บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1430: อำนาจสูงส่งของเซียนหงอวิ๋น
ตอนที่ 1430: อำนาจสูงส่งของเซียนหงอวิ๋น
จิตสังหารทั่วฟ้าดินมลายหาย
บรรยากาศสงบเงียบปกคลุมแดนดินอันพังทลายอย่างไร้เสียง
ความเปลี่ยนแปลงอันไม่อาจมองเห็นนี้ทำให้หัวใจเหล่าเซียนทั้งหลายตะลึงอึ้ง
ปราชญ์หงอวิ๋นปรากฏกาย นางหาลงมือใดไม่ แต่การปรากฏของนางทำให้ทุกสิ่งทั่วฟ้าดินแปรเปลี่ยน
เพียงใจคำนึง สรรพสิ่งก็แปรตาม
เมื่อกายาเคลื่อน วิถีก็คล้อยตาม
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าน่าอัศจรรย์ยิ่งกว่าอำนาจยิ่งใหญ่เยี่ยง ‘วาจาสิทธิ์’ เสียอีก!
หลังปราชญ์หงอวิ๋นมาถึง นางก็มองข้ามเหล่าผู้คนที่นี่ราวไร้ตัวตน และกล่าวชวนซูอี้คุยสัพเพเหระ
สายตาของซูอี้แปรเปลี่ยนละเอียดอ่อน
คราก่อนยามต่อสู้ในศึกแท่นนภาม่วง ปราชญ์หงอวิ๋นก็มามอบสุราให้เขาไหหนึ่ง
และยามนี้นางก็ปรากฏขึ้นอีก
ราวสหายเก่ามาเยือน ชวนดื่มสุราด้วยกัน
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “ที่นี่ไม่ควรค่าแก่สุราใหม่ที่สหายเต๋าบ่มหรอก”
สายตาของปราชญ์หงอวิ๋นกวาดมองไปรอบ ๆ ก่อนจะกล่าวว่า “ปราณโลหิตที่นี่หนาแน่นไปหน่อย มีผลต่อรสชาติสุราจริง ๆ”
หลังเว้นช่วงเล็กน้อย นางก็กล่าวว่า “เช่นนั้นหลังออกจากเขตหวงห้ามเซียนละล่อง ข้าจะชวนสหายเต๋าดื่มอีกทีได้หรือไม่?”
ซูอี้กล่าวอย่างปรีดา “ได้สิ”
ทั้งสองสนทนาราวไร้ผู้อื่นอยู่ด้วย
พฤติกรรมอันผ่อนคลายเยือกเย็นนี้ทำให้ผู้คนมากมายตกตะลึง
โดยเฉพาะม่อซิงหลินที่ยิ่งตื่นเต้นในใจกว่าใครทั้งมวล
ตัวตนลึกลับซึ่งเคยถูกเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงลูกท้อโดยศาลเซียนรวมศูนย์นี้เคยทำให้บรรพชนตระกูลม่อต้องหลบ ๆ เลี่ยง ๆ ยามกล่าวถึง!
นางมีที่มาอันพิเศษ ลึกลับและทรงพลัง
กระทั่งในโลกเซียน ยังแทบไร้ผู้ใดรู้รายละเอียดที่แท้จริงของนาง
และเพราะขาดความเข้าใจนี้เอง คนมากมายในโลกหล้าจึงถือนางเป็นเพียงทายาทเซียนทั่วไป เหมือนเช่นม่อชิงโฉวและฝูตงหลี
เซียนเช่นเฟิงจิ้งไห่และลวี่ตงชิวเองก็หาแตกต่างไม่
ทว่าในสายตาของเหล่าผู้รู้เรื่องราวบางอย่างเกี่ยวกับเซียนหงอวิ๋น พวกเขารู้ดีที่สุดว่าสตรีลึกลับผู้นี้เป็นตัวตนปริศนาสูงส่งเพียงไร!
ขณะนี้ สีหน้าของสามเซียนแท้ขอบเขตสุญตาล้วนจริงจัง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาก็รู้เรื่องบางอย่างเกี่ยวกับเซียนหงอวิ๋น!
