บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1435: สมบัตินี้มีนายแล้ว
ตอนที่ 1435: สมบัตินี้มีนายแล้ว
ซูอี้สัมผัสความไม่พอใจจากเหล่าเซียนแท้ขอบเขตสุญตาได้
ทว่าเขามิได้กล่าวอันใด
ทำเพียงรออย่างเงียบงัน
หลวงจีนเจ่ออิ่นเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างนุ่มนวล “การกระทำนี้ เราทั้งหลายล้วนมีเซียนหงอวิ๋นเป็นผู้นำ เมื่อมีตัวตนสูงส่งเหนือผู้ใดเช่นนางเป็นศูนย์กลางก็ย่อมไร้กังวล หลวงจีนผู้นี้จึงฉงนว่าไยสหายเต๋าซูจึงเอ่ยขอเช่นนี้กัน?”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยชา “เพื่อให้พวกเจ้ารอดชีวิต”
ทุกผู้ “???”
หลวงจีนเจ่ออิ่นเงียบไป สายตามองไปยังปราชญ์หงอวิ๋น
ผู้อื่นเองก็มองมาเช่นกัน
“ข้าเห็นด้วย”
เซียนหงอวิ๋นกล่าวตอบรับอย่างเยือกเย็นโดยไม่คิด
ทุกผู้ล้วนตกตะลึง
อวิ๋นฮว่าชิงขมวดคิ้วกล่าว “เซียนหงอวิ๋น นี่ไม่ใช่การละเล่นของเด็กนะ เจ้า…”
โดยมิรอให้เขากล่าวจบ ชายชราในชุดหนังสัตว์ก็กล่าวตกลงเสียก่อน “ข้าก็เห็นด้วย”
หลวงจีนเจ่ออิ่นครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “นับข้าด้วยอีกคน”
สตรีในชุดคลุมดำเงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็กล่าวว่า “ข้าเห็นด้วยกับการตัดสินใจของหงอวิ๋น”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านางยังคงคัดค้านอย่างหนักในการฟังคำสั่งของซูอี้ แต่นางตอบตกลงอย่างมิค่อยชอบใจนักเพราะเชื่อใจปราชญ์หงอวิ๋น
“ไฉนพวกเจ้า…”
อวิ๋นฮว่าชิงงุนงง รู้สึกน่าขันอย่างยิ่ง เซียนแท้ขอบเขตสุญตาตนอื่นเห็นด้วยกับการอยู่ใต้คำสั่งผู้น้อยกันหมดแล้วหรือ?
โลกหล้าเป็นอันใดไป?
บ้าไปแล้ว!
อวิ๋นฮว่าชิงสูดหายใจลึก ๆ และกัดฟันกล่าวว่า “ข้า… เห็นด้วย!”
ทันทีที่วาจาถูกกล่าว ใบหน้าของเขาก็ร้อนฉ่า ค่อนข้างรู้สึกละอายเหมือนตบหน้าตนเอง
“ในเมื่อทุกคนตกลง งั้นข้าจะกล่าวก่อนนะว่าต่อจากนี้ เมื่อพบสิ่งมิชอบมาพากล หากผู้ใดขัดขืน ข้าจะมิละเว้น!”
ซูอี้กล่าว
วาจานั้นทำให้เหล่าเซียนแท้ขอบเขตสุญตาขมวดคิ้ว ทว่าพวกเขาก็ล้วนสงบวาจา
มีเพียงเซียนหงอวิ๋นที่พยักหน้า “เป็นไปตามนั้น”
กาลต่อมา ซูอี้ก็ทำลายอำนาจคำสาปในร่างทุกผู้ทีละคน
และรวมถึงปราชญ์หงอวิ๋นด้วย
เมื่อถึงจุดนี้ หัวใจของเหล่าเซียนแท้ขอบเขตสุญตาก็รู้สึกสบายขึ้น ร่างผ่อนคลายลง สีหน้าเปี่ยมความชื่นมื่นปรีดาในที่สุด
ในฐานะวิญญาณอาสัญ พวกเขาถูกอำนาจคำสาปพัวพัน หากไม่ปลดมันทิ้ง แม้จะรอดชีวิตได้ พวกเขาก็จะเป็นเพียงแมลงตัวจ้อยที่มิใช่ทั้งคนและผี มิอาจก้าวสู่วิถีอันสูงกว่าได้!
ยามนี้เมื่อคำสาปถูกปลดออก ก็ไม่ต่างจากได้เกิดใหม่!
