บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1434: มวลเซียนฟังคำข้าสั่ง
ตอนที่ 1434: มวลเซียนฟังคำข้าสั่ง
ชายในชุดบัณฑิตขงจื่อผู้เรียกตนเองว่าอวิ๋นฮว่าชิงหัวเราะแห้ง ๆ พลางกล่าวล้อ “ไฉนสหายเต๋าซูจึงยอมปกป้องเพียงหลวงจีนเจ่ออิ่นกัน ไม่ลำเอียงไปหน่อยหรือ?”
ซูอี้เมินเขาไป
หลวงจีนเจ่ออิ่นกล่าวยิ้ม ๆ “เช่นนั้น หลวงจีนผู้นี้ก็ขอขอบคุณสหายเต๋าล่วงหน้า”
ซูอี้กล่าวกับปราชญ์หงอวิ๋น “เวลามีค่า ในเมื่อทุกคนพร้อมแล้ว ก็ไปกันเถอะ”
เขาเมินอวิ๋นฮว่าชิงไปแต่ต้นจนจบ
การถูกซูอี้เมินสองหนติดต่อกันทำให้สีหน้าของอวิ๋นฮว่าชิงถมึงตึงขึ้นอย่างมิอาจสะกดกลั้น
ทว่าเขาก็ไม่ได้กล่าวอันใดอีก
“ไป”
ปราชญ์หงอวิ๋นตรงไปตรงมายิ่งกว่า นางยกมือขึ้นใช้ตะกร้าบุปผา เผยรัศมีเซียนสีแดงสดสาดส่องปกคลุมร่างของนางและซูอี้ไว้ ก่อนจะทะยานเข้าสู่เขตหวงห้ามดาราหยกไกลออกไป
คนอื่น ๆ ล้วนตามไปเบื้องหลัง
“เฒ่าอวิ๋น ดูเหมือนสหายเต๋าซูผู้นั้นจะมิค่อยอยากพบเจ้านะ”
ระหว่างทาง ชายชราถือมีดศึกในชุดหนังสัตว์กล่าวขึ้น ดูอิ่มเอิบกับความทุกข์ของผู้อื่น
อวิ๋นฮว่าชิงกล่าวอย่างไร้อารมณ์ “เขาก็มิได้อยากพบเจ้ากับสหายเต๋าอวี่หนิงเหมือนกันนี่?”
อวี่หนิงคือสตรีผู้สวมชุดคลุมสีดำทั้งตัว
ชายชราในชุดหนังสัตว์กล่าวยิ้ม ๆ “สหายเต๋าซูครอบครองอำนาจวัฏสงสาร สังหารวิญญาณอาสัญวิถีเซียนขอบเขตจักรวาลได้ทั้งที่อายุยังน้อย จะมีอุปนิสัยเย่อหยิ่งก็เข้าใจได้”
“ยิ่งมิต้องพูดถึงว่าเมื่อมีเซียนหงอวิ๋นหนุนหลัง เขาจะเย่อหยิ่งเพียงใด ใครเล่าจะออกเสียงได้?”
อวิ๋นฮว่าชิงขมวดคิ้วกล่าว “เฒ่าเป้า เจ้ามาคุยเรื่องนี้กับข้าเพื่อการใด?”
ชายชราในชุดหนังสัตว์ส่ายหน้าพลางกล่าว “ข้ามิได้หมายความเช่นไร แค่อยากเตือนสติสหายเต๋าเท่านั้น เราต้องให้เซียนหงอวิ๋นเป็นศูนย์กลางของการเดินทางนี้ และต้องการความช่วยเหลือจากสหายเต๋าซู อย่าได้คิดการใดกับสหายเต๋าซูเชียว”
อวิ๋นฮว่าชิงแค่นเสียงกล่าวอย่างเย็นชา “เจ้าคิดว่าข้าจะไปลองฝีมือกับผู้น้อยอย่างเขาหรือไร?”
