บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1437: วายุพิรุณนั้นขับเคลื่อนโดยสายลมเสมอ
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 1437: วายุพิรุณนั้นขับเคลื่อนโดยสายลมเสมอ
ตอนที่ 1437: วายุพิรุณนั้นขับเคลื่อนโดยสายลมเสมอ
ฟ้าดินมืดหม่น ทิวทัศน์แร้นแค้นปรากฏเต็มสายตา
ยิ่งเข้าไปภายในเขตหวงห้ามดาราหยก ยิ่งอันตรายชวนสะพรึง
ภัยพิบัติประหลาดไม่อาจคาดเดาปรากฏขึ้นทุกแห่งหน
นอกจากนั้น อำนาจของอสนีบาตสีเลือดซึ่งปกคลุมทั่วท้องนภาก็ค่อย ๆ ทวีความแข็งแกร่ง
มันคืออำนาจซึ่งหลงเหลือจากหายนะ เปี่ยมด้วยปราณทำลายล้าง
กระทั่งเซียนแท้ขอบเขตสุญตาเหล่านั้นยังไม่กล้าสัมผัสพวกมันง่าย ๆ
เปรี๊ยะ!
อสนีบาตสีเลือดสายหนาเยี่ยงกิ่งไม้ใหญ่ร่วงลงหนาแน่น เจิดจรัสสาดแสง ผ่าสุญญะเป็นเส้นแหลกร้าว
ซูอี้ใช้เตาเสริมสวรรค์เข้าเผชิญหน้า
เมื่อแสงเซียนสีม่วงสาดบรรจบ อสนีบาตสีเลือดทั้งมวลเหนือนภาก็ถูกเก็บกัก
เตาเสริมสวรรค์สั่นรุนแรงราวกำลังร่ำไห้
ไม่ว่าผู้ใดก็เห็นว่า สมบัติเซียนลึกลับชิ้นนี้กำลังจะทนอำนาจอสนีบาตสีเลือดมากมายที่เก็บกักไว้ไม่ได้
ทว่าเมื่อเตาเสริมสวรรค์กลับสู่มือซูอี้ พลันนิ่งไป กระทั่งอสนีบาตสีเลือดที่พลุ่งพล่านในเตายังเงียบงัน
เห็นเช่นนี้ เหล่าเซียนแท้ขอบเขตสุญตาต่างตะลึง ไม่อาจคาดคิดได้เลยว่าผู้น้อยซึ่งเพิ่งก้าวสู่วิถีจุติสรวงเช่นซูอี้จะทำได้เช่นนี้
“สหายเต๋าซูพบปริศนาของหายนะนี้บ้างแล้วหรือไม่?”
ชายชราในชุดหนังสัตว์กล่าวยิ้ม ๆ
ซูอี้ครุ่นคิดสักพัก และกล่าวว่า “ข้ายังทำไม่ได้ในยามนี้ แต่ภายหน้าข้าทำได้แน่”
ทุกผู้พลันสิ้นสนใจ หยุดตั้งใจฟัง
ต้องทราบว่าอำนาจหายนะนี้กวาดไปทั่วโลกหล้าในสมัยโบราณ ไม่อาจทราบได้ว่ามีตัวตนวิถีเซียนอันเลอเลิศมากมายเพียงไรพยายามสืบปริศนาของหายนะเช่นนี้
ทว่าพวกเขาล้วนล้มเหลว ไร้ข้อยกเว้น
ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เชื่อหรอกว่าผู้น้อยขอบเขตจิตทารกจะแก้ปริศนาได้
“หงอวิ๋น อีกไม่นานเราจะไปถึงแดนหมื่นเร้นแล้ว ต้องเตรียมการไว้ก่อนสักหน่อยหรือไม่?”
สตรีในชุดคลุมดำพล่าวขึ้นกะทันหัน “ข้าแน่ใจว่าเซี่ยวฉางหนิงนำข่าวการมาถึงของเราไปป่าวประกาศแล้ว เมื่อเราไปถึงแดนหมื่นเร้น น่าจะได้เผชิญแผนสังหารจากศัตรูทันที!”