จากนั้น คณะเดินทางก็เคลื่อนต่อ
เขตหวงห้ามดาราหยกนี้เต็มไปด้วยอันตราย ทั้งรอยแตกมิติกว้างหลายพันจั้ง พายุหายนะกระหน่ำพัด พิรุณแสงเซียนประหลาดเกินคาดเดา และคลื่นแสงมิติเวลาอันปรากฏขึ้นอย่างเย็นชาไร้สุ้มเสียง… อำนาจนี้เพียงพอจะฉีกกระชากเซียนทั้งหลายเป็นเสี่ยง ๆ!
ทว่าด้วยการนำของปราชญ์หงอวิ๋น ทั้งคณะก็เลี่ยงหายนะสุดอันตรายเหล่านี้ไปได้
ระหว่างนั้น ซูอี้ก็ได้สะสมอำนาจหายนะมากขึ้นทุกขณะ เตาเสริมสวรรค์เปี่ยมด้วยทัณฑ์อสนีบาตสีเลือดพลุ่งพล่าน
ขณะเดินทาง ปราชญ์หงอวิ๋นอดส่งกระแสปราณถามซูอี้มิได้ ว่าไฉนเขาจึงอยากให้เหล่าผู้เฒ่านั้นฟังคำสั่ง
ซูอี้เพียงตอบว่า “ในเมื่อเราร่วมมือกัน เราก็ต้องแน่ใจไว้ว่าทุกคนจะรอดชีวิต”
ซูอี้กล่าวคำตอบนี้ออกมาแล้วหนหนึ่ง ทว่าเมื่อได้ยินซูอี้กล่าวซ้ำคำเดิม ในที่สุดปราชญ์หงอวิ๋นก็เข้าใจ และกล่าวขอบคุณอีกฝ่ายด้วยท่าทีเคร่งขรึม
ผู้อื่นมองซูอี้เป็นผู้น้อย จึงปฏิเสธเงื่อนไขของเขา กระทั่งคิดว่าบ้าไปแล้ว
แต่ปราชญ์หงอวิ๋นมิใช่เช่นนั้น
นางรู้ว่า หากซูอี้ปลุกความทรงจำในอดีตชาติขึ้นตามที่คาดการณ์ไว้ เช่นนั้น ด้วยตัวตนและอำนาจของซูอี้ เขาก็สามารถสั่งผู้ใดก็ตามที่นี่ได้!
ซูอี้ไม่ต้องทำอันใดเลยก็ได้ แต่เขาก็ทำ
เพราะเหตุใด?
เพราะเขามองพวกตนทั้งหมดเป็นสหาย!
เคียงบ่าผ่านอุปสรรคน้อยใหญ่!
เมื่อคิดเช่นนี้ การต่อต้านขัดขืนของพวกอวิ๋นฮว่าชิงก็ดูเหมือนเด็กน้อยขัดวาจาผู้ใหญ่ในตระกูลขึ้นมา
แน่นอนว่า นี่เพราะความรู้ความเข้าใจที่แตกต่าง
ปราชญ์หงอวิ๋นหาใส่ใจไม่
และนางก็เห็นว่าซูอี้หาสนใจเรื่องนี้ไม่
“สหายเต๋าซูแตกต่างไปจากกาลก่อนแล้วจริง ๆ…”
ยามนี้ ปราชญ์หงอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะอยากถามซูอี้เหลือเกินว่า เขาคือคนคลั่งดาบผู้เลิศล้ำแห่งสิบราชันเซียนประจำศาลเซียนรวมศูนย์ในอดีตชาติตามที่นางคาดการณ์ไว้หรือไม่
ทว่านางก็รั้งตนไว้
ทุกคนล้วนมีความลับของตน
ขอเพียงเข้าใจ ก็ไม่จำเป็นต้องขุดคุ้ยหารากเหง้าไปเสียทุกประเด็น
นี่คือการให้เกียรติอย่างหนึ่ง
ขณะเดียวกัน ซูอี้ก็นวดหว่างคิ้ว
เขารู้ชัดเจนว่าชาติที่หกกำลังส่งอิทธิพลต่อการกระทำของตน!
เช่นเงื่อนไขนี้ ยามกล่าวออกไป เขาหารู้สึกถึงความผิดปกติไม่ แต่เมื่อหวนคิดยามนี้ มันกลับย้อนแย้งอยู่ในใจ!
กล่าวคือ จุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาคือแค่อยู่เฉย ๆ ไม่เข้าไปพัวพันด้วยตนเอง
และยามนี้ เขาก็เข้าใจแจ่มแจ้ง
นี่คือการกระทำของชาติที่หก หวังเย่
เมื่อหวังเย่ยังเยาว์ เขาพิทักษ์ด่านสวรรค์ชั้นหกในทวีปเซียนธารอุดรหลายต่อหลายปี ออกศึกละเลงเลือด ร่วมเป็นร่วมตายกับสหายศึกเป็นกลุ่มใหญ่
ทุกการกระทำ เขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องทุกผู้รอบกาย!
