บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1431: ห้าขอบเขตวิถีเซียน
ตอนที่ 1431: ห้าขอบเขตวิถีเซียน
ปราชญ์หงอวิ๋นเงียบไป ก่อนจะกล่าวกับซูอี้ว่า “พวกไอ้แก่สะดุดตาหายไปหมดแล้ว… ข้าช่วยเจ้าคิดบัญชีให้เรียบร้อยแล้วไปเลยดีหรือไม่?”
ทันทีที่วาจาถูกกล่าว ขุมกำลังใหญ่ซึ่งเป็นปรปักษ์กับซูอี้ที่กำลังมองศึกจากไกล ๆ ล้วนผงะหงาย
เฟิงจิ้งไห่ ลวี่ตงชิว และพรรคพวกตะลึงงัน สิ้นหวังโดยสิ้นเชิง
ชาวาบไปทั้งตัว
ซูอี้จนใจเล็กน้อย
หัวใจของเขารู้สึกประหลาดยิ่ง
เขาค่อนข้างตะขิดตะขวงกับความรู้สึกที่ต้องพึ่งบารมีนารีพิทักษ์เช่นนี้
ไม่ว่าจะในชาตินี้หรือชาติไหน เขาล้วนดิ้นรนฝ่าฟันด้วยตนเองในทุกมรสุมที่เผชิญ
ยิ่งมิต้องพูดถึงว่าเรื่องวันนี้ เขาไม่ใช่สิ้นหนทางรับมือ
ท้ายที่สุดแล้ว หลักการคิดและความทะนงตัวของซูอี้ทำให้เขามิอาจปล่อยนารีพิทักษ์เช่นนี้อย่างสบายใจได้
เพราะถึงอย่างไร เขาก็หาใช่ผู้เกาะอาศัยบารมีผู้อื่นไม่
หลังครุ่นคิด ซูอี้ก็กล่าวว่า “ข้ามีหนึ่งดาบ อยากเชิญสหายเต๋าชมหน่อย”
ปราชญ์หงอวิ๋นตะลึงไป นัยน์ตากระจ่างของนางวูบไหวแปรเปลี่ยนราวเห็นได้ว่าซูอี้คิดการใด มุมปากของนางยกยิ้มทึ่มทื่อและพยักหน้า “ข้าดูอยู่”
สายตาของซูอี้กวาดมองเฟิงจิ้งไห่และพรรคพวก ก่อนจะกล่าวว่า “ข้าให้โอกาสเจ้า ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด ขอเพียงหยุดดาบนี้ของข้าได้ จะถือว่าเจ้ารอด”
เพียงวาจาถูกกล่าว สี่วิญญาณอาสัญวิถีเซียนเช่นเฟิงจิ้งไห่และลวี่ตงชิวก็ดูจะตื่นจากฝัน พวกเขามองหน้ากัน ความหวังหวนคืนเล็กน้อย
หยุดเพียงหนึ่งดาบให้ได้ ขอเพียงร่วมมือสุดกำลังก็ยังมีโอกาส!
“จริงหรือ?”
เฟิงจิ้งไห่อดประหลาดใจมิได้
หากปราชญ์หงอวิ๋นลงมือ พวกเขาคงทิ้งการขัดขืนไปสิ้น
ทว่าหากซูอี้เป็นผู้ลงมือ สถานการณ์ก็ตาลปัตร
“ข้าประกันให้ได้”
ปราชญ์หงอวิ๋นกล่าวเนิบ ๆ
เฟิงจิ้งไห่และคณะสิ้นสงสัย
“ขึ้นมา!”
อาภรณ์ของเฟิงจิ้งไห่กระเพื่อมพัด ประคำวิญญาณยี่สิบสี่เม็ดอันเรื่อเรืองรัศมีถูกใช้งาน ก่อเป็นวงล้อมขวางร่างของพวกเขาไว้
ยี่สิบสี่ไข่มุกสะท้อนจันทร์!
สมบัติเซียนอันก่อเกิด ณ ก้นทะเลเฟิงจิ้ง ยามใช้จะสามารถสะกดหมื่นวิญญาณ ขวางหมื่นวิถีได้!
ทว่านั่นมิใช่จุดสิ้นสุด
เมื่อเฟิงจิ้งไห่คำนึง สารพัดสมบัติเซียนคุ้มกายก็ปรากฏขึ้น มีทั้งคันฉ่องพิทักษ์ใจ ชุดเกราะ โล่วิญญาณ อาภรณ์ศึกคุ้มกายาและอีกมากมาย
พวกมันทั้งหลายล้วนเลอค่าเจิดจรัส
เป็นภาพชวนอ้าปากค้าง
“บัดซบ ไอ้แก่นี่รวยไปแล้วกระมัง?”