ทันทีที่วาจาถูกกล่าว หัวใจของทุกผู้ก็นิ่งค้าง
ปราชญ์หงอวิ๋นหันไปกล่าวกับซูอี้ว่า “สหายเต๋าซูคิดเช่นไร?”
ทุกผู้สิ้นวาจาในบัดดล ไฉนเรื่องใหญ่เช่นนี้ต้องขอความเห็นจากผู้น้อยด้วย?
ซูอี้กำลังดื่มสุรา และเมื่อได้ยินเช่นนี้ เขาก็กล่าวอย่างไม่แยแส “เว้นแต่จะเกิดเหตุไม่คาดฝันเกินคาดคิด ทุกกลอุบายย่อมไร้ค่าต่อหน้าความแข็งแกร่งอันแท้จริง”
ปราชญ์หงอวิ๋นพยักหน้า “ข้าก็คิดเช่นนั้น”
ทุกผู้เงียบไป
ในเมื่อปราชญ์หงอวิ๋นยังกล่าวเช่นนั้น พวกเขาก็ไร้โอกาสให้โต้แย้ง
…
สองเค่อต่อมา
แสงสว่างเจิดจ้าปรากฏขึ้นบนฟ้าดิน
เมื่อมองดี ๆ ก็พบว่าเป็นกลุ่มหมอกหนาปกคลุมทั่วนภา
รุ้งทิพย์เจิดจรัสนับไม่ถ้วนอัดแน่นอยู่ภายในทะเลหมอกดุจสายฟ้าจรัสแสงทอประกายวูบไหว
ย้อมหมอกกลุ่มนั้นเป็นสีสันตระการตา
แดนหมื่นเร้น!
นับแต่ยุคสิ้นกฎเกณฑ์ ที่แห่งนี้ถูกเซียนทั้งหลายถือว่าเป็นที่ตั้งของสถานที่ลึกลับสำหรับหลบหนีหายนะ และคาดว่าจะมี ‘ทางรอด’ อันแท้จริงอยู่
โชคร้ายที่ไร้ผู้ใดหาปริศนาของแดนหมื่นเร้นแห่งนี้พบ
และไร้ผู้ใดพบ ‘ทางรอด’ นั่น
ทั้งหมดนี้ยังทำให้แดนหมื่นเร้นยิ่งทวีความเร้นลับ
และยังมีข่าวลือว่าที่มาแห่งหายนะนั่นก็น่าจะมาจากแดนหมื่นเร้นด้วยเช่นกัน!
ณ ยุคสิ้นกฎเกณฑ์ มีผู้ทรงอำนาจในวิถีเซียนมาสืบค้นในแดนหมื่นเร้นและพบกับแท่นศิลาลึกลับเกินเข้าใจแท่นหนึ่ง
แท่นศิลานั้นปกคลุมด้วยปราณคำสาปสวรรค์ห้าม ซึ่งเหมือนกับปราณของหายนะสิ้นกฎเกณฑ์!
จนกระทั่งในภายหลัง เมื่อเซียนผู้หนึ่งซึ่งกลายเป็นวิญญาณอาสัญไปแล้วออกสืบเสาะ เขาก็พบว่าปราณคำสาปบนแท่นศิลาประหลาดนั่นเหมือนกับอำนาจคำสาปบนร่างวิญญาณอาสัญไม่มีผิด!
ต้องทราบว่าอำนาจคำสาปในร่างวิญญาณอาสัญนั้นมาจากหายนะ
และในแดนหมื่นเร้น ท่ามกลางทะเลหมอกกว้างไกลกลับมีปราณคำสาปแบบเดียวกันเต็มไปหมด!
เหตุที่ปราชญ์หงอวิ๋นเชิญซูอี้ให้ตามมาหนนี้ก็เพราะอำนาจวัฏสงสารของซูอี้สามารถปัดเป่าอำนาจคำสาปบนร่างวิญญาณอาสัญได้!
แน่นอนว่า จุดประสงค์ที่แท้จริงของพวกปราชญ์หงอวิ๋นในการมาเยือนยามนี้ก็เพื่อหาโอกาสอันสามารถสนองความต้องการฝึกตนได้
หากพบ ‘ทางรอด’ นั่นได้ยิ่งดี!
“นั่นคือแดนหมื่นเร้น สำหรับพวกข้า มันก็เหมือนที่มาแห่งหายนะ แดนหมื่นหายนะมากกว่า!”