ชายชราในชุดหนังสัตว์กล่าวยิ้ม ๆ “หวังให้เป็นเช่นนั้น”
ขณะที่ทั้งสองส่งกระแสปราณคุยกัน คณะของพวกเขาก็เคลื่อนกายสู่เขตหวงห้ามดาราหยก
…
สุญญะโกลาหลวุ่นวาย อัสนีแปลบปลาบเกรี้ยวกราด
โลกหล้ารกร้างสีเทาปรากฏขึ้นในคลองจักษุทุกคู่
ฟ้าดินมืดสลัว แดนดินเต็มไปด้วยซากปรักหักพังเกลื่อนกลาด ไร้ชีวิตแม้เพียงหย่อมหญ้า
แห้งแล้ง รกร้าง ไร้ชีวิต
เปรี้ยง!
อสนีบาตสีเลือดหนาแน่นฉีกกระชากมวลเมฆาสีเทา เบิกนภาทะลวงเข้าใส่ซูอี้
ปราชญ์หงอวิ๋นซึ่งนำหน้าอยู่สั่งการตะกร้าบุปผาเก่า
เปรี้ยง!!
เกิดเสียงปะทะดังสนั่นดับโสต อสนีบาตสีเลือดถูกหยุดไว้ ก่อนจะกระจายไปทุกทิศ
ทว่าปราชญ์หงอวิ๋นเองก็ถูกผลักร่างจึงสะท้านเล็กน้อย
“ปราณหายนะ!”
อวิ๋นฮว่าชิงผงะ ความหวาดกลัวลึกล้ำพลุ่งพล่านในดวงตา “ไฉนจึงยังมีอำนาจหายนะสิ้นกฎเกณฑ์เหลืออยู่ในเมืองผีนี่กัน?”
“แม้การโจมตีนี้จะทรงพลัง แต่มันก็อ่อนแรงลงมากหากเทียบกับอำนาจหายนะยุคสิ้นกฎเกณฑ์ อย่างมากก็เป็นภัยต่อเซียนในขอบเขตจักรวาลได้เท่านั้นแหละ”
ชายชราในชุดหนังสัตว์กล่าวขึ้นรัวเร็ว
หายนะในยุคสิ้นกฎเกณฑ์ทำลายเซียนแท้สูงสุดในขอบเขตสุญตาเช่นพวกเขาได้ง่าย ๆ!
“ประหลาดจริง”
สตรีในชุดคลุมสีดำกล่าวขึ้น น้ำเสียงของนางนุ่มนวลแฝงแรงดึงดูด ฟังแล้วมีเสน่ห์พิเศษไพเราะรื่นหู
นางเผยเพียงคู่เนตรสีทองซีด ทว่าร่างของนางอรชร กิริยาโดดเด่นอย่างยิ่ง
“ทุกท่านระวังด้วย เท่าที่หลวงจีนผู้นี้ทราบ ที่นี่ฝังผู้เฒ่าจากยุคสิ้นกฎเกณฑ์เช่นเราไว้มากมายเลย”
หลวงจีนเจ่ออิ่นกล่าวเตือนเบา ๆ
ยามนี้ ซูอี้พลันกล่าวกับปราชญ์หงอวิ๋น “ต่อจากนี้ หากพบอำนาจหายนะทำนองเดียวกัน ให้ข้าจัดการเถอะ”
เจ้าหรือ?
ทุกผู้ล้วนนิ่งไปอย่างค่อนข้างตกตะลึง
ชายชราในชุดหนังสัตว์อดกล่าวเตือนมิได้ “สหายเต๋า นั่นคืออำนาจหายนะสิ้นกฎเกณฑ์นะ ในอดีต มันเคยทำลายวิถีจุติสรวง สังหารเซียนมานับไม่ถ้วน…”
เปรี้ยง!
