บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1436: ต่างถ่วงแข้งถ่วงขามิต่างกัน
ตอนที่ 1436: ต่างถ่วงแข้งถ่วงขามิต่างกัน
“โอ๊ก!”
เพียงหนึ่งคำ แต่เผยอารมณ์ทั้งกระวนกระวาย ปรีดา ตื่นเต้น และกระตือรือร้น ดังลั่นในโลกหล้าสีเทานี้ กระทั่งเสียดแก้วหูด้วยซ้ำ
รอยยิ้มบนใบหน้าของเซี่ยวฉางหนิง โจวเจ๋อ และเซวียเฉียวจือพลันแข็งทื่อ สีหน้าดูไม่ได้
ปราชญ์หงอวิ๋น อวิ๋นฮว่าชิงและคณะล้วนประหลาดใจ มีคนอยู่ในหอคอยสำริดนี้จริง ๆ หรือ?
ซูอี้พูดถูก หอคอยสำริดนี้มีนายแล้ว มิใช่เพราะเขาโลภมากหาข้ออ้างชิงสมบัติแต่อย่างใด!
ซูอี้ลอบถอนหายใจโล่งอก
เขาจำหอคอยสำริดนั้นได้
คนขายของเก่าเคยอวดว่ามันเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดที่ได้มาจากซากโบราณแห่งหนึ่ง
อย่ามองว่ามันเหมือนก้อนเหล็กทองแดงผุ ๆ แต่แท้จริงซุกซ่อนปริศนาลึกลับไว้!
เมื่อถึงกาล สมบัตินี้จะเปล่งประกายแน่นอน
หลังจากคนขายของเก่าถูกคนของช่างเสื้อไล่ล่ามาที่นี่ เขาคงรอดชีวิตมาได้จวบยามนี้เพราะหอคอยสำริดชิ้นนี้
“เป็นไปตามวาจาของสหายเต๋าซู ส่งสมบัติมา แล้วข้าจะปล่อยพวกเจ้ารอดชีวิต”
ปราชญ์หงอวิ๋นเลิกลังเล นางจ้องมองพวกเซี่ยวฉางหนิงด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย
ขณะเดียวกัน ชายชราในชุดหนังสัตว์ อวิ๋นฮว่าชิงและคนอื่น ๆ ต่างก้าวเข้ามา ปราณกดดันหนักหน่วง ดวงตาเปี่ยมประกายเย็นเยียบ
บรรยากาศพลันหดหู่ตึงเครียด
“ไม่มีทาง!”
โจวเจ๋อผู้ถือดาบโบราณ สวมชุดสีน้ำเงินกล่าวเสียงเฉียบ “สมบัติชิ้นนี้ถูกทิ้งไว้ที่นี่ และในเมื่อพวกเราได้มันมา มันก็เป็นของพวกเรา!”
ฝักดาบขึ้นสนิมสีดำปรากฏขึ้นในมือของปราชญ์หงอวิ๋น ฟาดฟันแหวกอากาศในทันที
ตู้ม!
สุญญะแหลกระเบิด
ปราณดาบอันทรงพลังฟาดฟันดุเดือดราวคิดแยกฟ้าดินนี้เป็นสอง
“เปิด!”
เซี่ยวฉางหนิงแค่นเสียงเย็นชาขณะใช้หอกศึกสะบัดเข้าต้านอย่างรุนแรง
เปรี้ยง!!!
ท้องนภาสะเทือนไหว เพลิงแสงโหมกระหน่ำ
แม้เซี่ยวฉางหนิงจะช่วยโจวเจ๋อหยุดไว้ได้ แต่ร่างของเขาก็ถูกผลักเซไปข้างหลัง อาภรณ์สะบัดพลิ้ว ใบหน้าแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่าทนได้อย่างยากเย็นยิ่ง
หอกศึกในมือของเขาครวญสั่นมิขาดสาย
เพียงหนึ่งดาบ เซี่ยวฉางหนิงก็แทบรับมิไหว!
อำนาจร้ายกาจเช่นนี้ทำให้ทุกผู้ตัวสั่น
ทว่าปราชญ์หงอวิ๋นดูจะไม่พอใจเล็กน้อย และเตรียมโจมตีอีกครั้ง
“ช้าก่อน!”
