บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1432: ทรราชหวังเย่!
ตอนที่ 1432: ทรราชหวังเย่!
ภายในห้องพำนัก
เตาเสริมสวรรค์กู่คำราม แสงเซียนสีม่วงเคลื่อนทะลักเยี่ยงน้ำตก หล่อหลอมสินสงครามจากศึกมหานทีประกายหยก
ผลพลอยได้หนนี้เหนือความคาดคิด!
แม้จะมีจำนวนไม่มากนัก แต่ไม่ว่าจะเป็นวัตถุวิญญาณ โอสถทิพย์หรืออาวุธวิเศษ ล้วนเป็นสมบัติเซียน
และมีเป็นร้อย ๆ ชิ้น!
สิ่งนี้ทำให้เตาเสริมสวรรค์ขันแข็งกระตือรือร้น
ด้านข้างกันนั้น ซูอี้นั่งขัดสมาธิเงียบ ๆ
ในห้วงความนึกคิด
เมื่อเห็นร่างเจตจำนงของซูอี้ปรากฏขึ้น ชาติที่หกก็ดูจะคาดการณ์ไว้แล้วว่าจะเกิดสิ่งใด
น้ำเสียงของเขาเฉยชาทว่าเคร่งขรึม “เจ้ามีความปรารถนาที่ยังไม่บรรลุหรือไม่ ว่ามา และภายหน้าข้าจะช่วยเจ้าสะสางให้”
ซูอี้ “…”
มิใช่ว่านี่มันบทพูดของเขาหรือ?
“แน่นอน ต่อให้เจ้าไม่พูด ยามข้าแทนวิญญาณเจ้า ข้าก็จะทำบุญช่วยสะบั้นทุกผลกรรมในร่างเจ้าให้อยู่ดี”
ชาติที่หกดูจะแตกต่างออกไป เขาดูพูดมากขึ้น เหมือนกับ… ยังคงตื่นเต้นเฝ้ารอคอย!
ซูอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “ภายหน้า ข้าจะสืบทอดความทรงจำ ประสบการณ์และการฝึกฝนวิถีเต๋า รวมไปถึงทุกสิ่งที่เจ้าเคยประสบ ถือได้ว่าข้าก็คือเจ้าในบางแง่มุม ทว่า…”
ซูอี้ยิ้มน้อย ๆ “ข้าจะเป็นอดีตชาติใดก็ได้ แต่ไม่ว่าอดีตชาติใด… ก็ไม่อาจแทนที่ข้า!”
“รวมถึงชาติแรกเช่นกัน!”
กล่าวจบ เขาก็ยกมือขึ้นทันที
ตู้ม!
ดาบเก้าคุมขังสะเทือนสั่น
ตรวนเส้นที่หกส่งเสียงเคร้งคร้าง จากนั้นก็แตกออกทีละน้อย แปรเปลี่ยนเป็นพิรุณแสงแห่งอำนาจถาโถมเข้าใส่ซูอี้
ในพริบตา ซูอี้ดูจะได้ตกสู่ภวังค์ฝันอันยาวนาน
ในความฝันนั้น เขาเปลี่ยนเป็นชายผู้หนึ่งที่มีนามหวังเย่ ดำเนินชีวิตเสมือนตราบแรกจวบอวสาน
ช่างประหลาด แต่ก็สมจริง
สิ่งที่เห็น สัมผัส รับรู้… ทั้งหมดล้วนเป็นส่วนหนึ่งของตนเอง
…
“นี่เป็นลิ่วล้อน้อยจากพรรคมารนะ! ไฉนจึงมิฆ่าเขาเล่า?”
“พ่อของลิ่วล้อน้อยนี่มาจากเผ่ามารปฐมสวรรค์ตัวจริง! เขาเคยฆ่าล้างพี่น้องเราอย่างเหี้ยมโหดมานับหมื่น หานับรวมเผ่ากับเราได้ไม่ สมควรตายนัก!”
“ฆ่าเขา!”