ก่อนเขาจะทันพูดจบ อสนีบาตสีเลือดสายหนึ่งพลันทะยานลงจากฟากฟ้า ประดังเข้ามาใส่
ทันใดนั้น ซูอี้ก็ยกมือขึ้นใช้เตาเสริมสวรรค์ราวทำนายไว้
ฮึ่ม~
เตาเสริมสวรรค์ขนาดเท่าฝ่ามือเรืองรัศมีเจิดจรัส ปราณเซียนสีม่วงแผ่ออกมาจากปากเตา และกวาดอสนีบาตสีเลือดหายไปอย่างเชื่องช้า
แล้วเตาเสริมสวรรค์ก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงทันที เห็นได้ชัดว่ามิใคร่สบายตัวนัก
ขณะที่ซูอี้ยกมือขึ้นเก็บเตาเสริมสวรรค์นั้นเอง ปราณสายหนึ่งจากดาบเก้าคุมขังก็ปรากฏขึ้น สะกดอสนีบาตสีเลือดไว้ในเตาเสริมสวรรค์ทันใด
เมื่อมองดี ๆ จะพบว่าอสนีบาตสีเลือดนั้นแปรเปลี่ยนเป็นทัณฑ์อสนีบาตสีโลหิต ปราณประหลาดร้ายกาจ ทว่ายามนี้มันถูกจองจำไร้ทางขยับเคลื่อนโดยสิ้นเชิง
“แม้ปราณหายนะนี้จะอ่อนแรงเกินเทียบกับในยุคสิ้นกฎเกณฑ์ แต่ก็ยังเป็นภัยต่อเซียนทั้งหลายในขอบเขตจักรวาลได้”
ซูอี้ครุ่นคิด
ขณะนี้ สายตาของผู้อื่นที่มองมายังซูอี้นั้นแปรเปลี่ยนไป ราวกับตะลึงมิคาดฝัน
โดยเฉพาะชายชราในชุดหนังสัตว์ซึ่งลูบจมูกกล่าวอย่างกระอักกระอ่วน “ที่พูดเมื่อครู่ ถือว่าตาเฒ่าไร้ค่าผู้นี้มิได้กล่าวอันใดแล้วกัน”
อวิ๋นฮว่าชิงมองเตาเสริมสวรรค์ในมือซูอี้และกล่าวว่า “ช่างเป็นสมบัติเซียนอันวิเศษล้ำ! มิทราบว่าเจ้าจะเก็บปราณหายนะนี้ไปเพื่อการใดหรือ?”
ผู้อื่นก็มองมายังซูอี้เช่นกัน
ไม่ว่าจะทรงพลังเพียงไรยามมีชีวิต แต่ยามนี้พวกเขาก็ล้วนแต่เป็นวิญญาณอาสัญ แม้จะมีความสามารถต่อต้านอำนาจหายนะนี้ได้ ก็ยังไม่มีผู้ใดกล้าผนึกพวกมันไว้อยู่ดี
เพราะพวกเขาจะต้องเผชิญผลข้างเคียงแน่นอน!
ซูอี้กล่าวอย่างเรียบเฉย “ศึกษาดูว่าจะไขปริศนาของมันได้หรือไม่”
ทุกผู้ “…”
นับแต่พานพบจวบยามนี้ ซูอี้มิค่อยเอ่ยวาจาใด
ทว่าทุกครั้งที่พูด มันก็ล้วนทำให้เหล่าเซียนแท้ขอบเขตสุญตาผู้มีชีวิตมาแสนนานเหล่านี้ตกตะลึง
ชั่วขณะนั้น พวกเขามิอาจสรรหาวาจาใดมาพูด
กระทั่งสตรีผู้ซ่อนตัวในชุดคลุมดำทั้งตัวยังอดมองซูอี้อีกหนมิได้ ราวกับอยากจะอ่านซูอี้ให้ขาด
และเตาเสริมสวรรค์ในมือซูอี้เองก็ทำให้เหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าสนใจระคนตกตะลึงเช่นกัน
เพราะถึงอย่างไร หลังจากหายนะผ่านพ้นไป มิเพียงเหล่าเซียนต้องตกตาย แต่กระทั่งสมบัติเซียนทั้งหลายก็ล้วนเสียหายมิอาจรอดถึงวันนี้ได้อย่างสมบูรณ์
ทว่าเตาเสริมสวรรค์ในมือซูอี้นั้นเห็นได้ชัดว่าเหนือธรรมดาเกินใดเทียบ มันทนปราณหายนะได้!
ใครเล่าจะมิประหลาดใจ?
