บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1433: ซูอี้ที่เปลี่ยนไป
ตอนที่ 1433: ซูอี้ที่เปลี่ยนไป
สามวันหลังจากนั้น
เช้าตรู่
ในห้องอันมืดมิด ซูอี้ผู้นั่งขัดสมาธิอยู่ลืมตาขึ้น
ประกายอันมืดดำเฉยชาฉายขึ้นในดวงตา
เขานั่งนิ่งอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะยกมือขึ้นถูแก้มตนและแย้มยิ้มกะทันหัน
จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นกระดิกปลายนิ้ว
ตู้ม~!
ม่านแสงปรากฏขึ้น สะท้อนร่างทุกรายละเอียดของซูอี้
ซูอี้มองตัวเองในม่านแสงอย่างเงียบงันอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะทุบม่านแสงสลายไป
แปรเปลี่ยนเป็นพิรุณแสงพร่างพรม
สีหน้าของซูอี้แปรเปลี่ยนวูบไหว
เขากระซิบกับตนเอง “ความทรงจำ ประสบการณ์ อารมณ์และประวัติชั่วชีวิตของเจ้าล้วนเป็นของข้า และภายหน้า… ก็ควรถูกใช้เพื่อข้าเช่นกัน”
“จากวันนี้ไป ศึกประลองจิตใจเริ่มเปิดฉาก และในสายตาผู้อื่น เจ้าจะมิใช่เจ้า และข้า… ก็มิใช่ข้า”
“แต่ภายหน้า ข้าจะเป็นเจ้า และเป็นข้าด้วย!”
วาจาเหล่านี้กล่าวต่อหวังเย่?
หรือต่อซูอี้กันหนอ?
เตาหลอมสวรรค์ในห้องนั้นดูจะถูกอำนาจบางอย่างกดดัน สั่นสะท้านน้อย ๆ อยู่เงียบ ๆ
ซูอี้เดินมา หยิบเตาหลอมสวรรค์ขึ้นในมือ
ดวงตาของเขาลึกล้ำครุ่นคิด “ปรากฏว่า… เจ้าสมบัติชิ้นนี้… ไม่คิดเลยว่าเจ้าก็หนีสู่แดนมนุษย์จากหายนะโลกเซียนเช่นกัน…”
เตาหลอมสวรรค์สั่นสะท้านหนักข้อขึ้นอีก
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “อย่าห่วงเลย ข้ายังคงเป็นข้า แค่ว่า… อืม ข้าเพิ่งฟื้นความทรงจำและประสบการณ์ในอดีตชาติได้น่ะ”
เตาเสริมสวรรค์สงบลงเล็กน้อย
ซูอี้เห็นว่าในเตามีเม็ดโอสถกองสุมอยู่ พวกมันล้วนเปล่งประกายจรัสแสง รัศมีเซียนเรืองรอง
นอกจากนั้นยังมีแก่นวัตถุดิบเซียนถูกหลอมรวมไว้เป็นจำนวนมาก
ซูอี้นำเม็ดโอสถเม็ดหนึ่งเข้าปาก สัมผัสอำนาจโอสถร้อนแรงแผดพุ่งไปทั่วร่างจนในที่สุดก็หลอมรวมเข้ากับจิตทารกที่มีรูปทรงดาบเก้าคุมขังในร่างของเขา แล้วเขาก็อดแย้มยิ้มอย่างพึงพอใจมิได้
ทว่าทันใดนั้น คิ้วของเขาก็ขมวดหากัน ส่งเสียงอู้อี้ในลำคอ และดวงตาซึ่งเดิมลึกล้ำไร้อารมณ์ก็วูบไหวต่อเนื่องราวกับกำลังดิ้นรนขัดขืนบางสิ่งอย่างรุนแรง
ท้ายที่สุด เขาก็สูดหายใจลึก ๆ และคู่เนตรกลับมากระจ่างเยือกเย็น
“รอดูเถิดว่าท้ายที่สุด ใครจะแทนที่ใคร!”
…
“ท่านอาจารย์ ท่านประสบปัญหาใดอยู่หรือไม่เจ้าคะ?”