สุนัขพื้นเมืองอดผงะไปมิได้
สมบัติเหล่านั้นล้วนแต่เป็นสมบัติเซียน!
ท้ายที่สุด เฟิงจิ้งไห่ก็ยกโลงศพสีทองโลงหนึ่งขึ้นด้วยสองมือ มันมีขนาดเพียงฉื่อเศษ แต่กลับแผ่ปราณหนักแน่นไร้ขอบเขต
โลงทองฝังวิญญาณ!
หนึ่งในสมบัติอันล้ำค่าที่สุดประจำสำนักเซียนฝังวิญญาณ ตลอดกาลนานมา มันฝังศัตรูร้ายมากมาย หลอมวิญญาณเซียนมานับไม่ถ้วน!
ขณะเดียวกัน ลวี่ตงชิวและวิญญาณอาสัญวิถีเซียนที่เหลือต่างก็ใช้สมบัติของตนเตรียมการป้องกันอย่างแน่นหนา
พวกเขาแต่ละผู้ล้วนมียันต์ลับวิถีเซียนในมือหนาเป็นฟ่อน
คนทุกผู้ล้วนคุ้มกาย ติดเกราะยันฟัน!
แต่ถึงเช่นนั้น เฟิงจิ้งไห่และพรรคพวกต่างก็ยังมิกล้าเลินเล่อ ทุกผู้ล้วนดูเคร่งเครียด ระแวดระวังถึงขีดสุด
ณ ศึกกาลก่อน ซูอี้ลำพังก็สังหารเซียนมาหลายสิบ
และยามนี้ ซูอี้ต้องการใช้หนึ่งดาบสะบั้นความแค้น ไม่ว่าผู้ใดก็คาดได้ว่าดาบนี้ย่อมร้ายกาจเหนือธรรมดา!
ตู้ม!
ไกลออกไป ณ กลางมหานทีประกายหยก อำนาจค่ายกลอันปกคลุมทั่วนภาบดบังตะวันแผ่พุ่ง
เหล่าผู้ทรงอำนาจในสำนักเซียนฝังวิญญาณต่างก็เตรียมการสนับสนุนพวกเฟิงจิ้งไห่อย่างเห็นได้ชัด
เห็นเช่นนี้ ซูอี้ก็ยกดาบแห่งโลกาในมือขึ้นโดยไร้ลังเล
คมดาบเคลื่อนกลางเวหา ตัวดาบโบราณครามทองเปี่ยมด้วยภาวะดาบสุดขั้ว กระเพื่อมไหวเยี่ยงระลอกน้ำ
และจิตทารกรูปร่างเหมือนดาบเก้าคุมขังในร่างของซูอี้ก็แผ่พุ่งปราณฮุ่นตุ้น โคจรอำนาจเต็มกำลัง
“สะบั้น!”
ด้วยเสียงกระซิบ ซูอี้ก็ออกแรงแขนฟันดาบแห่งโลกาลงอย่างเกรี้ยวกราด
ตู้ม!
ฟ้าดินพลันมืดสลัว
ภาวะดาบแปรเปลี่ยนเป็นแดนวัฏสงสารปกคลุมทั่วฟ้าดินในรัศมีสามหมื่นจั้ง
ภาพอันลึกลับตระการตาแห่งวัฏสงสารปรากฏขึ้น ราวฟ้าดินแดนนี้ถูกจมลงในวัฏสงสารโดยสิ้นเชิง!
ดาบนี้…
ม่านตาของสุนัขพื้นเมืองหดตัว ร่างสะท้านถี่รัว กระเถิบเข้าหาปราชญ์หงอวิ๋นอย่างไม่รู้ตัว
“แย่แล้ว!”
สีหน้าของเฟิงจิ้งไห่แปรเปลี่ยนกะทันหัน
เปรี้ยง!!
ยี่สิบสี่ไข่มุกสะท้อนจันทร์รอบกายเขาพลันปั่นป่วน และโลงทองฝังวิญญาณในมือของเขาก็สะท้านสั่นรุนแรงตามไปติด ๆ
“เปิด!”
เฟิงจิ้งไห่คำราม
ทว่าการต่อต้านของเขาล้วนไร้หวัง ภายใต้การกดทับของภาวะดาบเวียนวัฏ สมบัติเซียนบนร่างของเขาสะเทือนไหวรุนแรง ไม่อาจเข้าประชันต้านอำนาจ ถูกสยบลงราบคาบ
เหตุเช่นนี้ก็บังเกิดแก่ลวี่ตงชิวและพรรคพวกเช่นกัน
“บ้าเอ๊ย!”
“ไฉนเป็นเช่นนี้ได้…”
พวกเขาล้วนตาเหลือกถลนหน้าซีดขาว
ไฉนอำนาจเพียงหนึ่งดาบจึงทรงพลังเช่นนี้?
