บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1438: หนอนบ่อนไส้
ตอนที่ 1438: หนอนบ่อนไส้
บรรยากาศเคร่งเครียดกดดัน
ฝักดาบเกรอะสนิมด่างดำฝักหนึ่งปรากฏขึ้นในมือขวาของปราชญ์หงอวิ๋นอย่างเงียบเชียบ
เมื่อเห็นเช่นนี้ สตรีชุดดำอวี่หนิงก็อดพูดมิได้ “หงอวิ๋น ก่อนเริ่มลงมือ ขอข้าพูดหน่อยสิ”
นางจ้องมองไปทางซูอี้และกล่าวว่า “สหายเต๋าซู ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่านี่เป็นเพียงปัญหาเล็กน้อย หากแก้มิได้ก็ให้ฟังคำสั่งเจ้า แต่ตอนนี้เจ้ากลับกระทำเช่นนี้หรือ?”
“กล่าวตามตรง ข้าทนเจ้ามาตลอด! และผิดหวังในตัวเจ้าจริง ๆ!”
กล่าวจบ อวี่หนิงก็หันไปกล่าวกับปราชญ์หงอวิ๋นโดยไม่มองซูอี้อีก “ข้าพูดจบแล้ว ศึกต่อจากนี้นับรวมข้าได้!”
ตู้ม!
หอกศึกสีดำสนิทปรากฏขึ้นในมือของนาง บรรยากาศรอบกายแปรเปลี่ยนเป็นดุร้ายคุกคาม
ซูอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย หากล่าววาจาใดไม่
“เซียนหงอวิ๋น ข้าไม่อยากเป็นศัตรูกับท่านจึงยอมพูดเกลี้ยกล่อม แต่ในเมื่อเจ้ามิรู้จักผ่อนรับผ่อนสู้ คิดจริง ๆ หรือว่าข้าจะกลัวเจ้าจนมือไม้สั่น?”
สีหน้าของกู้หยวนเชวียซึ่งอยู่ห่างออกไปถมึงทึง ดวงตาดุร้ายวาวโรจน์
ปราชญ์หงอวิ๋นหันไปกล่าวกับพวกซูอี้ “พวกเจ้ารอดูก่อน”
ยังมิทันสิ้นคำ ร่างอรชรของนางก็หายวับไป
อึดใจต่อมา นางก็มาอยู่ใต้ท้องนภาแสนไกล ฟาดฟันฝักดาบสีดำเข้าใส่กู้หยวนเชวีย
เรียบง่ายเฉียบคม ทว่าทรงพลังถึงขีดสุด!
สีหน้าของกู้หยวนเชวียมืดดำ สิ้นความลังเล
ตู้ม! ตู้ม!
เขาชักดาบที่เอวออกมาเข้าสู้
ปราณดาบคลั่งโหมทะยานเยี่ยงกระทิงเดือด เผยอำนาจดุดันไร้ขอบเขต
ทว่าเพียงพริบตา เสียงกัมปนาทก็ดังก้อง แม้กู้หยวนเชวียจะหยุดการโจมตีนี้ได้ เขาก็ถูกผลักกระเด็น
ม่านตาของเขาพลันหดตัว
และก่อนจะทันตั้งหลักได้ ปราชญ์หงอวิ๋นก็ลงมือโจมตีซ้ำ
ฝักดาบสีดำส่งแสงวิถีทมิฬทะยานเวหา ผ่าแยกแดนดิน ทำให้การโจมตีของนางดูทรงพลังและตรงไปตรงมา
“ฮึ! ข้าก็คาดไว้แล้วว่าเจ้าไม่ใช่เซียนแท้ขอบเขตสุญตา มีหรือจะมิเตรียมตัวมาก่อน?”
กู้หยวนเชวียยิ้มเยาะ
ร่างของเขาโผทะยาน
ตู้ม!
อำนาจร้ายกาจปรากฏขึ้นบนร่างของกู้หยวนเชวีย ทำให้พลังของเขาไต่ระดับทะยานเวหา
“อำนาจต่อสู้ขั้นสมบูรณ์ในขอบเขตสุญตา! เป็นไปได้อย่างไร?”
อวิ๋นฮว่าชิงตื่นตะลึง
ผู้เฒ่าเหล่านี้ล้วนเป็นเซียนแท้ในขอบเขตสุญตาขั้นสมบูรณ์ก่อนสิ้นลม แต่หลังจากกลายเป็นวิญญาณอาสัญ ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็อยู่เพียงขอบเขตสุญตาขั้นต้นเท่านั้น
มิเพียงพวกเขา แต่กระทั่งศัตรูอย่างเซี่ยวฉางหนิงกับโจวเจ๋อก็ด้วย
ไม่มีผู้ใดคงอำนาจต่อสู้ยามมีชีวิตสมบูรณ์พร้อมไว้ได้อีก
แต่ใครเล่าจะคิดว่ากู้หยวนเชวียจะทำได้!
ขั้นต้นและขั้นสมบูรณ์ของขอบเขตสุญตานั้นแตกต่างกันมากกว่าหนึ่งขั้น!
สิ่งนี้ก็ทำให้ผู้อื่นตื่นตกใจด้วยเช่นกัน
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!