ณ ลานวัด ชิงถังอดถามไม่ได้
ซูอี้ยังคงทอดกายสบายใจอยู่บนเก้าอี้หวาย ทว่าชิงถังรู้สึกว่าหากเทียบกับกาลก่อน อาจารย์ของนางก็ดูเหมือนจะมีบางอย่างผิดปกติ
“ปัญหาหรือ?”
ซูอี้นิ่งไป
ชิงถังว่า “เจ้าค่ะ ศิษย์รู้สึกเสมอว่าช่วงนี้ท่านอาจารย์ดูกระวนกระวายเล็กน้อย แล้ว…ยามศิษย์เผชิญหน้ากับท่าน ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ”
ทันทีที่วาจานั้นถูกกล่าว หลวงจีนคงจ้าวข้างกายนางก็พยักหน้าซ้ำ ๆ “ถูกต้อง ข้าก็รู้สึกเช่นกัน”
มิห่างไปนัก แม้เซียนดาบชิงซื่อกับดาบพุทธะสรรพสุญตาจะมิได้กล่าววาจา แต่ทั้งสองก็ดูจะคิดเช่นเดียวกันและหันมองมา
เมื่อสามวันก่อน หลังจากซูอี้ออกจากการเก็บตัว เขาดูไม่ต่างไปจากกาลก่อน ทว่าทุกผู้กลับรู้สึกอย่างเลือนรางว่าซูอี้เปลี่ยนไป แต่มิอาจบอกได้ว่าเปลี่ยนเช่นไร
ซูอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเบา ๆ “คนเราย่อมเปลี่ยนแปลง ยิ่งฝึกฝนสูง ความแตกต่างจิตใจยิ่งแปรเปลี่ยน”
หลังจากสืบทอดประสบการณ์และความทรงจำของชาติที่หก มุมมองและความรู้ความเข้าใจของเขาก็แตกต่างไปจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง มุมมองที่มีต่อสวรรค์และความเข้าใจในวิถีเซียนนั้นสูงล้ำเกินเทียบได้กับอดีตกาล
ความรู้สึกนั้นเหมือนดั่งปีนจากโลกมนุษย์สู่จุดสูงสุดแห่งโลกเซียน เห็นยอดภูผาโลกหล้ากว้างใหญ่ในชั่วข้ามคืน!
นั่นเองคือจุดเปลี่ยนที่ว่า
ส่วนอิทธิพลต่อจิตใจนั้นก็มีอยู่เช่นกัน!
ทว่าความขัดแย้งทางอารมณ์นั้น หาใช่สิ่งที่คนนอกตรวจพบได้ไม่
“ยิ่งฝึกฝนสูง จิตใจยิ่งแปรเปลี่ยนกับผีสิ!”
ไกลออกไป สุนัขพื้นเมืองแค่นเสียงอย่างเย็นชา สายตาของมันจ้องมองซูอี้อย่างเย็นชา “ข้าว่านะ… เจ้าน่าจะพบปัญหาในการฝึกฝนมากกว่า และหากเจ้าไม่รีบแก้ไขให้ทันเวลา เจ้าก็น่าจะจบที่เป็นบ้าไป!”
ซูอี้กล่าวอย่างเลื่อนลอย “เจ้ามิเข้าใจหรอก”
“ข้ามิเข้าใจหรือ?”
สุนัขพื้นเมืองถลึงตา ทำท่าเหมือนกำลังจะพูดบางอย่าง ทว่าเมื่อสบสายตาซูอี้ หัวใจของมันก็สั่นสะท้านอย่างมิอาจอธิบาย
ราวกับว่า… ความลับทั้งนอกในร่างมันถูกอีกฝ่ายมองเห็นอย่างทะลุปรุโปร่ง ทำให้มันรู้สึกอึดอัดไปชั่วขณะ
ทว่าเมื่อสัมผัสดูอีกครั้งก็มิพบอันใด แม้กระทั่งความรู้สึกหัวใจสั่นก็หายมิเหลือร่องรอย
สุนัขพื้นเมืองทั้งตะลึงและงุนงง
มันแน่ใจว่าไม่ได้หลอนไปเอง!
เพียงมองปราดเดียว ซูอี้ก็ดูจะรับรู้ทุกรายละเอียดของตัวมัน กระทั่งทำให้มันรู้สึกถึงอันตราย กระทบจิตใจให้สั่นสะท้าน!
“เจ้าเด็กนี่ต้องเปลี่ยนไปบางประการแน่นอน!”