ตู้ม!!!
ในสายตาทุกผู้จากไกล ๆ พวกเขาเห็นเพียงแดนวัฏสงสารคล้อยต่ำ และพวกเฟิงจิ้งไห่ทั้งสี่ซึ่งมิอาจหนีถูกสยบลงสิ้น
จากนั้น ร่างของสี่วิญญาณอาสัญวิถีเซียนก็แหลกสลายหายไป!
ยามหมอกควันคลี่คลาย ทั่วฟ้าดินก็เหลือเพียงกองสมบัติเซียนกระจัดกระจายทั่วแดน
หนึ่งดาบฟาดฟันทำลาย สังหารสี่วิญญาณอาสัญวิถีเซียน!!
ทุกผู้ล้วนเหงื่อกาฬแตกซิก ตะลึงค้างกับที่
ไกลออกไป เหล่าผู้ทรงอำนาจจากสำนักเซียนฝังวิญญาณซึ่งเตรียมเชิญเหล่าเซียนล้วนตะลึงสิ้นอาลัย
สุนัขพื้นเมืองอดกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากมิได้ หัวใจของมันสะเทือนสั่น
อำนาจในดาบนั้นทำให้มันรู้สึกถึงภัยคุกคามอย่างแรงกล้า!
หรือจะหมายความว่าหากเปลี่ยนให้ผู้รับดาบนี้เป็นเซียนแท้ขอบเขตสุญตาใด ๆ เขาก็ยังจะบาดเจ็บตายตกกันอยู่ดี?
ในที่สุดสุนัขพื้นเมืองก็ดูจะเข้าใจเจตนาของซูอี้อย่างคลุมเครือแล้ว
ดาบนี้ดูจะสามารถสังหารพวกเฟิงจิ้งไห่ได้ แต่ทว่าความจริงแล้ว จุดประสงค์สูงสุดคือบอกคนทุกผู้ว่าแม้วันนี้นายมันจะไม่มา แต่ซูอี้ก็ยังสามารถต่อสู้กับสามเซียนแท้ขอบเขตสุญตาเหล่านั้นได้!
เห็นได้ชัดว่าปราชญ์หงอวิ๋นเองก็ตระหนักเข้าใจ
ดวงตากระจ่างของนางกระเพื่อมคลื่น กล่าวขึ้นว่า “ดาบนี้เป็นภัยต่อเซียนแท้ได้ ไม่อาจพานพบได้ในขอบเขตของเจ้า เป็นหนึ่งเดียวทั่วโลกหล้า ไร้ผู้ใดในโลกเซียนเสมอเหมือน”
เซียนแท้ หาใช่วิญญาณอาสัญไม่!
การประเมินเช่นนี้จากปราชญ์หงอวิ๋นนับได้ว่าเป็นคำชมอย่างสูงส่ง
ทว่าซูอี้กลับส่ายหน้ากล่าว “เทียบกับสหายเต๋าแล้ว ท้ายที่สุดก็ยังห่างไกลเกินเทียบชั้น”
สุนัขพื้นเมืองอยากจะกลอกตา
เจ้าเพิ่งก้าวสู่วิถีจุติสรวง แต่คิดเทียบชั้นนายข้าแล้วหรือ?
ความถ่อมตัวอยู่หนใด นี่มันทะเยอทะยานยิ่งชัด ๆ!
ปราชญ์หงอวิ๋นครุ่นคิดและกล่าวอย่างจริงจัง “ยามข้าอยู่ในขอบเขตเดียวกัน ข้าอ่อนด้อยกว่าสหายเต๋ามากนัก และภายหน้า ความสำเร็จมหาวิถีของสหายเต๋าย่อมเลิศล้ำกว่าข้าห่างไกล”
ซูอี้ผงะไป และกล่าวว่า “สหายเต๋าคิดว่าจิตแข่งขันของข้าหนักหนาเกินไปหรือไม่?”
ปราชญ์หงอวิ๋นกล่าวว่า “นักดาบก็เป็นเช่นนี้! และสหายเต๋าก็สูงล้ำจนมิอาจเทียบได้กับนักดาบอื่นใดในหล้า”
นางรู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ
กล่าวคือ นางเป็นฝ่ายก้าวเข้ามาช่วยเหลือเอง ใครเล่าจะมิปีติปรีดา?
ทว่าซูอี้ไม่ใช่เช่นนั้น
เขากระทั่งขัดขืนปฏิเสธจะยืมพลังพึ่งบารมีนางเล็กน้อยด้วยซ้ำ!
