บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 143 จู้กู่ชิงผู้เด็ดเดี่ยว
“ครบรอบทุกสิบปี หุบเขามารบุปผาโลหิตจะเกิดปรากฏการณ์ฝูงสัตว์อสูรคลั่งอยู่หนึ่งครั้ง เมื่อถึงตอนนั้น สัตว์อสูรมากมายจะพากันปรากฏออกมา พวกมันจะคลุ้มคลั่งและกระหายเลือดกว่าปกติอย่างน่าประหลาด”
จางอี้เหรินใช้ถ้อยคำกล่าวอย่างองอาจ “ทว่าแม้จะเป็นอันตรายอย่างยิ่ง แต่กระนั้นมันถือเป็นโอกาสให้เหล่านักรบรุ่นใหม่ ไม่เพียงแต่จะสามารถล่าสัตว์อสูรได้สะดวกกว่าปกติและเก็บเกี่ยววัตถุวิญญาณได้ แต่ยังได้รับประสบการณ์ที่แท้จริงในการต่อสู้เป็นตาย ซึ่งทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า”
ซูอี้ครุ่นคิดและกล่าว “ฝูงสัตว์อสูรคลุ้มคลั่งทุก ๆ สิบปี? ชัดเจนว่าในหุบเขามารบุปผาโลหิตที่พวกท่านว่าน่าจะมีอะไรแปลก ๆ ซ่อนอยู่”
เฉินเจิ้งพยักหน้าเผยความชื่นชมในทันทีและกล่าวว่า “คุณชายซูช่างหลักแหลมนัก ข้าประจำการที่หุบเขามารบุปผาโลหิตมาเกือบสามสิบปี ดังนั้นข้าจึงเคยมีประสบการณ์ต่อปรากฏการณ์สัตว์อสูรคลุ้มคลั่งมาก่อนถึงสองครั้งด้วยกัน”
หลังจากหยุดชั่วคราว เขาก็พูดต่อ “ขณะนี้ ข้ารู้เพียงว่าต้นกำเนิดของฝูงสัตว์อสูรนั้นตั้งอยู่ในสถานที่ที่เรียกว่า ‘ขุมนรกร้อยศพ’ ในส่วนลึกของหุบเขามารบุปผาโลหิต บนท้องฟ้า ภัยพิบัติทุกรูปแบบล้วนปรากฏขึ้น ลม เมฆ ฟ้าร้อง และฟ้าผ่าประชันกันไม่หยุดหย่อน อีกทั้งยังมีลำแสงประหลาดคล้ายกันเช่นสายรุ้งทะยานขึ้นสูงถึงเสียดฟ้า ซึ่งเป็นภาพที่อัศจรรย์เหนือบรรยาย”
ซูอี้กล่าวด้วยความประหลาดใจ “หากเป็นไปตามที่ท่านว่า ที่นั่นอาจจะมีปีศาจอสูรอันทรงพลังอย่างยิ่งยวดอาศัยอยู่ หรืออาจจะเป็นสมบัติที่มีจิตสำนึกแล้วถูกฝังอยู่ที่นั่น หรืออาจจะเป็นค่ายกลจากบรรพกาลเหนือกาลเวลา”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฉินเจิ้งพลันรู้สึกสั่นไหว เอ่ยอุทานออกอย่างไม่อาจควบคุม “เฉินผู้นี้อ่านหนังสือโบราณอยู่หลายเล่มและอนุมานได้แต่เบาะแส ไม่นึกคิดเลยว่าคุณชายซูจะเปิดเผยความลึกลับได้ในประโยคเดียว เฉินผู้นี้โชคดียิ่งที่ได้พานพบคุณชายซู”
ซูอี้ยิ้มและไม่พูดอะไร
ชาติก่อนเขาเคยเดินทางสำรวจดินแดนลึกลับและสถานที่แสนอันตรายมามากมาย ประสบการณ์ของเขาในด้านนี้นับว่าไม่เป็นรองผู้ใด ความลึกลับเพียงเท่านี้เขาจะมองไม่ออกได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตาม ข่าวจากเฉินเจิ้งทำให้ซูอี้ค่อนข้างสั่นไหว
สิ่งที่เขาขาดมากที่สุดขณะนี้คือประสบการณ์การต่อสู้ที่แท้จริงในร่างใหม่ มิฉะนั้น คอขวดของการฝึกฝนจะไม่ถูกทำลายในเวลาอันสั้น
ไม่ต้องสงสัย หุบเขามารบุปผาโลหิต นับเป็นสถานที่ดีที่จะไป!