…สารพัดเสียงคำรามก่นด่ามิขาดสาย
หวังเย่วัยเจ็ดปีถูกขังในกรง สภาพสะบักสะบอม บอบช้ำเปี่ยมด้วยบาดแผล ใบหน้าน้อยซีดเซียวไร้สี
ในสายตาของเขา เซียนนับไม่ถ้วนซึ่งมีสีหน้าโกรธเคืองบิดเบี้ยวแสนกระเหี้ยนกระหือรือ แทบรอขยี้ศพป่นกระดูกเขาแหลกลาญมิไหว
เขารู้สึกกลัวและกังวลอย่างไม่อาจบรรยาย
ตู้ม!
ชายวัยกลางคนในชุดนักรบผู้หนึ่งชักมีดศึกย่างสามขุมเข้ามา
ดวงตาของเขาเย็นชาเปี่ยมความคลั่งแค้น มีดศึกสั่นสะท้านราวตื่นเต้นอยากดื่มเลือด
ยามนั้น หวังเย่แทบสิ้นลม คิดว่าตนคงถูกชายวัยกลางคนในชุดนักรบผู้นี้เข่นฆ่าเยี่ยงเดรัจฉานเสียแล้ว
และยามนั้นเองที่หนึ่งร่างผอมบางขวางกรงที่ขังหวังเย่ไว้
“แม่ของเขาหวังเสวียนซู่อยู่กับเราในด่านสวรรค์ชั้นหกมาสามพันเก้าร้อยปี สังหารมารปีศาจมาเป็นหมื่นแสน ช่วยชีวิตทหารกล้าชาวเราจากสนามรบมานับไม่ถ้วน!”
ร่างนั้นกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “นางสร้างผลงานยิ่งใหญ่มากมายให้กับ ‘ทวีปเซียนธารอุดร’ ของเรา แล้วเจ้ามีสิทธิ์อันใดมาฆ่าบุตรของนาง?”
เมื่อเสียงนั้นปรามาส คำด่าทอเคียดแค้นก็จางหาย
ผู้คนล้วนเงียบวจี
ทันใดนั้น ชายวัยกลางคนในชุดนักรบก็ตะโกนขึ้น “หัวหน้า พ่อเขาเป็นเผ่ามารปฐมสวรรค์ตัวจริงเลยนะ! เขามีเลือดชั่วนั่นไหลเวียนในกาย! หากไว้ชีวิตเขา เราก็เท่ากับเลี้ยงเสือ!”
เพียะ!
ร่างผอมนั้นตบหน้าชายวัยกลางคนในชุดนักรบ “เขาเป็นลูกของน้องสาวเจ้า! เลือดของน้องสาวเจ้าก็ไหลเวียนในร่างเขาเช่นกัน! และเจ้า… ก็เป็นลุงของเขานะ!!”
ชายวัยกลางคนในชุดนักรบก้มหัวลง ดวงตาแดงก่ำ
ร่างผอมกวาดสายตามองไปรอบ ๆ และกล่าวว่า “เมื่อเจ็ดปีก่อน หวังเสวียนซู่ฆ่าศัตรูละเลงเลือดในสมรภูมิ โชคร้ายที่ถูกจับตัวตกสู่มืออริ และกระทั่งถูกล่วงเกินกระทำการผิดผี นี่คือเหตุที่นางมีเด็กคนนี้!”
“หวังเสวียนซู่ทนรับภาระ ถูกเหยียดหยามมาเจ็ดปี ก่อนจะต่อสู้จนลมหายใจสุดท้ายกว่าจะส่งเด็กคนนี้กลับมาได้ และก่อนนางตาย คำขอเดียวของนางก็คือขอเด็กคนนี้เติบโตโดยสวัสดิภาพ เจ้า… ไยจึงไม่ไว้ชีวิตให้ทางรอดเด็กคนนี้กัน?”