เซวียเฉียวจือร้องลั่น “หงอวิ๋น เจ้ารู้หรือไม่ว่าเราทุ่มเทเพียงใดเพื่อนำสมบัติชิ้นนี้ออกมา?”
กล่าวจบ นางก็ยกนิ้วเรียวขึ้น กัดฟันกล่าว “มันทำให้เราเสียสมบัติเซียนขอบเขตสุญตาไปสี่ชิ้น และยันต์ลับวิถีเซียนไปอีกสิบกว่าชิ้นนะ!”
“นอกจากนั้น เราทั้งสามยังผ่านศึกเข่นฆ่ามากมายกว่าจะนำสมบัตินี่ออกมาได้…”
ปราชญ์หงอวิ๋นกล่าวขัดโดยไม่รอให้นางพูดจบ “ที่เจ้าพูดมามันเกี่ยวอันใดกับข้า?”
เซวียเฉียวจือไร้วาจา สีหน้าโกรธขึ้ง
เซี่ยวฉางหนิงกล่าวด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก “หากเจ้าอยากได้หอคอยนี่ อย่างน้อยที่สุด… ก็ต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนมิใช่หรือ?”
ไม่ว่าใครก็เห็นว่าเซี่ยวฉางหนิงยอมประนีประนอม!
มิกล้าเป็นปรปักษ์กับเซียนหงอวิ๋น!
ปราชญ์หงอวิ๋นกล่าวอย่างสุขุม “ให้พวกเจ้ารอดกลับไปมิพอหรือ?”
ทุกผู้ “…”
เซี่ยวฉางหนิงโกรธเสียจนแทบกระอักเลือด
เหมือนเช่นเซวียเฉียวจือว่า พวกเขาผ่านความเป็นตายมามากมายก่อนจะบุกเข้าสู่วิหาร และทุ่มเทเสียหายอย่างหนักกว่าจะได้คอหอยสำริดนี้มา
แต่ก่อนจะทันได้ดีใจ เป็ดย่างก็บินหนีจากจาน ใครเล่าจะยอมง่าย ๆ?
ใครเล่า… จะมิโกรธเคือง?
“ข้าจะถามอีกครั้งเป็นหนสุดท้าย ส่งมันมาหรือไม่?”
เห็นได้ชัดว่าปราชญ์หงอวิ๋นกำลังจะหมดอดทน
ชายชราในชุดหนังสัตว์ หลวงจีนเจ่ออิ่น และคนอื่น ๆ เองก็เตรียมพร้อมทำศึก
การจัดทัพที่เต็มไปด้วยจิตสังหารนี้ทำให้พวกเซี่ยวฉางหนิงสัมผัสถึงแรงกดดันยิ่งกว่าหนใด
เซี่ยวฉางหนิงกัดฟัน เขวี้ยงหอคอยสำริดในมืออย่างโกรธเกรี้ยว
“เอาไป!!!”
วืด!
หอคอยสำริดถูกปราชญ์หงอวิ๋นรับไว้ และส่งให้ซูอี้ข้างกาย
“หงอวิ๋น อย่าได้ใจไปนัก”
เซี่ยวฉางหนิงสูดหายใจลึก ๆ กล่าวด้วยดวงตาวาวโรจน์ “ข้าบอกเจ้าก็ได้ว่า การที่เจ้าพาซูอี้มายังเขตหวงห้ามดาราหยกนั้น ผู้คนมากมายได้รับทราบแล้ว!”
“ในหมู่พวกเขามีกู้หยวนเชวีย บุตรศักดิ์สิทธิ์จาก ‘ภูเขาคังหมิง’ อยู่ด้วย!”
กู้หยวนเชวีย!
อวิ๋นฮว่าชิงกล่าวอย่างประหลาดใจ “เขาอยู่ในแดนมนุษย์จริง ๆ หรือ?”