“ทว่าโชคเคราะห์นั้นอาศัยกัน และที่แห่งนี้ก็น่าจะซุกซ่อนมหาสมบัติที่สามารถสนองความต้องการของพวกเราได้!”
ดวงตาของอวิ๋นฮว่าชิงร้อนรุ่ม สีหน้าเปี่ยมความถวิลหา และยังเจือความกลัวอันมิอาจปิดบัง
ปราณในแดนมนุษย์นั้นเป็นเช่นสระน้ำแห้งในสายตาพวกเขา อย่าว่าแต่ฝึกฝน แค่คงขอบเขตของพวกตนไว้ยังลำบาก!
หากไม่สามารถหาทรัพยากรฝึกฝนได้เพียงพอ ยิ่งเวลาผ่านไป ขอบเขตฝึกฝนของพวกเขาก็ยิ่งลดทอนจนกว่าจะตายไป
“มิคิดเลยว่าพวกเจ้าจะกล้ามากันจริง ๆ!”
หนึ่งเสียงเย้ยเยาะดังขึ้น
ที่รอบนอกของแดนหมื่นเร้น ร่างหนึ่งทะยานออกมา
นั่นคือเซี่ยวฉางหนิง!
ทันใดจากนั้น แดนดินใกล้เคียงก็ปรากฏร่างแล้วร่างเล่าขึ้นตามติด
พวกเขามีสิบกว่าคน
ในหมู่พวกเขารวมถึงโจวเจ๋อและเซวียเฉียวจือด้วย
หลังจากปรากฏกาย พวกเขาและเซี่ยวฉางหนิงก็เป็นเช่นดาวล้อมเดือน ยืนรวมกันเบื้องหลังชายในอาภรณ์นักพรตเต๋ากรุยกราย ร่างสูงใหญ่ทรงพลังผู้หนึ่ง
ชายผู้นั้นขมวดผมเป็นมวยบนศีรษะ ใบหน้ากระจ่างหล่อเหลา คู่ดาบวิถีเสียบในฝักห้อยข้างเอว กิริยาสง่าเยี่ยงเทพ!
ในม่านตาของเขามีสายฟ้าสีเขียววูบไหว ร้ายกาจเกินใดเทียบ
เมื่อมีเซี่ยวฉางหนิงและเซียนแท้ขอบเขตสุญตาอีกสิบกว่าคนอยู่เบื้องหลัง ฐานะของชายในอาภรณ์กรุยกรายคนนี้ก็ยิ่งดูสูงส่ง
กู้หยวนเชวีย!
บุตรศักดิ์สิทธิ์จากภูเขาคังหมิง ขุมกำลังสูงสุดแห่งโลกเซียน!
เมื่อเห็นการจัดกลุ่มของอีกฝ่ายจากไกล ๆ อวิ๋นฮว่าชิงก็อดอ้าปากค้างมิได้
ดวงตาของเป้าเหวินไท่หรี่ลง
หลวงจีนเจ่ออิ่นและอวี่หนิงก็แสดงสีหน้าเคร่งขรึม
ว่าแล้วเชียว พวกกู้หยวนเชวียรออยู่นานแล้ว!
“พี่กู้ นั่นคือซูอี้ผู้ครอบครองอำนาจวัฏสงสาร!”
เซี่ยวฉางหนิงชี้ไปยังซูอี้จากระยะไกล สีหน้าเย็นชาแสนเคียดแค้น “ก่อนหน้านี้ สมบัติเซียนขอบเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ข้าได้มาก็อยู่ในมือคนผู้นี้เช่นกัน!”
พรึ่บ!
ทันใดนั้น สายตาของเซียนแท้ขอบเขตสุญตาสิบกว่าคนจากฝั่งตรงข้ามต่างก็มองมายังซูอี้ สีหน้าร้อนเร่าอย่างมิอาจปิดบัง
ดุจผู้ล่าที่หมายตาเหยื่ออันเย้ายวนเหนืออื่นใด!