ทั่วบริเวณเงียบกริบ ทุกผู้ล้วนไร้วาจาเนิ่นนาน
ร่างผอมนั้นหันกลับมา ยกมือขึ้นพังกรง
เขากล่าวกับหวังเย่ซึ่งขณะนั้นมีอายุเพียงเจ็ดปี “เจ้าหนู ข้าให้โอกาสเจ้าเลือก”
“หนึ่งคืออยู่ในด่านสวรรค์ชั้นหก ข้าจะสอนเจ้าฝึกฝน ยามเติบโตเจ้าก็ช่วยล้างแค้น ฆ่ามารปีศาจเหล่านั้นให้แม่เจ้า พิสูจน์ต่อทุกผู้ว่าเจ้า… ไม่ใช่ทายาทมาร แต่เป็นบุตรของนักรบจากด่านสวรรค์ชั้นหกแห่งทวีปเซียนธารอุดรหวังเสวียนซู่!”
“สองคือข้าจะทำลายแก่นกระดูกและฝีมือ ล้างความทรงจำของเจ้า และส่งเจ้าออกไป จากนี้เจ้าก็เป็นคนธรรมดา ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ซึ่งก็เป็นไปตามความปรารถนาสุดท้ายของแม่เจ้า”
“ยามนี้เจ้ามีโอกาสแล้ว”
ทันทีที่ร่างผอมกล่าวจบ หวังเย่ก็กล่าวโดยมิต้องคิด “ข้าอยากล้างแค้นให้แม่ข้า!!”
ชายร่างผอมเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะอุ้มหวังเย่ซึ่งนั่งนิ่งขึ้นมา “เด็กดี!”
จากวันนั้นมา หวังเย่ก็อยู่ในด่านสวรรค์ชั้นหก
ในที่สุด เขาก็ได้รู้ว่าร่างผอมนั้นมีนามว่าหลี่หนานตู้ เป็นผู้พิทักษ์ในด่านสวรรค์ชั้นหก!
และยังเป็นผู้มีอิทธิพลสูงสุดในชีวิตของเขาด้วย!
ส่วนชายวัยกลางคนในชุดนักรบซึ่งชักมีดออกมาฆ่าเขานั้นคือลุงของเขา หวังเสวียนถิง
หวังเย่ผู้อาศัยในด่านสวรรค์ชั้นหกเผยศักยภาพชวนตะลึง โดยเฉพาะวิถีดาบของเขาซึ่งร้ายกาจเกินใดเปรียบ
ยามอายุสิบเจ็ด เขาก็กลายเป็นชนรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งในด่านสวรรค์ชั้นหก และหลังจากผ่านศึกน้อยใหญ่มาหลายพันหน จำนวนหัวมารปีศาจที่เขาสะบั้นก็ก่อเป็นเจดีย์สูงพันจั้งได้!
เมื่ออายุยี่สิบสาม เขาก็กลายมาเป็นนักรบขั้นเก้าแห่งด่านสวรรค์ชั้นหก สังหารทัพมารด้วยตัวคนเดียวและหนึ่งดาบได้
ความแข็งแกร่งและการกระทำของเขาเป็นที่ยอมรับของผู้แข็งแกร่งทั้งหมดในด่านสวรรค์ชั้นหก
พวกเขา รวมถึงลุงของเขาหวังเสวียนถิงล้วนภาคภูมิใจในตัวเขา
ผู้พิทักษ์หลี่หนานตู้กระทั่งถือเขาเป็นผู้สืบทอด กล่าวว่าภายหน้าเมื่อมีหวังเย่อยู่ ด่านสวรรค์ชั้นหกจะมิพังทลาย!
…
ยามอายุสี่สิบเจ็ด หวังเย่ก็ไล่สังหารรุกเข้าสู่ค่ายศัตรู กรำศึกละเลงเลือดสามสิบวัน ผ่านประสบการณ์อันตรายเฉียดสิ้นชีพหลายต่อหลายหน ก่อนจะกลับมาพร้อมศีรษะเปรอะเลือดนับพัน
ทว่าสิ่งที่รอเขาอยู่นั้นสะเทือนจิตราวแดนดินสิ้นสลาย
ด่านสวรรค์ชั้นหกแตกพ่าย!