แม้จะมีสหายผู้ใดตกตายในศึก เขาจะแบกร่างคนผู้นั้นกลับ จัดงานศพฝังให้ด้วยตนเอง!
“นี่เป็นนิสัยที่สมควรเคารพชื่นชม แต่ไม่มีทางใช้วิธีนี้มาทำเนียนแทนที่ข้าได้”
ดวงตาของซูอี้กระจ่างชัด กล่าวกับตนเองในใจ “ข้าจะรอดูว่าเจ้าจะส่งผลกระทบลากอุปสรรคมาหาข้าได้มากมายเพียงไร!”
…
ครึ่งชั่วยามต่อมา
“สหายเต๋าซู ดูนั่นสิ หรือว่านั่นจะเป็นวิหารที่เจ้ามองหาอยู่!”
ชายชราในชุดหนังสัตว์พลันกล่าวขึ้นพลางชี้ไปไกล
ที่แห่งนั้นเป็นแดนดินมืดมิด ซากโบราณเกลื่อนพื้น และบนอากาศเต็มไปด้วยหมอกทมิฬ
ภายในหมอกนั้นพอจะเห็นได้ว่ามีสิ่งปลูกสร้างโบราณรูปทรงเป็นเอกลักษณ์ตั้งอยู่หนึ่งแห่ง สูงร้อยจั้ง ดำสนิททั้งหลัง
มันดูราววิหารร้างอันมีบรรยากาศประหลาดลึกลับ
“น่าจะเป็นเช่นนั้น”
ซูอี้พยักหน้า
ขณะเดินทาง เขาได้บอกปราชญ์หงอวิ๋นแล้วว่าจะหาที่อยู่ของสหายเก่าผู้หนึ่ง
สหายเก่านั้นคือคนขายของเก่าซึ่งดูจะติดอยู่ในวิหารแห่งหนึ่ง
ระหว่างทาง เขาผ่านสถานที่มากมาย แต่ก็มิได้พานพบ
และยามนี้ก็พบบางสิ่งในที่สุด!
“ไปดูกันเถอะ”
ปราชญ์หงอวิ๋นเดินนำ
เมื่อมาถึงซากโบราณ ยังมิทันเข้าใกล้วิหาร ปราชญ์หงอวิ๋นก็ขมวดคิ้วน้อย ๆ “ดูเหมือนจะมีผู้มาถึงก่อนนะ”
เพิ่งสิ้นคำ
ตู้ม!
ในวิหารท่ามกลางหมอกทมิฬที่อยู่ไกลออกไป มีเสียงคำรามจากการต่อสู้ดังออกมา
ทันใดจากนั้น แสงศักดิ์สิทธิ์ก็ทะยานสู่สรวง เพลิงแสงเดือดคลั่ง ฟ้าดินใกล้เคียงถูกแสงสาดส่องสว่างจ้า หมอกทมิฬกระจายตัว
แล้วสามร่างก็พุ่งออกมาจากวิหาร
วิหารถล่มกลายเป็นซากทันใด
ทุกผู้ล้วนผงะ ไม่คาดเลยว่ายังมิทันได้เข้าสำรวจ วิหารก็ถูกทำลายไปเช่นนี้!
ทุกผู้ล้วนเบนสายตาไปมองคนทั้งสามโดยมิตั้งใจ
เป็นสองบุรุษหนึ่งสตรี
ผู้นำเป็นชายผู้หนึ่ง สวมชุดคลุมขนนก ร่างสูงใหญ่ ปราณร้ายกาจอย่างยิ่ง
ชั่วขณะนั้น ชายในชุดคลุมขนนกถือหอคอยสำริดหลังหนึ่งในมือขวา สีหน้าตื่นเต้นบ้าระห่ำ เชิดหน้าหัวเราะลั่นนภา
“ฮ่า ๆๆ! พวกเราเสี่ยงชีวิตมิเสียเปล่า ไม่คาดเลยว่าจะได้สมบัติยิ่งใหญ่เพียงนี้มา! ข้ามั่นใจว่าสิ่งนี้ต้องเป็นสมบัติเซียนขอบเขตศักดิ์สิทธิ์แน่!”