เฉินเจิ้งส่งคำเชิญคล้ายกับรู้ใจ “หากคุณชายซูสนใจ เราจะไปด้วยกันภายในหนึ่งเดือน”
ซูอี้พยักหน้าและกล่าวว่า “หากไม่ติดธุระใด ข้าจะไปตามคำเชิญ”
เฉินเจิ้งกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ประเสริฐนัก ข้าจะรอคอยการมาของคุณชายซู!”
บทสนทนาทั้งหลายดังชัดไม่มีปกปิด บรรดานักพรตเสวี่ยเหิงและคนอื่นซึ่งอยู่ด้านข้าง ยามได้ยินจนครบจบ หัวใจพวกเขาล้วนสั่นคลอนยากจะสงบลง พวกเขาสรุปได้ว่า ซูอี้ซึ่งพวกตนเคยถูกดูแคลน กลับกลายเป็นตัวตนที่น่าสะพรึงจนน่าขนหัวลุก
มิฉะนั้นแล้ว จวิ้นอ๋องอู๋หลิงไม่มีทางเชิญคนหนุ่มอายุสิบเจ็ดไปล่าสัตว์อสูรด้วยกันดังเช่นที่เห็น
ทันใดนั้น ถ้อยคำเสียงขี้ขลาดพลันดังขึ้นในหูของซูอี้ “นายท่าน หว่านเอ๋อร์สัมผัสได้ถึงชายเป่าขลุ่ยเมื่อคืน กำลังตรงเข้ามาหาเรา!”
ซูอี้หรี่ตาลงเล็กน้อยและกล่าวว่า “ท่านเฉิน อีกประเดี๋ยวข้าอาจติดธุระสักเล็กน้อย เวิงอวิ๋นฉีจะมาที่ประตูในไม่ช้านี้”
เฉินเจิ้งเลิกคิ้วประหลาดใจ “ท่านต้องการความช่วยเหลือจากข้าหรือไม่”
ซูอี้ส่ายหัว “ไม่จำเป็น”
นักพรตเสวี่ยเหิงและคนอื่น ๆ ต่างมองกันและกัน ดวงตาของพวกเขาสั่นไหว
ถัดมาทุกคนเฝ้ารออย่างเงียบงัน
ซูอี้แอบยินดีในใจ เป็นโชคดีที่ผู้บ่มเพาะแห่งโลกนี้ไม่รู้จักกลวิธีเปิดจิตสำนึกเพื่อรับรู้
ไม่เช่นนั้น เวิงอวิ๋นฉีไม่จำเป็นต้องเข้าใกล้เรือนของเขาเลย เพียงแค่ยืนอยู่ไกลห่างก็พอแล้วที่จะรับรู้ถึงความแปลกประหลาดในเรือนนี้
ไม่นานหลังจากนั้น เสียงคนชราผู้หนึ่งดังขึ้นจากนอกประตูลาน “สหายน้อย ชายชราคนนี้มาด้วยประสงค์ดี แม้บอกไม่ได้ว่าเมื่อไร แต่ชายชราผู้นี้มั่นใจยิ่ง ตราบใดที่สหายน้อยเก็บชิงหว่านไว้ข้างกาย ภัยพิบัติจากกลุ่มคนชั่วช้าจะมาเยือนในไม่ช้า ถ้าเจ้ายินดีมอบชิงหว่านให้ชายชราคนนี้แล้ว ชายชราผู้นี้ขอสัญญาจะช่วยเจ้าผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้”
เวิงอวิ๋นฉี!
เพียงแค่ฟังเสียง นักพรตเสวี่ยเหิงและคนอื่น ๆ ต่างรับรู้ได้ฉับพลันว่าไม่ผิดตัวแน่
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ไม่เพียงแต่น้ำเต้าปลุกวิญญาณเท่านั้นที่อยู่กับซูอี้ แต่ชิงหว่านก็ยังถูกซูอี้ครอบครองด้วยเช่นกัน!
“ประตูไม่ได้ลงกลอน หากอยากจะเสวนาก็เข้ามา” ซูอี้พูดอย่างใจเย็น
ด้านนอกลานบ้านเงียบสงัด
หลังจากผ่านไปอีกครึ่งอึดใจ
ประตูลานบ้านแง้มออกเพียงเล็กน้อย
ในฉับพลัน ร่างซูอี้รวดเร็วประหนึ่งสายฟ้า วิ่งผ่านยังลานกว้าง ก่อนจะพุ่งกระโจนข้ามกำแพงราวกับติดปีก
“บัดซบ!”