หัวของผู้พิทักษ์หลี่หนานตู้แขวนอยู่เหนือประตูเมือง
ลุงของเขาหวังเสวียนถิงถูกแล่เนื้อเถือหนัง ถูกประหารด้วยพันมีดเฉือน
เหล่าสหายร่วมรบผู้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่เขาเหล่านั้นล้วนเหลือเพียงโครงกระดูก
และฆาตกรก็คือบิดาแท้ ๆ ผู้ทรงอำนาจจากฝ่ายมาร!
หวังเย่ไม่มีวันลืมวันนั้นลง
ยามเห็นศีรษะของหลี่หนานตู้แขวนเหนือประตูเมืองโอนเอนแกว่งไกวไปกับสายลม
ยามเห็นร่างของผู้เป็นลุงกระจัดกระจายเป็นเศษเลือดเนื้อทั่วแดนดิน
ยามเห็นเลือดและซากศพเกลื่อนทั้งนอกและในด่านสวรรค์ชั้นหก
ตัวเขาเป็นบ้าสิ้นสติ!
วันนั้น บิดาเขาเดินลงจากกำแพงด่านสวรรค์ชั้นหกซึ่งสูงที่สุด จ้องตาเขาตรง ๆ และกล่าวปรามาสอย่างไร้อารมณ์
“แม่เจ้าเป็นหญิงแพศยา และเจ้าเองก็เป็นบุตรไร้ยางอาย!”
บิดาเขายังกล่าวด้วยว่า “ยามนี้ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า ข้าอยากให้เจ้าเห็นนักว่าโลกหล้านี้จะปฏิบัติต่อเจ้าเช่นไรในภายหน้า!”
“หากทนไม่ไหว มาคุกเข่าสำนึกผิดตรงหน้าข้า แล้วข้าจะให้ที่พึ่งพิงเจ้า!”
หลังจากกล่าววาจาเหยียดหยามดูแคลนเหล่านี้เสร็จ เขาก็นำทัพมารจากไป
วันนั้น หวังเย่คุกเข่าลงเผชิญด่านสวรรค์ชั้นหก หลั่งน้ำตาโลหิตสองสาย
จากนั้นมา เขาก็มิหลั่งน้ำตาให้ผู้ใดอีก
และหลังจากด่านสวรรค์ชั้นหกล่มสลาย หวังเย่ผู้รอดชีวิตลำพังก็ถูกผู้คนในทวีปเซียนธารอุดรมองเป็นคนทรยศ!
บ้างกล่าวว่าเขาร่วมมือเป็นหนอนบ่อนไส้กับเหล่ามาร สังหารทุกผู้ในด่านสวรรค์ชั้นหก
บางกล่าวว่าเขาเป็นบุตรมาร ชั่วร้ายโดยกำเนิด ใช้ชีวิตไปวัน ๆ ขณะลอบติดต่อกับมารให้เข่นฆ่าทุกผู้สิ้น!
สารพัดความเกลียดชังโกรธเคืองมุ่งเป้ามาที่หวังเย่ คนนับพันชี้นิ้วก่นด่า
ครั้งหนึ่ง เขาเคยเป็นผู้เก่งกาจในวิถีดาบอันดับหนึ่งของด่านสวรรค์ชั้นหก เป็นนักรบขั้นเก้าผู้ลือนามในทวีปเซียนธารอุดร และเป็นตำนานในหมู่ตัวตนรุ่นเยาว์!
ยามนี้ เขากลายเป็นคนทรยศที่ถูกเหยียบย่ำโดยสิ้นเชิง!
…
สิบปีต่อจากนั้น อุปนิสัยของหวังเย่แปรเปลี่ยนอย่างมหันต์ เขากลายเป็นคนบ้าคลั่งร้ายกาจ
เขาเคยอาศัยข้างถนน สภาพเละเทะรุงรัง ต้องแย่งอาหารกับสุนัขจรจัด
เคยหลับนอนในป่าเขา มีสัตว์ป่าเป็นสหาย
หลังจากประสบกับความผันผวนแห่งหล้า เขาก็สิ้นตัวตนหลงทาง
จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาถูกจำได้และพามายังด่านสวรรค์ชั้นหก ถูกถือเป็นนักโทษประหารรอการลงทัณฑ์!