สีหน้าของเขาตื่นเต้นปรีดา เต็มไปด้วยความปีติ
ทันใดนั้น เขาก็ดูจะรู้ตัว และมองไปไกล
คู่เนตรนั้นเจิดจรัสเยี่ยงคู่ตะเกียงทอง สาดส่องผ่านนภามองมายังพวกซูอี้
รอยยิ้มของเขาหายไปทันที
ขณะเดียวกัน สองคนข้างกายชายในชุดคลุมขนนกก็สังเกตเห็นพวกเขา อดระแวดระวังขึ้นมามิได้
“ที่แท้ก็เป็นพวกเขา”
ชายชราในชุดหนังสัตว์จำตัวตนของทั้งสามได้ รีบส่งกระแสปราณแนะนำพวกเขาแก่ซูอี้
อันที่จริง ทัศนคติของชายชราในชุดหนังสัตว์ที่มีต่อซูอี้นั้นเป็นมิตรไมตรีมาโดยตลอด แตกต่างจากผู้อื่นโดยสิ้นเชิง
ไม่นานนัก ซูอี้ก็ได้รู้ว่าชายในชุดคลุมขนนกซึ่งเป็นผู้นำนั้นมีนามว่าเซี่ยวฉางหนิง ส่วนคู่ชายหญิงข้างกายเขามีนามว่าโจวเจ๋อและเซวียเฉียวจือตามลำดับ
พวกเขาทั้งสามคนล้วนแต่เป็นเซียนแท้ขอบเขตสุญตา และจำศีลอยู่ในเขตหวงห้ามเซียนละล่องมาโดยตลอด!
ทว่าความสนใจของซูอี้อยู่ที่หอคอยสำริดในมือเซี่ยวฉางหนิง
“เซียนหงอวิ๋น? ที่แท้ก็เป็นเจ้า”
ม่านตาของเซี่ยวฉางหนิงหดตัว เขารู้จักปราชญ์หงอวิ๋นกับชายชราในชุดหนังสัตว์เช่นกัน
แล้วชายในชุดขนนกหัวเราะออกมาทันที “น่าเสียดายนะที่พวกเจ้าช้าไปก้าวหนึ่ง และโอกาสที่นี่ก็ถูกพวกข้าชิงไปหมดแล้ว”
โดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ ซูอี้ก็กล่าวขึ้นอย่างเฉยชา “สมบัตินี้มีนายแล้ว มันเป็นสมบัติสหายข้า วางมันลง แล้วข้าจะให้เจ้ากลับไป”
ทันทีที่วาจาถูกกล่าว พวกเซี่ยวฉางหนิงก็ฉีกยิ้มราวได้ยินเรื่องตลก
ดวงตาของเซี่ยวฉางหนิงมองซูอี้อย่างท้าทาย แล้วกล่าวขึ้นทันที “เจ้าคือซูอี้ผู้ถือครองวัฏสงสารนี่ ฮ่า ๆ ต่อให้อยากปล้นสมบัติไป ก็หาข้ออ้างให้มันดี ๆ หน่อยสิ!”
ดวงตาของเขาเย้ยเยาะ วาจาเปี่ยมคำล้อเลียน
ชายนามโจวเจ๋อข้างกายเซี่ยวฉางหนิงกล่าวขึ้นอย่างเย็นชา “เจ้าบอกว่าสมบัตินี้มีนายแล้ว แล้วนายผู้นั้นอยู่หนใด?”
เขาสวมอาภรณ์สีน้ำเงิน รูปลักษณ์หล่อเหลาสง่างาม ถือดาบโบราณเล่มหนึ่ง มีปราณทรงพลังคุกคามอย่างยิ่ง
ซูอี้กล่าวอย่างราบเรียบ “หากข้าเดาถูก เขาก็ซ่อนอยู่ในหอคอยนั่นแหละ”
ทุกผู้นิ่งไป
เซี่ยวฉางหนิงหัวเราะลั่น กล่าวอย่างดูแคลน “น่าขำ! ข้าตรวจสอบหอคอยนี้มาก่อนแล้ว หามีปราณผู้มีชีวิตอยู่ไม่!”
ข้างกันนั้น สตรีนามเซวียเฉียวจือกล่าว “เจ้าหนู หรือ… เจ้าจะลองเรียกดูเล่าว่ามีผู้ใดตอบหรือไม่?”
วาจานั้นหยอกเย้าล้อเลียน
ทั้งเซี่ยวฉางหนิงและโจวเจ๋อล้วนหัวเราะ
คิ้วของปราชญ์หงอวิ๋นขมวดหากัน ดวงตาเย็นชา
“ได้”
ทว่าทุกผู้ก็ต้องประหลาดใจเมื่อซูอี้ตอบตกลง และกล่าวออกมาลอย ๆ “ไก่โต้งเหล็ก หากเจ้ายังอยู่ก็รีบร้องออกมาเร็ว หาไม่ ข้าจะมิสนใจเรื่องวันนี้แล้วนะ”
เพิ่งสิ้นเสียง
ภายใต้สีหน้าตะลึงอึ้งของทุกผู้ จู่ ๆ ก็มีเสียงดังออกมาจากภายในหอคอยสำริดในมือเซี่ยวฉางหนิง
“โอ๊ก!”