และยิ่งเป็นเช่นนั้น ปราชญ์หงอวิ๋นยิ่งประทับใจ
ในโลกนี้มีตัวตนไม่มากนักที่มองหาผู้หนุนหลัง พึ่งนารีพิทักษ์
แต่ยามเผชิญหายนะชี้เป็นตายอันไม่อาจแก้ไขได้อย่างจริงแท้ ก็จะเข้าใจลึกซึ้งเองว่าการอาศัยบารมีผู้อื่นเป็นเช่นไร
ซูอี้คิดชั่วขณะ ก่อนจะกล่าวยิ้ม ๆ “ข้ามิได้มิเต็มใจให้ช่วย เพียงแค่มิอยากรบกวนผู้อื่นโดยไม่จำเป็นเท่านั้น”
ปราชญ์หงอวิ๋นเสสรวลกล่าว “ข้าก็แค่เสริมบารมี หาได้ส่งถ่านยามหิมะตกไม่”
สุนัขพื้นเมืองฟังด้วยสีหน้าเหม็นเบื่อ
นายมันคงประเมินไอ้เด็กนั่นสูงไปกระมัง?
ซูอี้ ไอ้เด็กนี่ก็พอกัน หารู้จักมีความถ่อมตนไม่!
“แล้วผู้อื่นเล่า ทำเช่นไรต่อ?”
ปราชญ์หงอวิ๋นเอ่ยถาม
ทันทีที่วาจาถูกกล่าว เหล่ายอดฝีมือจากขุมกำลังปรปักษ์ล้วนหัวใจบีบแน่น
ซูอี้ส่ายหน้า “ไม่จำเป็นต้องสนใจ”
ตัดรากถอนโคน?
ไม่เลย พวกเขาก็แค่ไร้คุณสมบัติ
คาดการณ์ได้เลยว่าจากนี้ไป ขุมกำลังใหญ่อันเป็นปรปักษ์เหล่านี้จะล่มสลาย หากไม่ถูกยึดครองก็สลายตัว
ยามเซียนเหล่านั้นตายตก ผลลัพธ์ก็ถูกกำหนดแล้ว
กล่าวจบ ซูอี้ก็กล่าวกับสุนัขพื้นเมือง “ช่วยเก็บสินสงครามทีสิ”
สุนัขพื้นเมือง “???”
ไอ้หนูนี่ชักจะเหิมเกริมไปใหญ่แล้ว กล้าเรียกใช้มันตามอำเภอใจเสียด้วย!!
“ไปสิ”
ปราชญ์หงอวิ๋นหันมาสั่ง
สุนัขพื้นเมืองพลันฉีกยิ้มกล่าว “ขอรับ!”
มันเริ่มขยับลงมือ
“ไปหาที่ดื่มกันเถอะ ข้ามีบางอย่างจะคุยกับสหายเต๋าหน่อย”
ปราชญ์หงอวิ๋นเชื้อเชิญ
“ได้สิ!”
ซูอี้รับคำ
และทั้งสองก็เดินจากไปไกล หายลับไปด้วยกันอย่างรวดเร็ว
“หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้านายข้า ข้าผู้นี้คงมิต้องมากระทำเรื่องยิบย่อยเช่นนี้แน่!”
สุนัขพื้นเมืองหดหู่ใจ
สายตาของมันเหลือบไปเห็นม่อซิงหลิน และกล่าวขึ้นทันที “เจ้าตรงนั้นน่ะ ช่วยเก็บสินสงครามที”
ม่อซิงหลินก้าวเข้ามากล่าวอย่างปรีดา “เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับใช้ใต้เท้าซิงเชวียขอรับ!”
หัวใจของสุนัขพื้นเมืองพลันรู้สึกแสนสบาย มันแค่นเสียงอย่างเย็นชา “นี่ไม่ใช่ช่วยข้าหรอก แต่ช่วยเจ้าคนแซ่ซูนั่นต่างหาก!”
ม่อซิงหลินกล่าวยิ้ม ๆ “เท่าที่คนแซ่ม่อผู้นี้รู้ ผู้อาวุโสให้ผู้น้อยช่วย ซึ่งเทียบได้กับไม่ถือผู้น้อยเป็นคนนอก จะกล่าวว่าปรีดาคงน้อยไป มีหรือต้องสนว่าช่วยผู้ใดขอรับ?”
หัวใจของสุนัขพื้นเมืองสุขสบายขึ้นทุกครา และต้องบอกว่าเจ้าหนูเฒ่านี่… อยู่เป็นดีแท้!
ไม่เหมือนเจ้าซูอี้นั่น นับแต่รู้จักจวบจนยามนี้ก็มิเคยให้เกียรติมันเลยสักนิด!