แววตาของสุนัขพื้นเมืองฉายประกายยากจะคาดเดา
“ไม่ว่าสิ่งใดจะเปลี่ยน ข้าก็คือข้า ก่อนหน้านี้ข้าเป็นอาจารย์เจ้า และย่อมเป็นอาจารย์เจ้าต่อไปในภายหน้า เปลี่ยนไปมิได้หรอก”
ซูอี้เบนสายตาไปกล่าวกับชิงถังอย่างนุ่มนวล
ชิงถังพยักหน้า
นางพลันจำได้ว่าท่านอาจารย์เคยเวียนวัฏเป็นซูเสวียนจวิน ก่อนจะเกิดใหม่เป็นซูอี้ ณ ขณะนี้!
ไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงเช่นไร อาจารย์ก็ยังใส่ใจนางมิเปลี่ยนแปลง
…
วันเดียวกันนั้น ปราชญ์หงอวิ๋นพาเมิ่งฉางอวิ๋นและยมบาลมาส่ง
ไม่ได้พบกันหลายวัน คู่พ่อลูกยมบาลกับเว่ยซานก็ได้หวนคืน พวกเขาย่อมแสนยินดี
เมิ่งฉางอวิ๋นเองก็ตื่นเต้นยามได้พบกับซูอี้
ชายหนุ่มสังเกตว่า หลังจากมิได้พบหลายเดือน เมิ่งฉางอวิ๋นได้ก้าวสู่ขอบเขตคืนสู่สามัญขั้นสมบูรณ์เป็นที่เรียบร้อย อีกเพียงก้าวเดียวก็จะสามารถพิสูจน์ตนสู่ขอบเขตไร้ขีดจำกัดต่อไป!
ขณะเดียวกัน ยมบาลก็อยู่ในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงขั้นสมบูรณ์ และเทียบกับกาลก่อน นางกำลังพัฒนาขอบเขตด้วยความเร็วสูงส่งเลิศล้ำ
มิต้องสงสัยเลยว่าการอยู่ฝึกฝนข้างกายปราชญ์หงอวิ๋นครานี้เป็นประโยชน์ต่อพวกเขาทั้งสองมหาศาล
“เจ้านาย ข้าสงสัยว่าซูอี้ได้ฟื้นความทรงจำอดีตชาติ และน่าจะกลายไปเป็น ‘คนคลั่งดาบ’ ราชันเซียนวิถีดาบอันดับหนึ่งแห่งศาลเซียนรวมศูนย์แล้วขอรับ!”
สุนัขพื้นเมืองลอบถ่ายทอดข้อความแก่ปราชญ์หงอวิ๋น
ปราชญ์หงอวิ๋นนิ่งไป ทำเพียงพยักหน้าน้อย ๆ และไม่ได้กล่าวคำพูดอื่นใด
และเมื่อได้พบปราชญ์หงอวิ๋น ซูอี้ก็ยังเหมือนเช่นกาลก่อน ทว่า…
ในใจเขาพอจะเดาตัวตนของสตรีลึกลับผู้นี้ได้คร่าว ๆ แล้ว!
“สหายเต๋าพร้อมแล้วหรือไม่?”
ปราชญ์หงอวิ๋นถาม
“ไปกันได้เลย”
ซูอี้ลุกจากเก้าอี้หวาย
วันเดียวกันนั้น ปราชญ์หงอวิ๋นและซูอี้ก็เดินทางสู่เขตหวงห้ามดาราหยกด้วยกัน
ส่วนซิงเชวียถูกทิ้งไว้เฝ้าวัดสรรพสุญตา
สองวันจากนั้น
ภายในจักรวาลพร่างดาวอันไพศาล แดนโกลาหลอันยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งปรากฏขึ้นสุดลูกหูลูกตา
ท่ามกลางความโกลาหลนั้น อสนีบาตปั่นป่วนเป็นประกายโค้งวูบไหว ส่งวจีเกรี้ยวกราดสะเทือนหมู่ดาราบนจักรวาลในละแวกนั้น
บรรยากาศร้ายแรงดุดันชวนสั่นสะท้านปกคลุมไปทั่วจักรวาลพร่างดาวนี้ทุกแห่งหน
นี่คือเขตหวงห้ามดาราหยก!