ฟ้าดินเปี่ยมด้วยจิตสังหาร บรรยากาศมืดหม่นหดหู่
บุตรศักดิ์สิทธิ์กู้หยวนเชวียแห่งภูเขาคังหมิงมองซูอี้ ก่อนจะเบนสายตาไปที่ปราชญ์หงอวิ๋น
เขาคำนับพร้อมด้วยรอยยิ้ม “เซียนหงอวิ๋น มิได้พบกันเสียนาน”
ปราชญ์หงอวิ๋นกล่าวอย่างเยือกเย็น “ข้ามิได้สนิทสนมกับเจ้า”
กู้หยวนเชวียกล่าวเนิบ ๆ “ในโลกเซียน แม้จะมีผู้คนมากมายรู้กิตติศัพท์ของท่านเซียน แต่น้อยนักจะรู้ที่มาของท่านเซียน”
“คนแซ่กู้เคยได้ยินผู้อาวุโสในสำนักเล่าลือกันว่าฐานะของท่านเซียนหาธรรมดาไม่ และเคยปรากฏตัวในงานเลี้ยงลูกท้อศาลเซียนรวมศูนย์ในโถงเซียนสระมรกต”
“นอกจากนั้น ผู้อาวุโสสำนักข้ายังเคยเห็นท่านเซียนมาปรากฏใน ‘งานเลี้ยงราตรีจอมเซียน’ ที่หุบเขาปู้โจวอีกด้วย”
“น่าเสียดายที่เหล่าผู้อาวุโสซึ่งข้าส่งไปไม่อาจหาที่มาของท่านเซียนได้ แต่ทั้งหมดนี้ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าตัวตนของท่านเซียนสูงส่งเพียงไร”
กล่าวถึงตรงนี้ กู้หยวนเชวียก็อดถอนหายใจมิได้
รอบข้างเงียบสนิท
ไม่ว่าจะเป็นเหล่าเซียนฝั่งกู้หยวนเชวียหรือพวกอวิ๋นฮว่าชิงล้วนตะลึงงัน
ทุกผู้เพิ่งได้รู้ว่าปราชญ์หงอวิ๋นเคยเข้าร่วมงานเลี้ยงลูกท้อ และเข้าไปในโถงเซียนสระมรกด!
ต้องทราบว่างานเลี้ยงลูกท้อของศาลเซียนรวมศูนย์นั้นจัดขึ้นทุกพันปี และตัวตนผู้ได้รับเชิญล้วนแต่เป็นผู้ทรงอำนาจเรียกลมเรียกฝนในวิถีเซียน!
นอกจากนั้น หากไม่ใช่ตัวตนที่ศาลเซียนรวมศูนย์ยอมรับ ก็มีเพียงตัวตนระดับราชันเซียนขึ้นไปเท่านั้นที่เข้าร่วมงานเลี้ยงในโถงเซียนสระมรกตได้!
ทว่า ‘งานเลี้ยงราตรีจอมเซียน’ ที่หุบเขาปู้โจวนั้นพิเศษยิ่งกว่า มันเป็นงานเลี้ยงที่มีเพียงจอมเซียนขอบเขตอัศจรรย์เท่านั้นที่เข้าร่วมได้
จากข่าวลือ จอมเซียนขอบเขตอัศจรรย์แต่ละคนนั้นนำผู้น้อยเข้าร่วมงานเลี้ยงได้เพียงสองคน
แต่ไม่ว่าจะเป็นงานเลี้ยงลูกท้อหรืองานเลี้ยงราตรีจอมเซียน เซียนหงอวิ๋นล้วนแต่ไปมาแล้วทั้งสิ้น ใครเล่าจะไม่ตกใจกับเรื่องนี้?
“ข้ามิคิดเลยจริง ๆ ว่าเซียนหงอวิ๋นจะเป็นตัวตนเกินธรรมดาเพียงนี้…”
อวิ๋นฮว่าชิงตื่นตะลึง มองปราชญ์หงอวิ๋นด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป
มิใช่เพียงเขา แต่พวกเป้าเหวินไท่เองก็เช่นกัน
ก่อนหน้านี้ พวกเขาไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน!
