาในมือ นัยน์ตาเฉยเมย หาได้ยืนกรานไล่สุนัขพื้นเมืองออกไปไม่
อำนาจมหาวิถีร้ายกาจเดือดพล่านอยู่ในร่างของเขา
หลังก้าวสู่ขอบเขตแปรสามัญ เขายังไม่เคยใช้อำนาจดาบเก้าคุมขังเลย!
ท้องนภามืดมัว จิตสังหารแผ่คลุ้ง สะเทือนหัวใจคนมากมายสั่นเทิ้ม
ขณะที่กำลังจะเกิดมหาสงครามขึ้นนั้นเอง
ทันใดนั้นก็บังเกิดเสียงฝีเท้าแผ่วเบา
มันนุ่มนวลราวเยื้องย่างบนพื้นร่วน เป็นจังหวะเนิบช้าทอดน่องอันพิเศษเฉพาะ เห็นได้ชัดว่าเป็นเสียงฝีเท้าเล็กจ้อยไร้สลักสำคัญ
ทว่ายามนี้ มันกลับดังกังวานทั่วฟ้าดิน
เสียงฝีเท้าแผ่วเบานั้นดุจกลองทิพย์ในมือทวยเทพในโสตคนทุกผู้ ระเบิดกึกก้องในหัวใจ
จากนั้น เหล่าผู้ชมล้วนสมองหมุนหวือ หัวใจสั่นสะท้าน
ผู้ฝึกตนที่อ่อนแอกว่าชาวบ้านหมดสติไปทันที!
จิตสังหารทั่วฟ้าดินอันหนาแน่นราวจะควบแน่นเป็นสสารสลายหายไร้ร่องรอย
สามเซียนแท้ขอบเขตสุญตา รวมถึงวิญญาณอาสัญวิถีเซียนเช่นเฟิงจิ้งไห่ล้วนใจสั่นเทิ้ม สีหน้าแปรเปลี่ยนกะทันหันและหันมองไปไกล
สุนัขพื้นเมืองตะลึงไป ก่อนจะเผยความยินดีในแววตา
ซูอี้เองก็เผลอมองตาม
และเห็นร่างคุ้นตาร่างหนึ่งเดินมาจากไกล ๆ
อาภรณ์ผ้าฝ้ายเรียบ ๆ เส้นผมขมวดมวยปักปิ่นไม้ รูปลักษณ์ดาษดื่น มีเพียงนัยน์ตากระจ่างใสเยี่ยงผืนน้ำสะท้อนหมู่ดาว
ปราชญ์หงอวิ๋น!
แตกต่างจากคราก่อนยามพบหน้าในศึกแท่นนภาม่วง
ยามนี้ ปราชญ์หงอวิ๋นมิได้ถือตะกร้าบุปผา แต่ถือฝักดาบสีดำขึ้นสนิมอันหนึ่ง
นางเยื้องย่างบนเวหา ดูมิเหมือนกำลังเดิน แต่เหมือนสุญญะกำลังช่วยนางเคลื่อนกาย
โลกหล้าช่างเล็กจ้อย บรรลุเส้นทางแสนห่างราวกับกว้างเพียงชุ่น
เพียงพริบตา นางก็มาอยู่กลางสนามรบแล้ว
และกลายเป็นจุดสนใจของเหล่าผู้ชมในทันที!
สายตาของนางกวาดมองสุนัขพื้นเมือง หันมองซูอี้และกล่าวเบา ๆ
“ข้านำสุราหมักใหม่มาด้วยไหหนึ่ง อยากลองชิมดูหรือไม่?”
………………..