“ในเมื่อเซียนหงอวิ๋นอยากพาตัวสหายน้อยนั่นไป เราก็จะไม่หยุดยั้ง แต่ก่อนจาก ขอให้สหายเต๋าทิ้งสำเนาเคล็ดวัฏสงสารไว้ก่อน”
นักพรตร่างผอมกล่าวอย่างจริงจังด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “หาไม่ มิเพียงเราผู้เฒ่าทั้งสามจะมิยินยอม แต่สหายเต๋าทั้งหลายในเขตหวงห้ามเซียนละล่องซึ่งยังมิฟื้นสติก็จะไม่รามือด้วยเช่นกัน”
ปราชญ์หงอวิ๋นเมินเฉยหาสนใจไม่!
นางกระซิบซูอี้ “เรื่องราววันนี้ซับซ้อนนิดหน่อย เจ้ามองเฉย ๆ เถอะ ข้าจัดการเอง”
ซูอี้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
นี่ยัดเยียดบารมีนารีพิทักษ์ให้เขาอยู่หรือ?
“ข้าคิดว่า…”
ซูอี้อ้าปากอยากกล่าวบางอย่าง
ทว่าปราชญ์หงอวิ๋นกล่าวสั้น ๆ ว่า “ในภายหน้า ข้าอาจต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า หรือถ้าใช้คำของโลกนี้ก็ ภายหน้า… เจ้าคือต้นขาที่ข้าอยากกอด*[1]”
ซูอี้ “…”
แค่ก!
สุนัขพื้นเมืองกระอักไอสำลักรุนแรง
ม่อซิงหลินผงะอึ้ง
คนทุกผู้เองก็ตะลึงเช่นกัน
นักพรตร่างผอมถูกปราชญ์หงอวิ๋นเมินไปเสียสนิท สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเล็กน้อยอย่างหยุดมิได้ “เซียนหงอวิ๋น เจ้า…”
ทันทีที่เขากล่าวเช่นนี้ จู่ ๆ ปราชญ์หงอวิ๋นก็หันมามอง
ชั่วขณะนั้น หัวใจของนักพรตร่างผอมสั่นสะท้าน สัมผัสได้ถึงเค้าลางอันตราย
สัญชาตญาณศึกอันสั่งสมแสนนานทำให้เขาโบกขลุ่ยกระดูกในมือทันที
ตู้ม!
รัศมีเซียนสีขาวดุจหิมะปรากฏสาดจ้า แปรเปลี่ยนเป็นมนตราขวางตรงหน้าเขา
ขณะเดียวกัน นักพรตร่างผอมก็อ้าปากพ่นยันต์เซียนออกมาชิ้นหนึ่ง แปรเปลี่ยนเป็นชั้นเกราะสีทองปกคลุมทั่วร่างของเขา
ทันทีที่กระทำทุกสิ่งนี้เสร็จ เขาก็เห็นปราชญ์หงอวิ๋นยกฝักดาบสีดำในมือของนางเหวี่ยงลงจากไกล ๆ
รุ้งแสงสายหนึ่งปรากฏ
เปรี้ยง!!!
ชั้นมนตราดุจหนึ่งโลกหล้าพากันระเบิดแหลกเยี่ยงฟองอากาศชั้นแล้วชั้นเล่า
รุ้งแสงนั้นยังคงไม่หย่อนกำลัง ทะลวงผ่านเกราะทองรอบร่างนักพรตร่างผอม เผยอำนาจทำลายล้างรุนแรง
เปรี๊ยะ!!
เกราะทองแหลกสลาย
อกของนักพรตร่างผอมทะลุเป็นรูใหญ่เยี่ยงชามข้าว
ดวงตาของเขาเบิกกว้าง ริมฝีปากสั่นระรัว “เจ้า…”
ก่อนเขาจะทันได้เอ่ยวจี ร่างของเขาก็แหลกสลายแปรเปลี่ยนเป็นพิรุณแสงพร่างพรม
ท้ายที่สุด บนพื้นก็เหลือเพียงขลุ่ยกระดูก
กำจัดวิญญาณอาสัญของเซียนแท้ขอบเขตสุญตาผู้หนึ่งลง!