ภูเขาคังหมิง เป็นหนึ่งในกลุ่มเต๋าโบราณสูงสุดในโลกเซียน แข็งแกร่งระดับมหาเซียน และมีมหาเซียนอยู่ในสำนักมากกว่าหนึ่ง
และในที่แห่งนั้น ผู้ที่มีคุณสมบัติให้เรียกว่า ‘บุตรศักดิ์สิทธิ์’ ได้นั้นจะต้องมีฝีมือและศักยภาพจะเป็นราชันเซียนขอบเขตศักดิ์สิทธิ์ได้!
กู้หยวนเชวียเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ของภูเขาคังหมิงมาเนิ่นนานแล้ว!
เซียนหงอวิ๋นเองก็รู้จักเขา คิ้วของนางย่นเล็กน้อย ทว่าดูจะมิประหลาดใจนัก
ส่วนซูอี้หาได้ให้ความสนใจไม่ เขามองไปยังหอคอยสำริดในมือ
“โอ้ มิคาดล่ะสิ”
เซี่ยวฉางหนิงเสสรวลพลางกล่าวด้วยแววตาเย็นชา “ยามนี้ กู้หยวนเชวียได้รวมตัวกับสหายร่วมวิถีไว้มากมาย และมาถึงแดนหมื่นเร้นแล้ว!”
“ข้าไม่จำเป็นต้องพูด เจ้าก็ย่อมรู้แล้วแหละว่าขอเพียงซูอี้ผู้นั้นปรากฏกาย เขาก็จะกลายเป็นเป้าหมายของทุกผู้!”
“ด้วยเหตุเช่นนั้น เจ้ายังกล้าไปอยู่หรือ?”
สิ้นวาจา เซี่ยวฉางหนิงก็พาโจวเจ๋อและเซวียเฉียวจือจากไปด้วยกัน
“เป็นปัญหาแล้ว!”
ชายชราในชุดหนังสัตว์กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ลือกันว่ากู้หยวนเชวียมีอุปนิสัยเย็นชาบ้าอำนาจอย่างยิ่ง ซ้ำยังอำมหิตไร้เมตตา ยามนี้เมื่อเขาร่วมมือกับกลุ่มยอดฝีมือ ถูกหมายหัวเข้าต้องเป็นปัญหามิรู้จบแน่!”
อวิ๋นฮว่าชิงกล่าว “เจ้ากลัวอันใด มีเซียนหงอวิ๋นอยู่ ขอเพียงกู้หยวนเชวียฉลาดสักนิด เขาก็มิกล้ากระทำตัวเพ้อเจ้อหรอก”
หลวงจีนเจ่ออิ่งกล่าวเบา ๆ “ที่รับมือยากคือ หากพวกเขาคิดร้ายกับสหายเต๋าซูอยู่แล้ว คงมิยอมถอยหรอก”
“สหายเต๋าซูกล่าวไว้ก่อนแล้วว่า หากพบปัญหาที่มิอาจแก้ เราต้องฟังคำเขาสั่ง และยามนี้ เจ้าว่าเราควรแก้ปัญหานี้เช่นไร?”
สตรีในชุดคลุมดำนามอวี่หนิงเบนคู่เนตรสีทองซีดมองมายังซูอี้
ทันทีที่วาจาถูกกล่าว สีหน้าของทุกผู้ก็แปรเปลี่ยนประหลาด
เห็นได้ชัดว่าอวี่หนิงยังคงขัดใจที่ต้องฟังคำสั่งซูอี้อยู่
ซูอี้เล่นกับหอคอยสำริดในมือ กล่าวอย่างหาสนใจไม่ “ปัญหาเล็กน้อยเช่นนี้ รับมือยากหรือ?”
ทุกผู้ “???”
นี่เรียกปัญหาเล็กน้อยหรือ?
ซูอี้ส่ายหน้ากล่าว “เอาเถอะ หากภายหน้าพวกเจ้าแก้มันไม่ได้ ก็ทำตามข้าสั่งก็พอ”
เซียนแท้ขอบเขตสุญตาทั้งหลายล้วนหดหู่ใจ แทบจะเดือดดาลกรุ่นโกรธ จากวาจาของซูอี้ ดูเหมือนเขาจะคิดว่าพวกตนไร้สามารถกระมัง!