……
นอกเขตหวงห้ามเซียนละล่อง
เมืองอันคลาคล่ำด้วยผู้คนเมืองหนึ่ง
เที่ยงวันในโรงเตี๊ยมอันเจี๊ยวจ๊าว ข้างหน้าต่างชั้นสอง
ซูอี้และปราชญ์หงอวิ๋นนั่งตรงข้าม ร่ำสุราแก่กัน
มีสำรับอาหารอันประณีตงดงามวางบนโต๊ะ นอกหน้าต่างเป็นถนนที่เต็มไปด้วยผู้คนคับคั่ง
“ข้าชอบเดินท่ามกลางปุถุชน ทัศนาสรรพชีวิต ดื่มด่ำอาหารเลิศรสในโลกหล้า แล้วใจของข้าก็จะสงบนิ่งขึ้น”
ปราชญ์หงอวิ๋นมองออกไปนอกหน้าต่างและกล่าวว่า “ไม่ต้องฝึกฝนน่าเบื่อ ไร้การต่อสู้นองเลือด มีเพียงแก่นแท้แห่งชีวิตท่ามกลางความสามัญ”
ซูอี้ดื่มสุราหนึ่งจอกและกล่าวว่า “นี่คงเป็นความต่างระหว่างการกำเนิดและการเจนโลก”
กำเนิดขึ้นฝึกฝน แสวงหาวิถี สยบทั่วแดนสวรรค์
การเจนโลกคือการขัดเกลาจิตใจ พินิจทัศนาแดนดินนับพัน สัญจรท่ามกลางโลกีย์ ตกตะกอนเป็นหัวใจวิถีอันแท้จริง
“ไม่หรอก ยังแตกต่างกันอยู่”
ปราชญ์หงอวิ๋นกล่าวอย่างจริงจัง “ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะมีวิถีเต๋าสูงล้ำเพียงไร แรกเริ่มเราทั้งหลายก็คือหนึ่งในปุถุชนเหล่านี้ และเราทั้งหลายล้วนเป็นคนธรรมดายามเริ่มวิถีฝึกฝน”
“นี่คือรากเหง้าดั้งเดิมของเรา”
ซูอี้นิ่งไป ครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะพบว่าจริงเช่นนั้น
ปราชญ์หงอวิ๋นกล่าวต่อ “แม้ในโลกเซียน พวกเขาทั้งหมดก็ใช่จะเป็นผู้ฝึกตน ยังมีปุถุชนมากมายที่ปะปนในโลกโลกีย์”
“กล่าวให้กระชับก็คือ ท้ายที่สุดวิถีเซียนก็เป็นเพียงวิถีหนึ่ง”
“และโลกเซียนที่ว่านั่นก็เป็นแค่โลกภูมิอันมีกฎสวรรค์สูงส่งกว่าเท่านั้น”
กล่าวจบ ปราชญ์หงอวิ๋นก็ดื่มสุราอีกจอก กล่าวว่า “สำหรับผู้ฝึกตนเช่นเรา ยามประสบเหตุพลิกผันในโลกหล้ามากมาย คุ้นชินกับหายนะเป็นตายนับไม่ถ้วน สิ่งที่จะสึกกร่อนไปง่ายที่สุดก็มักจะเป็นความเป็นมนุษย์ของเราเอง”
“ยามนี้ เจ้าและข้านั่งดื่มเฮฮาในโลกโลกีย์ ทว่าเราสองล้วนรู้ดีว่าตนแตกต่างจากพวกเขา”
ซูอี้เห็นได้ว่าปราชญ์หงอวิ๋นดูจะประทับใจกับภาพที่เห็น และดูจะมีความรู้สึกหลากหลายต่อโลกโลกีย์นี้อย่างบอกไม่ถูก
นางผู้สงบเสงี่ยมสงวนวาจาเสมอมากระทั่งพูดเยอะขึ้น
“ยิ่งข้าฝึกฝนสูงส่ง ข้ายิ่งยึดติดกับโลกนี้ ต่อให้ไปดื่มฉลองที่งานเลี้ยงลูกท้อในโลกเซียนก็ยังไม่น่าอภิรมย์เท่านั่งในโรงเตี๊ยมเล็ก ๆ ดื่มสุราขุ่น ๆ สองสามจอกกับสหายที่ข้าคุยด้วยได้”
ปราชญ์หงอวิ๋นและซูอี้สนทนาขณะกินดื่ม
ดุจสหายเต๋าเสวนา มิหยุดนิ่งที่ประเด็นใด
เนิ่นนานจากนั้น ปราชญ์หงอวิ๋นจึงพูดขึ้นกะทันหัน “วันนี้ในเขตหวงห้ามเซียนละล่อง มีเจ้าแก่บางคนลอบมองศึกอยู่เงียบ ๆ พวกนั้นเป็นผู้ยิ่งใหญ่บางคนจากวิถีเซียน แต่ยามนี้พวกเขาล้วนเหลือสภาพเพียงวิญญาณอาสัญ คนก็มิใช่ ผีก็มิเชิง”
“พวกเขาก็เหมือนข้า เดิมทีหนีหายนะมาจากโลกเซียน”
“และวันนี้ แม้พวกเขาจะลืมตาตื่นออกมาได้ วิถีเต๋าของพวกเขาก็ลดต่ำลงกว่ากาลก่อนมาก อย่างมากก็แข็งแกร่งกว่าสามวิญญาณอาสัญเซียนแท้ขอบเขตสุญตาที่ข้าฆ่าไปวันนี้เท่านั้นแหละ”
“คงเทียบได้ประมาณ… เซียนแท้ในขอบเขตสุญตาขั้นต้นกระมัง”
ซูอี้หรี่ตาลง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตัวตนทรงอำนาจในวิถีเซียนที่ว่า แม้จะเป็นวิญญาณอาสัญ แต่ก็เทียบได้กับเซียนแท้ขอบเขตสุญตาขั้นต้นที่มีชีวิตอยู่!