เรียบง่ายราวไร้สลักสำคัญ!
ชั่วขณะนั้น ชายชุดแดงและชายวัยกลางคนข้างกายนักพรตร่างผอมล้วนแข็งทื่อหวาดผวา
ยามนี้ คนทุกผู้ในแดนหล้าล้วนตะลึงค้างจมในภวังค์
วิญญาณอาสัญของเซียนแท้ขอบเขตสุญตานั้นร้ายกาจเหนือชั้นกว่าวิญญาณอาสัญวิถีเซียนมาก
ใครเล่าจะคิดว่าตัวตนเช่นนี้จะไม่อาจหยุดกระทั่งการโจมตีเดียวได้?
ซูอี้อดหรี่ตาลงไม่ได้
เขาจำต้องมองฝักดาบสีดำในมือปราชญ์หงอวิ๋นใหม่อีกหน
ฝักดาบนี้ด่างดำเปรอะสนิม เปื้อนคราบเลือดแห้ง มีรอยร้าวมากมาย ทว่ารอยร้าวเหล่านั้นถูกซ่อมแซมอย่างเห็นได้ชัด
ไม่ว่าจะมองอย่างไร มันก็ดูเหมือนวัตถุโบราณหักพัง ไม่อาจมองเห็นว่าซุกซ่อนปริศนาไว้มากมายเพียงไร
ทว่าในห้วงความนึกคิดของซูอี้ ดาบเก้าคุมขังกำลังดีดเต้นราวแมวได้กลิ่นปลา เตรียมตัวกระโจน!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าฝักดาบนี้ถูกดาบเก้าคุมขังหมายหัว ถือเป็นอาหารอันแสนเย้ายวนเลิศรส!
ซูอี้สงบวาจา ใช้จิตวิญญาณกล่าวเตือนดาบเก้าคุมขัง สงบท่าทีของมันลง
“ไป!”
ชายชุดแดงหันหลังเผ่นหนี
ทันทีที่สองมือคว้า สุญญะก็แหวกออกให้แทรกกายหายไปทันที
ปราชญ์หงอวิ๋นดูสุขุม นางทำเพียงกระแทกฝักดาบเก่าสีดำในมือของนางสู่สุญญะ
ตู้ม!
ท้องนภาแหลกร้าว
กฎแห่งมิติอันกรุ่นคลั่งแหลกมลาย แปรเปลี่ยนเป็นคลื่นถล่มนภาทลายแดนดิน
และร่างของชายชุดแดงก็เป็นดุจเส้นฟางกลางทะเลคลั่ง หากมิดิ้นรนสุดกำลังคงแทบจมลงท่ามกลางพายุมิตินี้!
แต่ถึงเช่นนั้น ยามเขาหนีออกมาได้ ร่างของเขาก็ยังเต็มไปด้วยบาดแผลแหว่งวิ่นเต็มไปหมด
“ข้ายอมแพ้!”
ชายชุดแดงตะโกนด้วยสีหน้าแสนตื่นกลัว
เขาเคยรู้กิตติศัพท์ของเซียนหงอวิ๋นมาบ้าง แต่ก็แค่นั้น หารู้ความแข็งแกร่งที่แท้จริงหรือข้อมูลอื่นใดของเซียนหงอวิ๋นไม่
ยามนี้เอง เขาจึงตระหนักลึกซึ้งว่าสตรีผู้มีที่มาเป็นปริศนาผู้นี้เป็นตัวตนร้ายกาจเพียงไร
“ยอมแพ้บ้านแม่แกสิ! มิใช่เมื่อครู่หยิ่งผยองมากหรือ?”
สุนัขพื้นเมืองสบถด่า
และเมื่อเสียงของมันดังขึ้น ปราชญ์หงอวิ๋นก็ลงมือแล้ว
ปลายนิ้วเรียวขาวของนางปาดไปบนอากาศ
ฉัวะ!