หนึ่งในเจ็ดเขตหวงห้ามแห่งจักรวาลพร่างดาว
เมื่อยี่สิบปีก่อน ที่แห่งนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงมหาศาล ผู้ที่เข้าไปจะมิได้หวนคืน!
ในยุคสิ้นกฎเกณฑ์ เขตหวงห้ามดาราหยกนั้นถูกมองว่าเป็นทางรอดเดียวของเหล่าเซียนในโลกมนุษย์ ทำให้เหล่าผู้ทรงอำนาจในวิถีเซียนมากมายมาหลบอาศัย พยายามค้นหาทางรอดนั้น
ทว่าท้ายที่สุด เซียนส่วนใหญ่ก็ล้วนสิ้นใจอย่างแค้นเคือง!
จากคำพูดของช่างเสื้อ คนขายของเก่าถูกไล่ล่าเข้าไปยังภายในเขตหวงห้ามดาราหยก และหายเข้าไปในวิหารโบราณลึกลับท่ามกลางสายหมอกโดยมิได้กลับออกมาอีก
มิอาจทราบได้ว่ายังอยู่หรือไม่
วูบ!
รุ้งทิพย์สายหนึ่งทะยานผ่านนภา และร่างของซูอี้กับปราชญ์หงอวิ๋นก็ปรากฏขึ้น
แทบจะในยามเดียวกันนั้น เสียงหัวเราะหนึ่งก็ดังกึกก้อง
“เซียนหงอวิ๋น ในที่สุดพวกเจ้าก็มาแล้ว”
พร้อมกันนั้น สี่ร่างก็ปรากฏขึ้นไกล ๆ
หนึ่งเป็นชายในชุดบัณฑิตขงจื่อ สวมผ้าพันคอไหม ในมือถือม้วนหนังสือ
หนึ่งชายชราถือมีดศึก สวมชุดหนังสัตว์เก่าโทรม
และหลวงจีนสวมจีวรผู้หนึ่ง ในมือถือประคำ มีใบหน้าเป็นชายหนุ่มรูปงาม
ปราณของคนทั้งสี่ปั่นป่วนยากเข้าใจ มิอาจสืบแสวงข้อมูลใด ๆ ได้
ทว่าทั้งสี่คนนี้ ไม่ว่าจะสุ่มเลือกผู้ใดก็ล้วนมีอำนาจสูงส่งสยบสวรรค์!
ผู้กล่าวทักทายปราชญ์หงอวิ๋นคือชายในชุดบัณฑิตขงจื่อ
ในมือของเขาถือม้วนหนังสือ กิริยาสง่างาม
ปราชญ์หงอวิ๋นพยักหน้าน้อย ๆ เป็นการทักทาย
จากนั้นนางก็กล่าวกับซูอี้ว่า “ทั้งสี่คนนี้ล้วนเป็นเซียนแท้ขอบเขตสุญตามาก่อน ทว่าถูกกฎสวรรค์กลืนกินจนต้องใช้สมบัติลับสะกดการฝึกฝนเอาไว้”
ซูอี้พยักหน้า
ระหว่างเดินทาง เขาได้รู้จากปราชญ์หงอวิ๋นมาก่อนว่าจะมียอดฝีมือวิถีเซียนสี่คนไปยังเขตหวงห้ามดาราหยกกับพวกเขาด้วยหนนี้
และคือสี่บุคคลตรงหน้าโดยไร้กังขา
“ถ้าเช่นนั้น ผู้นี้ก็คือสหายเต๋าซูสินะ อ่อนเยาว์เปี่ยมพรสวรรค์ กิริยาเกินใดเทียบสมดั่งคำเล่าลือ”
ชายในชุดบัณฑิตขงจื่อทักทายแนะนำตัวด้วยรอยยิ้ม “ข้ามีนามว่าอวิ๋นฮว่าชิง ยามนี้เป็นเพียงวิญญาณอาสัญ ไม่ต่างกับแมลงน้อยด้อยค่าเท่านั้น”
ซูอี้ส่งเสียงในลำคอเล็กน้อย หากล่าววาจาใดไม่
ส่วนสามเซียนแท้ขอบเขตสุญตาอื่น ๆ นั้นถูกซูอี้เมินไปสนิท และมิได้เป็นฝ่ายออกมาทำความรู้จักกันด้วย
ทัศนคตินี้ค่อนข้างเย่อหยิ่งเย็นชา ทำให้ชายชุดบัณฑิตขงจื่ออดตกใจมิได้ คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อยมิอาจมองเห็น