ปราชญ์หงอวิ๋นกล่าวว่า “กู้หยวนเชวียไร้สิ่งใดให้พูดถึงจริง ๆ อย่าไปสนใจมากนักเลย”
เมื่อเห็นนางเอ่ยปาก ในที่สุดเหล่าผู้เฒ่าก็รั้งตนเอง มิได้สนใจวาจาที่ดูไร้พิษสงแต่แสนเหยียดหยามเหล่านั้นอีก
“ไก่โต้งเหล็ก ไฉนยังมิออกมาอีก?”
ซูอี้กล่าวกับหอคอยสำริดเบา ๆ
“มิกล้า”
เสียงของคนขายของเก่าดังออกมาจากในหอคอยสำริด “ข้ากลัวถูกหลอก หากเจ้าเป็นช่างเสื้อแสร้งทำตัวเป็นทัศนาจารย์ขึ้นมาเล่า? ถ้าเช่นนั้น ข้าซ่อนอยู่ในหอคอยนี้ดีกว่า”
“เว้นแต่เจ้าจะพิสูจน์ได้ว่าเจ้าคือทัศนาจารย์!”
“แน่นอน ไม่ใช่ว่าข้ามิเชื่อเจ้าหรอกนะ แต่เผื่อไว้ เพราะถึงอย่างไรไอ้แก่ชั่วช่างเสื้อก็เลวเกินไป ข้าเลยต้องคอยระวังเขา”
ซูอี้อดขำมิได้ นี่แหละคนขายของเก่า ยังคงขี้ระแวงอย่างคงเส้นคงวา ไม่ว่าจะเผชิญอุปสรรคใดเขาจึงรอดมาได้เสมอ
“ได้ ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังหลังออกจากเขตหวงห้ามดาราหยกแล้วกัน”
ซูอี้ว่า
อวิ๋นฮว่าชิงพลันโพล่งขึ้น “สหายเต๋าซู หอคอยนี่สุดยอดไปเลย เป็นสมบัติเซียนขอบเขตศักดิ์สิทธิ์ชัด ๆ!”
ดวงตาของเขาร้อนผ่าว จ้องมองเพียงหอคอยสำริด
สมบัติเซียนขอบเขตศักดิ์สิทธิ์นั้นถูกหล่อหลอมขึ้นโดยราชันเซียนขอบเขตศักดิ์สิทธิ์ บรรจุกฎเซียนศักดิ์สิทธิ์ อำนาจไร้ประมาณ
หากเป็นในโลกเซียน พวกมันก็ล้วนเป็นสมบัติเซียนชั้นหนึ่ง
ส่วนในแดนมนุษย์ทุกวันนี้ แทบหามิได้โดยสิ้นเชิง!
ไม่เพียงดวงตาของอวิ๋นฮว่าชิงจะร้อนผ่าว แต่ชายชราชุดหนังสัตว์ หลวงจีนเจ่ออิ่นและคนอื่น ๆ เองก็ประหลาดใจ มิอาจคาดได้ว่าสหายของซูอี้ไปได้สมบัติวิถีเซียนขอบเขตศักดิ์สิทธิ์นี้มาเช่นไร!
ช่างน่าอัศจรรย์!
“เจ้าอยากพูดอันใด?”
ซูอี้เหลือบมองอวิ๋นฮว่าชิง
อวิ๋นฮว่าชิงนิ่งไป ก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างระมัดระวังทันที “สหายเต๋าซูอย่าถือสาเลย ข้าคิดว่าหากฝากสมบัติชิ้นนี้ไว้กับพวกข้าก่อน ก็เท่ากับเพิ่มอาวุธสังหารยิ่งใหญ่มาหนึ่งชิ้น ต่อให้เราเผชิญศัตรูร้าย ก็ยังเพิ่มความมั่นใจได้น่ะ”
ก่อนซูอี้จะทันได้พูด ชายชราในชุดหนังสัตว์ก็กล่าวขึ้นก่อนอย่างไม่พอใจ “สมบัติชิ้นนี้เป็นของสหายของสหายเต๋าซู เจ้าจะเอ่ยขอเยี่ยงนี้ได้เช่นไร!”