ในตรอกนอกลาน สีหน้าของเวิงอวิ๋นฉีแปรเปลี่ยนรุนแรง ร่างกายในชุดผ้าดิบตอบสนองอย่างรวดเร็ว หันหลังกลับและวิ่งหนีไปโดยไม่ยั้งคิด
เคร้ง!
ขณะซูอี้ร่อนลงถึงพื้นดิน ดาบบงการฟ้าดินถูกดึงออกจากฝักแล้วเรียบร้อย ฟาดฟันเป็นแนวขวางอย่างอันตราย
ปราณดาบรวดเร็วราวกับสายฟ้า แม้แต่หินดินทรายยังกระจัดกระจายยามมันพาดผ่าน ฤทธิ์เดชสะท้านฟ้าดินชวนโลกหล้าตกตะลึง
เคร้ง!!!
เวิงอวิ๋นฉีต้านรับด้วยกระบองทองแดงในมือตน แต่แม้ว่าตัวเขาจะสามารถสกัดกั้นการโจมตีสำเร็จ ร่างของเขากลับกระดอนถอยกลับบินกลับหัวกลับหาง เลือดลมทั้งร่างปั่นป่วนจนแทบอาเจียน ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นมืดหม่นไม่อาจควบคุม
ช่างเป็นรุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งยิ่ง!
แต่กระนั้น เวิงอวิ๋นฉีมีประสบการณ์การต่อสู้อยู่โชกโชน เขาฉวยโอกาสจากแรงปะทะนี้ เร่งร่างตัวเองให้ถอยหนีได้ดียิ่งขึ้น ด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นมา เขาจึงรีบหนีออกจากตรอกโดยไม่เหลียวมองกลับแม้แต่น้อย
ที่ข้างหลังเขา ร่องรอยการดูถูกปรากฏบนริมฝีปากของซูอี้
“ฮ่าห์!”
เสียงคำรามเลือนลั่นราวฟ้าร้องฤดูใบไม้ผลิแผดออกจากริมฝีปากและลิ้นของซูอี้อย่างไม่ปรานี
เสียงคำรามนี้ไม่ใช่เสียงโดยทั่วไป มันเป็นเสียงซึ่งแฝงไว้ด้วยเจตจำนงแห่งเพลงดาบมหามิติพรากวิญญาณ มันทรงอำนาจรุนแรงกดทับจิตวิญญาณของเวิงอวิ๋นฉีอย่างไม่อาจต้าน
ตูม!
เสียงระเบิดดังก้องในจิตวิญญาณของเวิงอวิ๋นฉี เขาเจ็บปวดอย่างรุนแรง ดวงตาเริ่มพร่ามัว ทั้งร่างโซเซจนเกือบจะล้มพับ ขณะกำลังจะใช้แรงเฮือกสุดท้ายเพื่อดิ้นรน มืออันกล้าแกร่งข้างหนึ่งคว้าคอของเขาไว้อย่างฉับพลัน!
“ขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้นสมบูรณ์แบบ หากเจ้าไม่คิดแต่จะหนีอยู่อย่างเดียว ข้าคงไม่จำเป็นถึงขั้นต้องใช้เพลงดาบมหามิติพรากวิญญาณ”
เสียงราบเรียบของซูอี้ดังขึ้นในหูของเวิงอวิ๋นฉี เขาดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง แต่ทว่าทุกสิ่งนั้นไร้ประโยชน์ภายใต้อุ้งมือที่แข็งประหนึ่งคีมเหล็กของชายหนุ่ม
ไม่นานนักเวิงอวิ๋นฉีก็ถอดใจ ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำด้วยความขมขื่นว่า “หาได้คาดคิดไม่ คนหนุ่มขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้นต้นเช่นเจ้ากลับแข็งแกร่งถึงเพียงนี้…”
ซูอี้ออกแรงบีบมากขึ้นอีกเล็กน้อย ทำให้เวิงอวิ๋นฉีหมดสติในทันที ก่อนจะอุ้มอีกฝ่ายเหมือนแบกไก่กลับไปที่ลานบ้าน
“นี่…”
เมื่อเห็นว่าซูอี้จับเวิงอวิ๋นฉีได้เร็วนัก นักพรตเสวี่ยเหิงและคณะต่างรู้สึกสั่นสะท้านอยู่ในใจ ความรู้สึกไม่สบายใจก่อตัวมากขึ้นอยู่เรื่อย ๆ
“ขอบเขตรวบรวมลมปราณก็เท่านั้น ต่อหน้าคุณชายซู ไม่ควรค่าให้พูดถึงแม้แต่น้อย” เฉินเจิ้งส่ายหัว
พลั่ก!