“ไปกันเถอะ”
ปราชญ์หงอวิ๋นเดินนำหน้า และคณะก็ออกสัญจรอีกครั้ง
ระหว่างทาง ทุกคราที่อสนีบาตสีเลือดโปรยปราย เซียนหงอวิ๋นจะหยุดฝีเท้ารอให้ซูอี้เก็บอสนีบาตสีเลือดลงไปในเตาเสริมสวรรค์ให้เรียบร้อยเสียก่อน แล้วจึงออกเดินทางต่อ
ทุกผู้เองก็เปลี่ยนจากตกตะลึงในคราแรกเป็นความชาชิน
ในความคิดของพวกเขา สาเหตุที่ซูอี้ทำเช่นนี้ได้ก็เพราะเตาเสริมสวรรค์มีบทบาทสำคัญ
“เซียนหงอวิ๋น ข้าได้ยินว่าผู้ที่มายังเขตหวงห้ามดาราหยกหนนี้มิได้มีแค่พวกเราผู้เฒ่านะ”
ขณะเดินทางอย่างรีบร้อน จู่ ๆ อวิ๋นฮว่าชิงก็กล่าวขึ้น “ข้าสงสัยว่าเราน่าจะได้พบผู้เฒ่าคนอื่นระหว่างทางไป ‘แดนหมื่นเร้น’”
ยามนี้ พวกเขามายังเขตหวงห้ามดาราหยกเพื่อแก้ปัญหาให้ตนเอง และหาทรัพยากรให้เพียงพอสนองความต้องการฝึกฝนของตน
หรือก็คือ เพื่อหาสถานที่ลึกลับอันกล่าวถึงในนาม ‘ทางรอด’ โดยเหล่าเซียนเมื่อยุคสิ้นกฎเกณฑ์นั่น!
มีเพียงหนทางนี้ที่เหล่าเซียนแท้ขอบเขตสุญตาทั้งหลายจะพ้นหายนะการฝึกฝนคล้อยต่ำจนตกตาย
และ ‘แดนหมื่นเร้น’ ที่อวิ๋นฮว่าชิงว่าก็ลือกันว่าซุกซ่อน ‘ทางรอด’ นั้นไว้!
เซียนมากมายออกค้นหามันตั้งแต่ยุคสิ้นกฎเกณฑ์ ทว่าท้ายที่สุด พวกเขาแทบทั้งหมดก็ล้วนล้มเหลวตกตายด้วยหายนะ
ทว่ายามนี้แตกต่างออกไป หลังจากผ่านไปหลายพันปี หายนะได้หายไปนานแล้ว โลกมนุษย์ทุกวันนี้ดุจเป็นยุคทอง มิเพียงวิถีจุติสรวงซึ่งห่างหายไปหวนคืน แม้กระทั่งวิญญาณอาสัญเหล่านี้ยังตื่นจากนิทรา
คาดการณ์ได้ว่ายามนี้คือโอกาสอันดีที่สุดในการตามหา ‘ทางรอด’ นั้น!
“เป็นไปได้”
ปราชญ์หงอวิ๋นพยักหน้า “แต่ก็อย่าใส่ใจมากเลย”
อวิ๋นฮว่าชิงกล่าวอย่างครุ่นคิด “ท่านเซียนเข้าใจผิดแล้ว ข้าเป็นกังวลว่าพวกเขาจะมาหาสหายเต๋าซูต่างหาก หากเป็นเช่นนั้นจะยุ่งยากนะ”
“เพราะถึงอย่างไร ทุกคนก็รู้แล้วว่าสหายเต๋าซูมีอำนาจวัฏสงสารในมือ และเป็นประโยชน์มหาศาลในเขตหวงห้ามดาราหยกนี้”
คิ้วของปราชญ์หงอวิ๋นขมวดเล็กน้อย “เจ้าคิดว่าด้วยกำลังเรา มิอาจปกป้องสหายเต๋าซูได้หรือไร?”