เกิดรอยแยกเป็นเส้นตรงขึ้นในอากาศ
ศีรษะของชายชุดแดงกลิ้งหล่น
จากนั้น ทั้งร่างและศีรษะก็สลายร่วง
วิชาอันเฉียบคมชัดเจนนี้ช่างง่ายดายราวเกี่ยวข้าว
สิ่งนี้ทำให้ซูอี้สูดหายใจเฮือก
ยามนี้ ปราชญ์หงอวิ๋นไม่ใช้กระทั่งฝักดาบสีดำ แต่ทำเพียงยกมือปาด! แต่ชายชุดแดงก็ตายลงทันที!
ต้องมีการฝึกฝนร้ายกาจเช่นไรจึงสามารถฆ่าเซียนแท้ขอบเขตสุญตาลงได้ราวไร้สลักสำคัญเช่นนี้?
เหล่าผู้เฝ้ามองล้วนเงียบกริบ
คลื่นความกลัวเย็นยะเยือกเกินมองเห็นบิดวนในหัวใจคนทุกผู้
ทุกสายตาที่มองมายังปราชญ์หงอวิ๋นแปรเปลี่ยน!
“ไฉนเจ้าไม่หนีไปเล่า?”
เซียนหงอวิ๋นประหลาดใจเล็กน้อย นางสังเกตเห็นว่าชายวัยกลางคนเคราหยิกหาหลบหนีไม่
“ต่อหน้าท่านเซียน ข้าไร้ทางหนี แล้ว…จะหนีไปเพื่อการใด?”
ชายวัยกลางคนรำพึง
ในการประมือก่อนหน้า เขาสงบวาจาถือวจีดุจทองคำเสมอมา
และยามนี้ เขายกมือขึ้นดึงขวานศึกเบื้องหลังออกมา กล่าวด้วยนัยน์ตาตั้งมั่นจริงจัง “ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าต้องตาย ก็…ขอตายอย่างมีเกียรติดีกว่า”
ตู้ม!
เขาก้าวย่างบนอากาศ ฟาดฟันขวานในมืออย่างกราดเกรี้ยว
ฟ้าดินสะเทือนสั่น สุญญะพังทลาย
อำนาจของเซียนแท้ขอบเขตสุญตานั้นเกิดคาดฝัน เพียงอำนาจสูงส่งก็เกินต้านรับ
เมื่ออยู่ต่อหน้าการโจมตีนี้ ปราชญ์หงอวิ๋นดีดนิ้ว
เป๊าะ!!
รัศมีเซียนสาดส่อง ขวานศึกหักเป็นสองส่วน
ร่างชายวัยกลางคนกระเด็นไปเยี่ยงถูกคันศรดีดกลับด้าน บาดแผลชวนตะลึงปรากฏขึ้นบนร่างเต็มไปหมด
ดุจกระเบื้องแหลกร้าวดั่งใยแมงมุม!
“เจ้า…เป็นราชันเซียนหรือ!?”
ชายวัยกลางคนเบิกตากว้าง น้ำเสียงเปี่ยมความไม่อยากเชื่อ
ราชันเซียน!
ในโลกแห่งเซียน ผู้ซึ่งลือนามในหนึ่งแดนดินเท่านั้นจึงถูกกล่าวได้ว่าเป็น ‘ราชันเซียน’!
เป็นตัวตนซึ่งเหนือล้ำกว่าขอบเขตสุญตาไปไกล
หนึ่งบุคคลเทียบได้กับยอดขุมกำลังวิถีเซียนทั้งฝ่าย!
ตระกูลเยี่ยงตระกูลม่อของม่อซิงหลินนั้นมีชื่อเสียงเป็น ‘ตระกูลเซียนชั้นนำ’ เหตุเพราะมีตัวตนในระดับราชันเซียนอยู่ในตระกูล
“ราชันเซียนหรือ?”
ปราชญ์หงอวิ๋นส่ายหัว
ไกลออกไป ชายวัยกลางคนเคราหยิกอดกล่าวอย่างฉงนมิได้ “นั่น… แต่ไฉนเจ้า… ขนาดนั้น…”
เสียงของเขากระท่อนกระแท่น และก่อนจะทันพูดจบ ร่างของเขาก็แหลกสลายหายไป
ยามนี้ สามเซียนแท้ขอบเขตสุญตาล้วนตายตกสิ้น!