ซูอี้เหวี่ยงเวิงอวิ๋นฉีลงกับพื้น ความรู้สึกผ่อนคลายเผยผ่านทางสีหน้า
คราวนี้ในที่สุดข้าก็สามารถหาหยกวิญญาณซึ่งเป็นที่มาของชิงหว่านได้
แต่ทันใดนั้น ซูอี้สัมผัสได้ถึงบางสิ่ง เขาเงยหน้าขึ้นมองบนกำแพงลาน ฉับพลันเห็นร่างสตรียืนตัวตรงตระหง่านอยู่ด้านบน
สตรีผู้นี้ มีผมสีขาวราวกับหิมะ บริสุทธิ์และสง่างาม ทว่าสีหน้ากลับเย็นชาดุจน้ำแข็ง
สองมือไพล่หลังดาบยาวเหน็บอยู่ข้างเอว ยืนมั่นอยู่ที่นั่นประหนึ่งนางสวรรค์มองเย้ยปุถุชนจากท้องนภา
แลเห็นสถานการณ์ในลานบ้าน สตรีผมขาวขมวดคิ้วเบา ถ้อยคำเย็นชาพลันเอ่ยออก “ที่นี่ช่างครึกครื้นเสียจริง!”
เฉินเจิ้งซึ่งจำอีกฝ่ายได้ พลันลุกขึ้นในทันที ก่อนจะพูดด้วยความประหลาดใจ “เป็นปรมาจารย์จู้กู่ชิง ผู้อาวุโสแห่งตำหนักเทียนหยวนงั้นหรอกหรือ?”
หญิงผมหิมะผู้งามงดเอ่ยตอบอย่างเย็นชา “ปรมาจารย์เฉินไม่ได้ประจำการในหุบเขามารบุปผาโลหิตอยู่หรอกหรือ? เหตุใดขณะนี้ท่านถึงได้มาคบค้าสมาคมกับเหล่าคนชั่วร้ายของพรรคมารหยินได้?”
ถ้อยคำที่เอ่ยออกแน่นอนว่าหยาบคาย แต่เมื่อดูจากรูปการณ์ซึ่งเห็นอยู่ตำตา เห็นได้ชัดว่า จวิ้นอ๋องอู๋หลิงเฉินเจิ้งและ พรรคมารหยิน คงน่าจะคบค้าสมาคมกันอย่างลับ ๆ ฉะนั้นแล้ว เหตุใดนางจำเป็นต้องเกรงใจ?
ในเวลานี้ ดวงตาของซูอี้เผยความประหลาดใจ ปรากฏว่านี่คืออาจารย์ของเหวินหลิงเจา?
รูปร่างหน้าตาโดดเด่นราวกับเทพธิดา เป็นความงามที่หาชมยากแม้ในเก้ามหาแดนดิน อีกทั้งยังคล้ายว่านางมีสายเลือดไม่ธรรมดาตั้งแต่กำเนิด ไม่เช่นนั้น กลิ่นอายของนางย่อมไม่มีวันเย็นเยือกได้เช่นนี้
อารมณ์แบบนี้ค่อนข้างคล้ายกับเหวินหลิงเจา ไม่น่าแปลกใจที่นางรับเหวินหลิงเจาเข้าเป็นศิษย์…
“แม่นางจู้ ท่านเข้าใจผิดแล้ว”
จางอี้เหรินเปิดปากเพื่ออธิบาย “นายท่านของข้าและตัวข้ามาที่นี่เพื่อเยี่ยมเยียนคุณชายซู ส่วนคนเหล่านี้พวกเราหาได้รู้จักไม่… ”
จู้กู่ชิงขัดจังหวะอย่างเย็นชา “ก่อนหน้านี้ข้าเฝ้าสังเกตอยู่นอกตรอก ถ้าพวกเจ้ากับตัวตนชั่วร้ายเหล่านี้ไม่ใช่กลุ่มเดียวกัน เหตุใดพวกเจ้าไม่ฆ่าพวกมันตั้งแต่แรกเห็น?”