อวิ๋นฮว่าชิงส่ายหัวซ้ำ ๆ ขณะกล่าวอย่างอดทน “ข้าอยากฉวยโอกาสนี้ขอให้สหายเต๋าซูช่วยข้าทำลายคำสาปบนร่างก่อน เมื่อพบกับศัตรู ข้าจะได้แสดงอำนาจที่แข็งแกร่งขึ้นได้น่ะ”
ปราชญ์หงอวิ๋นเข้าใจทันที สรุปคืออวิ๋นฮว่าชิงต้องการขอให้ซูอี้ช่วยปลดคำสาปบนร่างให้
นางมองไปยังผู้อื่นในคณะ และพบว่าพวกเขาล้วนมีท่าทีคาดหวัง ก่อนจะมองไปยังซูอี้
ทว่า ก่อนที่นางจะทันได้พูด ซูอี้ก็กล่าวขึ้นก่อน “นั่นเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับข้า และย่อมเต็มใจช่วย”
ทุกผู้ล้วนยิ้มกว้าง
ทว่าซูอี้กล่าวต่อทันควัน “แต่ข้ามีข้อแม้ข้อหนึ่ง”
ทุกผู้มองหน้ากัน หัวใจรู้สึกว้าวุ่นเล็กน้อย
ยามนี้ ทุกผู้เป็นฝ่ายเดียวกันและควรช่วยเหลือกัน มิคาดเลยว่าซูอี้ยังมีข้อแม้เงื่อนไขมาพูดอีก!
ทว่าหามีผู้ใดกล่าวแย้งไม่
พวกเขามีมิตรภาพกับปราชญ์หงอวิ๋น แต่สำหรับซูอี้ พวกเขาเพิ่งพานพบและไร้มิตรภาพต่อกัน
เมื่อซูอี้ยกเงื่อนไขมาพูดอย่างตรงไปตรงมา พวกเขาก็ทำได้เพียงต้องยอมรับ
ส่วนปราชญ์หงอวิ๋นนั้นมิได้แสดงจุดยืนของนางแต่ต้นจนจบ ทำเพียงยืนเงียบ ๆ ดวงตากระจ่างของนางหาตกใจไม่ แต่ก็มิอาจอ่านความคิดภายในใจของนางออก
“เงื่อนไขอันใด ขอสหายเต๋ากล่าวมาตรง ๆ เถิด”
ชายชราในชุดหนังสัตว์กล่าวยิ้ม ๆ
ซูอี้กล่าวเนิบ ๆ “ในการเดินทางต่อจากนี้ หากพบปัญหาใดที่มิอาจแก้ไข ให้ฟังคำข้าสั่ง”
ทุกผู้ผงะไป แสดงสีหน้าหลากหลาย
เดิมที พวกเขาล้วนคิดว่าผู้น้อยเช่นซูอี้จะฉวยโอกาสขอ ‘ผลประโยชน์’ จากเหล่าเซียนแท้ขอบเขตสุญตาเหล่านี้ และกระทั่งเตรียมใจหลั่งเลือดตนเองไว้แล้ว
ไม่คาดว่าเงื่อนไขของซูอี้จะแตกต่างจากที่คิดไปโดยสิ้นเชิง
และเมื่อครุ่นคิดถึงความหมายวาจาของซูอี้ดี ๆ พวกเขาก็ล้วนรู้สึกเหมือนถูกล่วงเกิน!
“ฟังคำเจ้าสั่ง?”
แม้กระทั่งสตรีชุดคลุมดำซึ่งเงียบมาตลอดยังดูมิพอใจเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด
เป็นผู้น้อย แต่กลับจะชี้นิ้วสั่งพวกเขา?
โอหังนัก!
อวิ๋นฮว่าชิงรำพึง “สหายเต๋าเอ๋ย เจ้าทำให้พวเราลำบากแล้ว การกระทำของเราหนนี้เกี่ยวพันกับชีวิตตัว เงื่อนไขเช่นนี้จึงยากยอมรับได้”
พวกเขาเป็นเซียนแท้ขอบเขตสุญตานะ!
หากพบอันตรายอันเกินแก้แท้จริง แล้วต้องมาทำตามคำสั่งผู้น้อย พวกเขาก็ล้อเล่นกับชีวิตตนเองแท้ ๆ
และเงื่อนไขของซูอี้ก็ยั่วโมโหกันชัด ๆ!
………………..