จากการสนทนา ซูอี้หาได้รับรู้สิ่งใดไม่
วิถีเซียนนั้นแบ่งออกเป็นสี่ขอบเขต ขอบเขตจักรวาล ขอบเขตสุญตา ขอบเขตศักดิ์สิทธิ์ และขอบเขตอัศจรรย์
ขอบเขตจักรวาลคือขอบเขตแรกของวิถีเซียน
เมื่อก้าวสู่ขอบเขตนี้ ก็จะเป็น ‘เซียนสวรรค์’ หรือ ‘เซียน’ ในสายตาโลกหล้า
ทุกวันนี้ วิญญาณอาสัญวิถีเซียนซึ่งตื่นจากนิทราส่วนใหญ่ล้วนมาจากขอบเขตจักรวาลทั้งสิ้น
ขอบเขตสุญตาคือขอบเขตที่สองในวิถีเซียน
มีเพียงผู้ที่ก้าวสู่ขอบเขตนี้ได้เท่านั้นที่มีคุณสมบัติจะเรียกได้ว่า ‘เซียนแท้’
ขอบเขตศักดิ์สิทธิ์เป็นขอบเขตที่สามในวิถีเซียน และผู้ที่ก้าวสู่ขอบเขตนี้ถูกถือเป็นราชันเซียน! เป็นตัวตนทรงพลังเพียงพอจะถูกยกย่องในโลกเซียน
ขอบเขตอัศจรรย์เป็นขอบเขตที่สี่ของวิถีเซียน และผู้ที่มาถึงขอบเขตนี้จะถูกเรียกเป็นมหาเซียน!
นั่นนับเป็นตัวตนยิ่งใหญ่ในโลกเซียน แต่ละผู้ล้วนมีอำนาจเซียนกล้าแกร่งเป็นตำนาน!
กล่าวกันว่าเหนือขอบเขตอัศจรรย์ยังมีขอบเขตที่สูงกว่าอยู่ มีนามว่าขอบเขตมหาศาล แบ่งออกเป็นสามระดับย่อย
เรียกว่า ‘ขอบเขตมหาศาลสามระดับ’!
ขอบเขตนี้เป็นดั่งตำนานสำหรับตัวตนส่วนใหญ่ในวิถีเซียน!
และเหล่า ‘เจ้าแก่’ ที่ปราชญ์หงอวิ๋นว่าก็ล้วนเป็นตัวตนสูงสุดในหมู่เซียนแท้ขอบเขตสุญตา!