ในวันนั้น ผู้คนจากด่านสวรรค์ชั้นเก้ารวมตัวกันแน่นขนัด คนมากมายสาปแช่งเขาในนามผู้ทรยศ สีหน้าทุกผู้เปี่ยมความแค้นเคือง
วันนั้น ตะวันพลบค่ำแดงก่ำเยี่ยงโลหิต ทำให้กำแพงเมืองโบราณอันโอ่อ่าของด่านสวรรค์ชั้นหกถูกเคลือบด้วยชั้นสีแดงฉาน
หวังเย่ผู้ถูกมัดกับเสาทองแดงมองกำแพงเมืองอันดูเหมือนเปื้อนเลือดท่ามกลางแสงอัสดงราวได้เห็นศีรษะของผู้พิทักษ์หลี่หนานตู้ถูกแขวนห้อยสูง
เขายังจำได้ถึงสิ่งที่ผู้เฒ่าผู้นี้กล่าวยามเขาถูกขังในกรงเมื่ออายุเจ็ดปี
“เจ้าไม่ใช่ทายาทมาร แต่เป็นบุตรของนักรบจากด่านสวรรค์ชั้นหกแห่งทวีปเซียนธารอุดรหวังเสวียนซู่!”
วันนั้น หวังเย่ผู้กำลังจะถูกประหารฟื้นสติขึ้นจากความสับสนสิ้นตัวตน สลัดตรวนคืนอิสระและทะยานเวหาจรจาก
วันนั้น เขาสาบานจะทำลายมารปีศาจทั้งหมดนอกด่านสวรรค์ชั้นหก!
ไม่ใช่เพื่อล้างอาย ปลดมลทินให้นามตน
มีเพียงการล้างแค้นเท่านั้น!
เก้าปีหลังจากนั้น
นอกด่านสวรรค์ชั้นหก หวังเย่กวาดดินแดนอันเป็นที่ตั้งขุมกำลังมารสิบสามแห่งในเก้าวัน
ซากศพกองเป็นภูเขา โลหิตหลากไหลเป็นธาร!
เขายังจำได้ถึงยามพบกับบิดา สีหน้าของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความตกตะลึงเกินเชื่อลง
และยังจำได้ว่าก่อนบิดาของเขาจะสิ้นใจ อีกฝ่ายยังคงก่นด่าเขาว่าเป็นคนบาปกระทำปิตุฆาต อกตัญญูอย่างสูงสุด
สมควร…
หวังเย่หาสนใจไม่
ยามข่าวสะพัดกลับไปยังทวีปเซียนธารอุดร โลกหล้าก็ปั่นป่วนอื้ออึง ไม่อาจทราบได้ว่ามีผู้ละอายเสียใจที่ทุ่มความแค้นใส่หวังเย่มากมายเพียงใด
หวังเย่ก็ยังมิสนใจ
นับแต่นั้นมา เขาก็ออกจากทวีปเซียนธารอุดรเพื่อแสวงหาวิถีดาบอันสูงกว่า
…
ปีต่อ ๆ มา
โลกหล้าก็สิ้นหวังเย่หนึ่งคน และเพิ่ม ‘ทรราช’ ผู้เป็นหนึ่งในวิถีดาบ ทำให้ผู้คนเปลี่ยนสีหน้าทุกหนที่กล่าวถึงหนึ่งคน
และยังเป็น ‘มหาจักรพรรดิวิถีดาบ’ ซึ่งไร้ผู้ใดกล้าขานนามสุ่มสี่สุ่มห้า!
จนภายหลังเมื่อเวลาผ่านไปเนิ่นนาน ผู้คนในโลกเซียนที่รู้จักนามของ ‘หวังเย่’ ก็เหลือเพียงน้อยนิด
แต่ไม่ว่ากาลจะผันผ่านเช่นไร สมญานาม ‘ทรราช’ ในโลกเซียนนั้น ก็เป็นของคนเพียงผู้เดียว!!!
………………..