เฉินเจิ้งขมวดคิ้วไม่พอใจ ถ้อยคำเอ่ยออกอย่างรำคาญ “เฉินผู้นี้สู้รบมาตลอดชีวิต สร้างผลงานมากมายให้ต้าโจว เหตุใดตัวข้ายามแก่ชราจึงจำเป็นต้องเข้าร่วมกับพรรคมารที่ชั่วช้า? ปรมาจารย์จู้ ความสงสัยของเจ้าไม่ใช่ว่าเกินเหตุไปหรือไร!”
“มันง่ายมากหากจะพิสูจน์ถ้อยคำที่เจ้ากล่าว จงฆ่าพวกเขาตอนนี้ ข้าจึงจะเชื่อเจ้า!”
จู้กู่ชิงหาได้แยแสไม่ ดวงตายังคงส่องประกายเย็นชาไม่ไหวติง
“น่าขันสิ้นดี ทำไมเฉินผู้นี้จำเป็นต้องพิสูจน์ให้เจ้าเห็น?”
เฉินเจิ้งเย้ยหยัน
เขารู้สึกหงุดหงิด แม้เป็นเรื่องปกติที่จู้กู่ชิงจะบังเกิดข้อสงสัยยามได้เห็นภาพที่เขาและคนพรรคมารร่วมอยู่ลานบ้านเดียวกัน
แต่จู้กู่ชิงหาได้ฟังคำอธิบายใดไม่ ทัศนคติของนางนั้นแข็งกร้าว ทั้งยังคล้ายว่าไม่เห็นจวิ้นอ๋องเช่นเขาอยู่ในสายตา แลเห็นเช่นนี้ เฉินเจิ้งจะไม่โกรธได้อย่างไร?
“แม่นางจู้ เจ้ายืนบนกำแพงเช่นนั้นไม่งามนัก ลงมาคุยกันด้านล่างย่อมงามกว่า”
ซูอี้ขมวดคิ้ว
เรือนเงียบสุขสงบ เป็นพื้นที่ของตัวเขา การมีคนแปลกหน้ายืนค้ำหัวบนกำแพง ย่อมไม่นำพาซึ่งความพอใจสักเท่าไหร่
นัยน์ตากระจ่างวาวของจู้กู่ชิงเฉียบแหลมประหนึ่งคมดาบ นางแลเหลือบมองมาที่ซูอี้ในทันที “มารตัวน้อยเช่นเจ้ากล้าดีอย่างไรตะโกนโหวกเหวกต่อหน้าข้าสกุลจู้ผู้นี้!? ประเดี๋ยวเถอะข้าจะฆ่าเจ้าเป็นคนแรก!”
เอื้อนเอ่ยเพียงหนึ่งประโยค ซูอี้พลันถูกตราหน้าให้เป็นผู้บ่มเพาะอธรรมแห่งพรรคมารหยิน
เรื่องนี้ทำให้เฉินเจิ้งและจางอี้เหรินพูดไม่ออกชั่วขณะหนึ่ง พวกเขาพากันหัวเราะอย่างโกรธจัด เหตุใดสตรีผู้นี้ถึงดวงตามืดบอด มองพวกเขาเป็นตัวร้ายของโลกหล้า?
ซูอี้หมดคำจะกล่าว
เห็นได้ชัดว่าในใจของจู้กู่ชิงผู้นี้ ได้ปักใจเชื่อไปแล้ว มันไม่มีประโยชน์ใดที่จะอธิบายสิ่งใดเพิ่มเติม
ทั้งบุกรุกอย่างหยาบคาย ทั้งกล่าวหาอย่างเลื่อนลอย หากวันนี้เขาไม่สั่งสอนสตรีนางนี้ให้หลาบจำ ต่อไปภายภาคหน้า นามซูอี้ของเขาใครจะหวั่นเกรง?
ไม่ไกลกันนัก นักพรตเสวี่ยเหิงถ้อยคำเอ่ยแทรกอย่างเย็นชา “คุณชายซู เห็นได้ชัดว่าสตรีผู้นี้มาที่นี่เพื่อสร้างปัญหา เหตุใดเราไม่ร่วมมือกันฆ่านางเพื่อขจัดภัย?”