ชั่วขณะนั้น มีเพียงซูอี้ที่ยืนมือไพล่หลัง สีหน้าเฉยชาเยี่ยงกาลก่อน
หลังจากรวมความทรงจำกับชาติที่หก หากเขามองตัวตนของปราชญ์หงอวิ๋นมิออกก็คงแปลกแล้ว
“นั่นเป็นเรื่องในอดีตเท่านั้น”
น้ำเสียงของปราชญ์หงอวิ๋นเบาหวิว “เจ้าพาคนมาขวางที่นี่ไว้ คงมิใช่เพื่อพูดคุยเล็กน้อยกระมัง?”
กู้หยวนเชวียถอนใจกล่าว “ถูกต้อง ทั้งหมดล้วนแต่เป็นเรื่องเก่าก่อน และในยุคสิ้นกฎเกณฑ์ ศาลเซียนรวมศูนย์ก็พังทลายจากหายนะ สลายไปท่ามกลางธารประวัติศาสตร์สายยาวแล้ว”
“วายุพิรุณนั้นขับเคลื่อนโดยสายลมเสมอ!”
กล่าวถึงตรงนี้ กู้หยวนเชวียก็เปลี่ยนประเด็น สายตาจับจ้องปราชญ์หงอวิ๋นจากไกล ๆ “ท่านเซียน สหายผู้ฝึกตนเหล่านี้ที่มาประชุม มีผู้ใดบ้างมิใช่ผู้เคราะห์ร้ายต้องเป็นวิญญาณอาสัญ?”
“กาลเวลาแปรเปลี่ยน เหตุที่คนแซ่กู้พูดเยอะนักก็แค่เพื่อบอกท่านเซียนว่าวันนี้ ที่นี่ ข้าหมายมาดจะรับอำนาจวัฏสงสาร และหวังว่าท่านเซียนจะสงเคราะห์ให้!”
น้ำเสียงของกู้หยวนเชวียสนั่นลั่น ขึงขังมั่นใจ เผยอำนาจกดดันมหาศาล
“นอกจากนั้น ข้ายังขอให้ท่านเซียนคืนสมบัติวิถีเซียนขอบเขตศักดิ์สิทธิ์นั้นมาด้วย และคนแซ่กู้สัญญาว่าขอเพียงท่านตอบรับสองคำขอนี้ ข้าจะไม่มีวันเป็นศัตรูกับท่านเซียนในแดนหมื่นเร้นนี่!”
ทันทีที่วาจาถูกกล่าว เซี่ยวฉางหนิงและคณะล้วนหันมองเซียนหงอวิ๋นเป็นตาเดียว
ตลอดมา ไม่มีผู้ใดฝั่งกู้หยวนเชวียสนใจซูอี้ เมินการมีอยู่ของเขาไปเสียสนิท
บรรยากาศกดดันเงียบสงัด
คมดาบสองฝ่ายจ่อเข้าหากัน
อวิ๋นฮว่าชิงและคณะดูเคร่งขรึมยิ่งกว่าหนใด แรงกดดันทวีคูณอย่างรุนแรง
การจัดกลุ่มของศัตรูแข็งแกร่งเกินไป วิญญาณอาสัญวิถีเซียนขอบเขตสุญตาสิบหกตน และผู้นำยังเป็นคนเหี้ยมโหดอย่างกู้หยวนเชวียด้วย!
ส่วนปราชญ์หงอวิ๋นยังคงเฉยชามิแปรเปลี่ยน ราวกับหาตระหนักรู้ไม่
นางกล่าวกับซูอี้ที่ข้างกาย “ข้าว่าเราควรลงมือตรง ๆ สหายเต๋าคิดเช่นไร?”
ซูอี้พยักหน้ากล่าว “ก็ควรเป็นเช่นนี้ตั้งนานแล้ว ในเมื่อเป็นศัตรู ก็ฆ่าเสีย มิเห็นต้องเปลืองน้ำลายเลย”
อวิ๋นฮว่าชิงและคณะล้วนตะลึงในใจ นี่จะเปิดศึกกันแล้วหรือ!?
กู้หยวนเชวีย เซี่ยวฉางหนิงและคณะจากไกล ๆ เองก็ผงะ มิอาจเชื่อลงว่าปราชญ์หงอวิ๋นจะตัดสินใจง่ายเพียงนี้
และไม่คิดเลยว่ากระทั่งผู้น้อยอย่างซูอี้ยังเย่อหยิ่งเพียงนี้!