พวกเขารอดจากยุคสิ้นกฎเกณฑ์ ผ่านการแปรเปลี่ยนแห่งกาลเวลาแสนนานจนกระทั่งใกล้ฟื้นคืนสู่หล้า
ทว่าวันนี้ที่นี่ พวกเขากลับถูกปลิดชีวิตเยี่ยงผักหญ้า!
ฟ้าดินเงียบสงัด สรรพสิ่งไร้วจี
และปราชญ์หงอวิ๋นในอาภรณ์ผ้าฝ้ายผู้ดูดาษดื่นก็กลายเป็นตัวตนสูงสุดค้ำสวรรค์ในสายตาคนทุกผู้
ต่างผู้ล้วนหวาดผวา!
เฟิงจิ้งไห่และพรรคพวกสิ้นหวังไร้ทางออก หัวใจราวมลายเป็นธุลี
ขนาดวิญญาณอาสัญเซียนแท้ขอบเขตสุญตายังฆ่าได้ง่าย ๆ แล้ววิญญาณอาสัญวิถีเซียนเช่นพวกเขาจะนับประสาอันใด?
ทว่าปราชญ์หงอวิ๋นหาสนใจพวกเขาไม่
บางทีอาจจะดูแคลนเกินกว่าลงมือ
หรือบางที วิญญาณอาสัญวิถีเซียนเหล่านี้อาจไม่ได้อยู่ในสายตานางเลย
นางมองไปไกลด้วยนัยน์ตากระจ่างเยี่ยงธารวารี ก่อนจะกล่าวขึ้นกะทันหันว่า “อันใด ยังไม่ถอดใจอีกหรือ? อยากให้ข้าลงมือล้างแดนของเจ้าหรือไร?”
วาจานั้นกะทันหัน และราบเรียบเยี่ยงน้ำนิ่ง
ดวงตาของซูอี้หรี่ลงเล็กน้อย ตระหนักแล้วว่าตลอดฟ้าดินนี้ ต้องมีตัวตนอันทรงพลังยิ่งซุกซ่อนอยู่อีก!
ไม่เพียงซูอี้ ผู้อื่นเองต่างก็ตระหนักและอดตกใจมิได้
นอกจากสามเซียนแท้ขอบเขตสุญตาเหล่านั้น ศึกวันนี้ยังมีตัวตนอื่นที่แข็งแกร่งกว่าซ่อนตัวอยู่อีกหรือ?
“หงอวิ๋น หากเจ้าคิดยึดครองวัฏสงสารไว้ผู้เดียว เจ้าก็มีแต่จะฆ่าตัวตาย!”
เสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างเย็นชาทรงอำนาจ มันเบาเสียจนมิอาจตัดสินได้ว่าเจ้าของเสียงอยู่หนใด
ปราชญ์หงอวิ๋นดูเยือกเย็น นางโบกฝักดาบในมือฟาดไปไกล
ตู้ม!
แดนดินไกลออกไปหลายพันจั้งแหลกร้าว รัศมีเซียนปะทุสาด
ฟ้าดินถิ่นนั้นดูแหลกมลาย ทุกสิ่งราบเป็นหน้ากลอง
และเสียงนั้นก็ดังออกมาอีกครั้งอย่างเดือดดาล
“ข้าออกไปได้เมื่อไหร่ ข้าจะสะสางเรื่องวันนี้!!!”
สีหน้าของปราชญ์หงอวิ๋นยังคงสุขุมเยี่ยงกาลก่อน กล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “ได้ ข้าจะไปรอเจ้าที่เขตหวงห้ามดาราหยก”
เสียงทรงอำนาจนั้นพลันเงียบไป
มิได้พูดอันใดอีก
[1] กอดต้นขา คือสำนวนจีนที่มีความหมายถึงการพึ่งบารมีผู้ที่แข็งแกร่งกว่า เช่น พึ่งคนที่เก่งที่สุดในชั้นเรียนให้ช่วยติวสอบ เล่นเกมแล้วให้คนเก่ง ๆ แบกผ่านด่าน
………………..