ทันทีที่คำพูดนี้กังวานออก บรรยากาศทั้งลานพลันเงียบสงัด
“ใช่ มาร่วมกันฆ่านาง!”
ฉู่ซื่อหลางและหลิวเซียงหลานต่างพยักหน้าเสริม คล้ายว่าเข้าใจความคิดของอีกฝ่าย
แต่กลับกัน ซูอี้เพียงชำเลืองมองพวกเขาอย่างเย็นชา ริมฝีปากเปิดออกถ้อยคำกล่าวอย่างเย้ยหยัน “อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ทัน พวกเจ้าคิดอ่านใช้โอกาสชุลมุนเพื่อหลบหนี ผู้แซ่ซูขอเตือนเอาไว้ หากพวกเจ้ากล้าเล่นแง่แม้เพียงนิด มันจะเป็นข้าที่สังหารพวกเจ้าด้วยตัวเอง”
เฉินเจิ้งส่ายหัวพลางเผยยิ้ม “ตัวตนชั่วร้ายเหล่านี้ช่างโง่เขลาไม่รู้ความ ไปกินต้นหมีดีเสือมาจากที่ใด ถึงได้กล้าหลอกลวงคุณชายซู โง่เง่ายิ่งนัก!”
“ปรมาจารย์เฉิน คุณชายซู เมื่อครู่พวกเรายังพูดคุยกันอย่างเป็นมิตรไม่ใช่หรือ? เหตุใดขณะนี้พวกท่านจึงจึงหันคมดาบมายังเราเช่นนี้ พวกท่านทำตัวไม่มีเหตุผลเลย!”
นักพรตเสวี่ยเหิงถอนหายใจด้วยท่าทางผิดหวังที่ถูกทอดทิ้ง
เคร้ง!
ที่ด้านบนกำแพง จู้กู่ชิงชักดาบออกจากฝัก ปราณวิญญาณพวยพุ่งสูงเสียดฟ้า
ขณะเดียวกันนั้น บรรยากาศโดยรอบเปลี่ยนเป็นหนาวเหน็บประหนึ่งฤดูเหมันต์ แปรปรวนท้องฟ้าเป็นมืดครึ้มจนน่ากลัวยิ่ง
“พวกเจ้ามีอะไรจะอธิบายอีกหรือไม่”
ถ้อยคำของจู้กู่ชิงเริ่มเย็นชามากขึ้นตามลำดับ
ต้องยอมรับว่านางกล้าหาญไม่แพ้บุรุษ แม้จะเผชิญสถานการณ์เช่นนี้ นางกลับไม่หวั่นเกรงแม้ตนเองจะโดดเดี่ยว
เฉินเจิ้งพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา ก่อนจะกล่าวออก “สตรีเช่นเจ้าเมื่อพูดไม่รู้ความ เห็นทีข้าต้องสั่งสอนให้หลาบจำ!”
ทว่าก่อนเหตุการณ์จะบานปลาย ซูอี้พลันโบกมือ และเอ่ยพูดอย่างเฉยเมย “ที่แห่งนี้คืออาณาเขตของแซ่ซู ท่านเป็นแขกมาเยี่ยมเยียน มันคงไม่งามนักหากให้ท่านต้องออกหน้า ข้าจะสะสางเรื่องเล็กน้อยนี้ด้วยตนเอง”
ดวงตาของเฉินเจิ้งหรี่ลง ไม่ช้านานร้อยยิ้มกลับเผยออก “คุณชายซูมีน้ำใจนัก เช่นนั้นเฉินผู้นี้ขออาสาพิทักษ์ประตูลาน วันนี้ ไม่ว่ามันจะเป็นใคร อย่าแม้แต่จะคิดที่จะออกไป!”
ตั้งแต่แรกเริ่ม ในใจของเขายังสงสัย ว่าซูอี้เอาชนะมู่ชางถูได้อย่างไร ฉะนั้นเมื่อมีโอกาสได้รับชม ไหนเลยเขาจะยอมพลาดไปโดยง่าย
“ไป!”
ทันใดนั้น นักพรตเสวี่ยเหิงตะโกนอย่างรุนแรง
ทันทีที่สิ้นเสียง เขาโบกแขนเสื้อในทันที
หึ่ง~~
ทันใดนั้น ห่าฝูงแมลงสีดำหนาทึบพลันถาโถมออก ปกคลุมทั้งลานบ้านประหนึ่งฟ้าถล่ม!