และเขาก็มองไปยังพรรคพวกอีกสามคนทันที
ชายชราถือมีดศึกในชุดหนังสัตว์ฉีกยิ้มราวกับจะเยาะเย้ยชายในชุดบัณฑิตขงจื่อที่ทำตนเองขายหน้า
สตรีในชุดคลุมสีดำเหลือบมองซูอี้อีกครั้ง แววตาทองซีดของนางดูไร้อารมณ์
หลวงจีนผู้ดูราวชายหนุ่มรูปงามในจีวรกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “สหายเต๋าซูเป็นผู้เหนือธรรมดา และมิอาจปฏิบัติด้วยเช่นคนธรรมดาได้”
กล่าวจบ เขาก็ก้าวออกมาประนมมือกล่าวกับซูอี้ “หลวงจีนผู้นี้มีสมญา ‘เจ่ออิ่น’ คารวะสหายเต๋าซู”
ซูอี้หันไปกล่าวกับหลวงจีนผู้ดูเหมือนชายหนุ่ม ทว่าแท้จริงเป็นหลวงจีนเฒ่าผู้มีชีวิตอยู่แสนนานเกินนับปีอย่างกะทันหันว่า “เจ้าคือหลวงจีนพิทักษ์ศาสน์จาก ‘วัดธรรมเมฆา’ ในทวีปเซียนธารอุดรใช่หรือไม่?”
ทันทีที่กล่าวจบ ทุกผู้ก็ประหลาดใจ แต่เมื่อคิดว่าซูอี้ติดตามปราชญ์หงอวิ๋นอยู่ พวกเขาก็เข้าใจโดยพลัน
พวกเขาคิดโดยไร้กังขาว่าต้องเป็นปราชญ์หงอวิ๋นแน่ที่พูดถึงที่มาของพวกเขา
มีเพียงดวงตากระจ่างของปราชญ์หงอวิ๋นที่หรี่ลง เผยเค้าประกายแตกต่าง
นางไม่เคยพูดถึงที่มาของผู้เฒ่าเหล่านี้กับซูอี้เลย!
“ถูกต้อง”
หลวงจีนผู้เรียกตนว่าเจ่ออิ่นพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเนิ่นนานมาแล้ว ยามหวังเย่พิทักษ์ด่านสวรรค์ชั้นหกอยู่ เขามีสหายรักผู้ต่อสู้ละเลงโลหิตร่วมเป็นร่วมตายกับตนอยู่ผู้หนึ่ง ซึ่งก็มาจากวัดธรรมเมฆา ขุมกำลังผู้ฝึกตนในพุทธศาสนาแห่งหนึ่งจากทวีปเซียนธารอุดร!
นี่เป็นเรื่องเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว
ทว่ายามเขารู้ที่มาของเจ่ออิ่น สภาพจิตใจของซูอี้ก็เปี่ยมด้วยความโศกาอาวรณ์อย่างมิอาจสะกดกลั้น
เป็นการเปลี่ยนแปลงอารมณ์อันเกี่ยวข้องกับหวังเย่!
ซูอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ “หากระหว่างนี้เจ้าพบกับอันตราย ข้าจะรับรองความปลอดภัยให้แก่เจ้า”
ทันทีที่วาจาเหล่านี้ถูกเปล่งออกไป เหล่าผู้ฟังก็นิ่งไป
ทุกผู้ล้วนตะลึงตั้งตัวมิทัน แทบสงสัยว่าพวกตนหูฝาด
ปราชญ์หงอวิ๋นอดนิ่งไปครู่หนึ่งมิได้ และจมในภวังค์ครุ่นคิดยามนึกถึงสิ่งที่สุนัขพื้นเมืองซิงเชวียพูด ณ วัดสรรพสุญตาขึ้นมา
บรรยากาศพลันเงียบสงัดลง
เป็นผู้น้อย แต่กลับคิดรับรองความปลอดภัยให้กับเซียนแท้ขอบเขตสุญตา?
ผู้ใดที่ได้ยินเช่นนี้ เกรงว่าคงรู้สึก… น่าขำนัก!
………………..