เพียงแค่ว่าจำนวนนั้นมีน้อยนิดอย่างยิ่ง
เพราะตัวตนเช่นนั้นต้องสะกดอำนาจตนไว้ยามปรากฏสู่โลกหล้า หาไม่จะไม่อาจเข้าสู่โลกหล้าได้เลย
เหมือนเช่นหากมังกรศักดิ์สิทธิ์ตัวมโหฬารคิดออกจากทะเลเข้าสู่ลำธาร มันก็ต้องทิ้งอำนาจยิ่งใหญ่ในร่าง แปรเปลี่ยนเป็นมังกรคะนองน้ำตัวจ้อย
เจ้าแก่เหล่านั้นสะกดอำนาจตนเองเข้าสู่โลกหล้า เนื่องจากการฝึกฝนสูงส่งเหนือใคร พวกเขาจึงถูกหายนะเล่นงานหนักหน่วงที่สุด ร่างวิถีและจิตวิญญาณแทบแหลกสลายสิ้นสูญ
ดังนั้น แม้พวกเขาจะตื่นขึ้นในร่างวิญญาณอาสัญ ณ ยามนี้ ก็ยังอ่อนด้อยเกินเทียบได้กับยามมีชีวิต
ส่วนราชันย์เซียนในขอบเขตศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไปนั้น เว้นแต่จะใช้เคล็ดวิชาอันร้ายกาจเยี่ยงสวรรค์ห้าม จ่ายค่าตอบแทนอันหนักหนาเหนือใคร พวกเขาจะมิอาจปรากฏตัวในโลกหล้านี้ได้เลย
อันที่จริงแล้ว ราชันย์เซียนในขอบเขตศักดิ์สิทธิ์นั้นมีอำนาจยิ่งใหญ่ และหากไร้เหตุผลพิเศษ พวกเขาจะมิเลือกปรากฏสู่โลกหล้ามาพัวพันกับปัญหาใด
แต่ถึงเช่นนั้น เมื่อได้รู้เรื่องราววงในนี้ก็ทำให้ซูอี้ตกใจได้เช่นกัน
เพราะถึงอย่างไร พวกเขาก็สะกดอำนาจก่อนจะตายตกในหายนะสิ้นกฎเกณฑ์ไปแล้ว ทว่าเซียนแท้ขอบเขตสุญตาเหล่านั้นก็ยังมีอำนาจเทียบเท่าขอบเขตสุญตาขั้นต้นได้อยู่ดี!
นี่แสดงให้เห็นโดยขั้นต้นไม่ต้องสงสัยว่าเจ้าเฒ่าเหล่านี้ยามมีชีวิตเป็นตัวตนร้ายกาจเพียงไร
ปราชญ์หงอวิ๋นกล่าวเบา ๆ “ต่อให้ตัวตนระดับนี้ก่อกำเนิด ก็ไม่มีทางอยู่ในโลกหล้าได้นานหรอก พวกเขาต้องหาทางรอดชีวิตโดยไวที่สุด หาไม่ก็จะสลายตายไปอย่างรวดเร็ว”
ซูอี้ตะลึงงัน และกล่าวว่า “ไฉนเจ้าจึงพูดเช่นนี้?”
“การฝึกฝนสูงเกินไปน่ะ”
ปราชญ์หงอวิ๋นกล่าวว่า “ต่อให้สิ้นร่างวิถี เหลือเพียงวิญญาณอาสัญ หากพวกเขาอยากรักษาการฝึกฝนมิให้มอดมลายก็ต้องใช้ความแข็งแกร่งให้เพียงพอ”
“แต่ในโลกนี้ มีหรือจะมีทรัพยากรเพียงพอสนองความต้องการฝึกฝนของพวกเขา?”
ซูอี้เข้าใจแล้ว
ท้ายที่สุด ทรัพยากรฝึกฝนในโลกหล้าก็ห่างไกลเกินสนองความต้องการฝึกฝนของเหล่าเซียนแท้ขอบเขตสุญตาได้
และเจ้าเฒ่าผู้กลายเป็นวิญญาณอาสัญเหล่านั้น หากต้องการรักษาการฝึกฝนไว้ พวกเขาก็ต้องมีทรัพยากรฝึกตนเพียงพอ
หาไม่ การฝึกฝนของพวกเขาจะร่วงดิ่งเหว ค่อย ๆ อ่อนแรงตายไปเอง!
“แม้ข้าจะมีระดับฝึกฝนแตกต่างจากพวกเขา ข้าก็เผชิญปัญหานี้ไม่ต่างกัน”
ปราชญ์หงอวิ๋นกล่าวเบา ๆ “เมื่อกาลผ่าน หากมิอาจหาอำนาจใดมาสนองการฝึกฝนของตนได้ เพียงอยู่เฉย ๆ ไม่ต้องทำอันใด ระดับฝึกฝนของเราก็ตกลดระดับอย่างต่อเนื่องจนค่อย ๆ ดับสิ้นไปเอง”
กล่าวจบ นางก็รำพึงเบา ๆ “หายนะประดังเข้า ยิ่งยืนสูงสิ่งเสียหายหนักหน่วง เทียบกันแล้ว ตัวตนในขอบเขตต่ำกว่านั้นช่างโชคดี อย่างน้อย… ก็มิต้องเผชิญปัญหานี้”
ม่านตาของซูอี้หดตัวเล็กน้อย กล่าวอย่างครุ่นคิด “สหายเต๋าเชิญข้าไปยังเขตหวงห้ามดาราหยกเมื่อกาลก่อน หรือจะเพื่อคลี่คลายปัญหานี้?”