เขากล่าวกับอวิ๋นฮว่าชิงว่า “มิสมควรจริง ๆ”
อวิ๋นฮว่าชิงกล่าวอย่างขุ่นเคือง “แม้ข้าจะอยากได้สมบัติชิ้นนี้จนตาลุก แต่ข้าก็หามีความคิดอยากช่วงชิงในใจไม่ แต่เป็นการทำเพื่อทุกผู้ต่างหาก ทำใจเย็น ๆ แล้วคิดดูสิ หากไม่ใช้สมบัติขอบเขตศักดิ์สิทธิ์นี้ มันจะมีความหมายอันใดกัน?”
หลังจากเว้นช่วงเล็กน้อย เขาก็กล่าวว่า “หากไม่เชื่อ จะให้เซียนหงอวิ๋นควบคุมสมบัตินี้ผู้เดียวก็ได้”
เซียนหงอวิ๋นส่ายหน้ากล่าว “ข้ามิต้องการมันหรอก”
อวิ๋นฮว่าชิง “…”
เขาทำได้เพียงชักสีหน้าเล็กน้อยแล้วลูบจมูก
ซูอี้หากล่าววาจาใดไม่แต่ต้นจนจบ
เขาจ้องมองอวิ๋นฮว่าชิงอย่างลึกล้ำ ก่อนจะกล่าวกับปราชญ์หงอวิ๋น “ไปจากที่นี่กันก่อนเถอะ”
“ได้”
ปราชญ์หงอวิ๋นพยักหน้า
คณะเดินทางเข้าสู่ภายในเขตหวงห้ามดาราหยกทันที
ระหว่างทาง อวิ๋นฮว่าชิงนิ่งเงียบอย่างมาก
ชายชราชุดหนังสัตว์ผู้มีนามว่าเป้าเหวินไท่หาหัวข้อสนทนากับซูอี้เป็นครั้งคราว การวางตนสนิทสนมใจดี
สตรีชุดคลุมดำอวี่หนิงซึ่งเห็นเรื่องทั้งหมดนี้อดลอบส่ายหน้ามิได้ เจ้าแก่เป้าเหวินไท่นี่น่าอายจริง ๆ ที่ไปผูกมิตรกับผู้น้อยเช่นนี้
และอวิ๋นฮว่าชิงซึ่งถูกซูอี้หมางเมินมาแต่แรกก็เอาแต่ยั่วยุอีกฝ่ายครั้งแล้วครั้งเล่า มิเบื่อบ้างหรือไร?
ทว่ากับหลวงจีนเจ่ออิ่นนั้น อวี่หนิงมองอีกฝ่ายแทบไม่ออก
นางหาคุ้นเคยกับเจ่ออิ่นไม่ แต่ก็เห็นได้ว่า หลวงจีนผู้หล่อเหลาเยี่ยงชายหนุ่มนี้ลึกล้ำเหนือชั้นกว่าอวิ๋นฮว่าชิงและเป้าเหวินไท่ยิ่ง!
ส่วนซูอี้… อวี่หนิงขมวดคิ้ว
นางฝึกฝนมานานแสนนาน แต่มิเคยพบพานผู้น้อยหยิ่งยโสเพียงนี้มาก่อน!
กล้าไม่มีเห็นอวิ๋นฮว่าชิงอยู่ในสายตา
กล้ายกความปลอดภัยของเจ่ออิ่นมาข่มขู่
กล้ายกข้อแม้ ให้เซียนแท้ขอบเขตสุญตาเหล่านี้ฟังคำสั่งแลกกับปลดคำสาป
บ้าดีแท้!
หากมิใช่เพราะสัจธรรมที่ปราชญ์หงอวิ๋นคุมสถานการณ์อยู่ล่ะก็ อวี่หนิงคงยั้งมือไว้ไม่อยู่ และล้างบางผู้น้อยผู้มิรู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำคนนี้ไปอย่างเหี้ยมโหดแล้ว!
“มีแต่หลวงจีนเจ่ออิ่นกับหงอวิ๋นเท่านั้นที่พึ่งพาได้”
อวี่หนิงครุ่นคิด “ส่วนซูอี้ อวิ๋นฮว่าชิง และเป้าเหวินไท่ต่างถ่วงแข้งถ่วงขาไม่ต่างกัน!”