ปราชญ์หงอวิ๋นพยักหน้ากล่าวตอบ “ถูกต้อง ไม่เพียงข้าไป แต่เจ้าแก่พวกนั้นก็จะไปเช่นกัน”
นางนิ่งไปสักพักและกล่าวว่า “อันที่จริง นับแต่ยุคสิ้นกฎเกณฑ์ก็มีผู้แข็งแกร่งในวิถีเซียนมากมายไปยังเขตหวงห้ามดาราหยก ต่อสู้ค้นหาอยู่ในนั้น ถือมันเป็นทางเดียวที่จะรอดจากหายนะ”
“น่าเสียดาย… ก่อนที่พวกเขาจะหาทางรอดนั้นเจอก็ต้องตายไปกับหายนะกันเสียก่อน”
“ทว่ายามนี้แตกต่างออกไปแล้ว หายนะสูญสลาย และแม้เขตหวงห้ามดาราหยกจะอันตราย แต่สำหรับข้า ข้าก็แค่ต้องเตรียมตัวหาทางรอดนั้นเพื่อแก้ปัญหาให้ตนเอง”
กล่าวถึงตรงนี้ ปราชญ์หงอวิ๋นก็เบนสายตามามองซูอี้ “และเรื่องนี้ต้องให้สหายเต๋าเข้ามาช่วย”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “ข้ารับปากเจ้าแล้ว และจะมิตระบัดสัตย์”
ปราชญ์หงอวิ๋นส่ายหน้ากล่าว “เดิมข้าคำนวณไว้ว่าต้องรออีกสามเดือน ก่อนจะถึงโอกาสอันดีต่อการไปยังเขตหวงห้ามดาราหยก”
“ทว่ายามนี้แตกต่างออกไป การพลิกผันอย่างมหันต์ของฟ้าดินทวีคูณ มีตัวแปรมากมายเกินคาดหมายของข้า ข้าจึงต้องลงมือก่อนเวลา”
ซูอี้เลิกคิ้ว “แล้วอีกนานเพียงไรหรือ?”
ปราชญ์หงอวิ๋นคิดสักพักและกล่าวว่า “เร็วสุดครึ่งเดือน และช้าสุดต้องกระทำในหนึ่งเดือน”
ซูอี้ครุ่นคิดสักพัก และกล่าวว่า “งั้นอีกครึ่งเดือนไปกัน”
ปราชญ์หงอวิ๋นกล่าวยิ้ม ๆ “ได้ เมื่อถึงกาล ข้าจะไปรับเจ้าที่เขาจันทร์กระจ่างด้วยตนเอง”
……
ปราชญ์หงอวิ๋นส่ายหน้ากล่าว “เดิมข้าคำนวณไว้ว่าต้องรออีกสามเดือน ก่อนจะถึงโอกาสอันดีต่อการไปยังเขตหวงห้ามดาราหยก”
“ทว่ายามนี้แตกต่างออกไป การพลิกผันอย่างมหันต์ของฟ้าดินทวีคูณ มีตัวแปรมากมายเกินคาดหมายของข้า ข้าจึงต้องลงมือก่อนเวลา”
ซูอี้เลิกคิ้ว “แล้วอีกนานเพียงไรหรือ?”
ปราชญ์หงอวิ๋นคิดสักพักและกล่าวว่า “เร็วสุดครึ่งเดือน และช้าสุดต้องกระทำในหนึ่งเดือน”
ซูอี้ครุ่นคิดสักพัก และกล่าวว่า “งั้นอีกครึ่งเดือนไปกัน”
ปราชญ์หงอวิ๋นกล่าวยิ้ม ๆ “ได้ เมื่อถึงกาล ข้าจะไปรับเจ้าที่เขาจันทร์กระจ่างด้วยตนเอง”
……
วันเดียวกันนั้น ซูอี้ลำพังและหนึ่งดาบฟาดฟันสังหารวิญญาณอาสัญวิถีเซียนสามสิบหกตน
และคว้าชัยชนะครั้งใหญ่!
เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป ทั่วโลกหล้าก็ปั่นป่วนอย่างมิเคยเกิด ทั่วจักรวาลพร่างดาวตะลึงผงะหงาย
ทัศนาจารย์ฟาดฟันสังหารเซียนในแดนมนุษย์!
เรื่องนี้ยากจินตนาการออก ทว่ายามนี้มันเกิดขึ้นแล้วจริง ๆ
ยิ่งกว่านั้น ทัศนาจารย์ยังประหารเซียนสามสิบหกตนในรวดเดียว!
เกียรติประวัติเช่นนี้ ตลอดกาลนานมาทั่วโลกหล้า ผู้ใดเล่าจะเทียบได้?
……
วัดสรรพสุญตา
หลังซูอี้กลับมาพร้อมสุนัขพื้นเมืองและม่อซิงหลิน เขาก็เริ่มเก็บตัวฝึกฝน
ก่อนมุ่งหน้าไปยังเขตหวงห้ามดาราหยก เขายังมีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งต้องทำ
นั่นคือหลอมรวมกรรมวิถีกับชาติที่หก!