กู้หยวนเชวียภายใต้ท้องนภาตวัดดาบคู่ หยุดการโจมตีของปราชญ์หงอวิ๋น ต่อสู้ฟาดฟันดุเดือด
เขาคือบุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาคังหมิง ดาบคู่ในมือของเขาเป็นยอดสมบัติวิถีเซียน และด้วยอำนาจขอบเขตสุญตาขั้นสมบูรณ์ เขาในยามนี้จึงเผยอำนาจร้ายกาจเกินคาดเดา
ทว่าสิ่งที่ทำให้ทุกผู้รู้สึกเหลือเชื่อก็คือ กู้หยวนเชวียมิเพียงไม่อาจหยุดปราชญ์หงอวิ๋นไว้ได้ แต่นางยังคืนความได้เปรียบภายในไม่กี่อึดใจ และปราบการโจมตีของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า!!!
“นี่…”
หัวใจทุกผู้สะท้านสั่น
ไร้ผู้ใดคาดคิดว่าปราชญ์หงอวิ๋นจะทรงพลังเพียงนี้!
เปรี้ยง!!!
แดนดินแหลกร้าว
หนึ่งปราณดาบแหวกเวหา กระแทกร่างกู้หยวนเชวียกระเด็น
“ว่าแล้วเชียว เจ้าต้องเป็นราชันเซียนขอบเขตศักดิ์สิทธิ์มาก่อนตาย! หาไม่ มีหรือจะครองอำนาจเช่นนี้!”
สีหน้าของกู้หยวนเชวียมืดหม่น
แม้เขาจะกระเด็นไป แต่กลับมิได้ลนลานเลย
ปราชญ์หงอวิ๋นไม่ได้ใส่ใจ
หรือก็คือ หลังจากลงมือ นางก็คร้านเกินกว่าจะเอ่ยวาจาใด!
“ทำตามแผน!”
กู้หยวนเชวียตะโกนลั่น
ทันใดนั้น เซียนแท้ขอบเขตสุญตาสิบสองตนในพื้นที่ใกล้เคียงก็พุ่งออกมา แต่ละตนถือธงสีเหลืองส้ม ก่อเป็นค่ายกลศึกขึ้น
ตู้ม!
รัศมีเซียนพร่างพราย ธงสีเหลืองส้มทั้งสิบสองผืนแผ่อำนาจวิถีเซียนเยี่ยงคลื่นคลั่งกลางทะเลเดือด ปกคลุมทั่วฟ้าดินแถบนี้ไว้
ค่ายกลศึกจิตเซียนเถลิงสรวง!
หนึ่งในมหาค่ายกลพิทักษ์ภูเขาคังหมิง
และยามกู้หยวนเชวียสะบัดดาบคู่ เขาก็ดึงอำนาจค่ายกลศึกนี้มาใช้ตามใจ ทำให้อำนาจต่อสู้ของเขาทวีคูณ
ตู้ม!
เพียงหนึ่งการโจมตี ปราชญ์หงอวิ๋นก็ถูกกระแทกจนเซถอย คิ้วของนางขมวดเข้าหากันอย่างช่วยมิได้
“ฮ่า ๆๆ ต่อให้เจ้าจะมีภูมิหลังพิเศษ อำนาจยิ่งใหญ่เช่นไร ก็แพ้พ่ายต่อแผนข้าอยู่ดี!”
กู้หยวนเชวียเชิดหน้าหัวเราะลั่นนภา ท่าทีเปิดเผย ฟาดฟันดาบเข้าสังหาร
และเซียนแท้ขอบเขตสุญตาทั้งสิบสองก็เดินค่ายกลศึกเต็มกำลังเพื่อสนับสนุนกู้หยวนเชวีย
ชั่วขณะนั้น ปราชญ์หงอวิ๋นถูกล้อมโจมตีจากทุกทิศทาง
อวิ๋นฮว่าชิง อวี่หนิง และคณะซึ่งอยู่ไกลออกไปล้วนประหลาดใจ หัวใจบีบรัดจนหน้าเปลี่ยนสี
“ข้ารอต่อมิได้แล้ว ไปสู้กับพวกเขาด้วยกันเถอะ!”
อวี่หนิงกำลังจะเข้าช่วย ทว่าซูอี้หยุดนางไว้
“อย่าลนลาน ศึกเพิ่งเริ่มเท่านั้น”
สายตาของซูอี้ลึกล้ำและสุขุมดุจบ่อน้ำโบราณไร้คลื่นกระเพื่อม
อวี่หนิงกล่าวอย่างโกรธเคือง “แล้วจะให้เฝ้ามองไปอีกนานแค่ไหน? เสียทีที่หงอวิ๋นให้ความสำคัญกับเจ้าไว้สูงมาก เจ้ากลับตาขาวยิ่งเช่นนี้ ถอยไปให้พ้นทาง!”
ซูอี้ว่า “อย่าลืมว่าเจ้ารับปากฟังคำข้าแล้ว”
ใบหน้าของอวี่หนิงเดี๋ยวซีดเดี๋ยวคล้ำไปชั่วขณะ โกรธเสียจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“พวกนั้นมาแล้ว!”
หลวงจีนเจ่ออิ่นกล่าวเสียงเบา
ภายใต้ท้องนภาที่ห่างออกไป เซี่ยวฉางหนิง โจวเจ๋อ และเซวียเฉียวจือกำลังเดินมาทางนี้
“คนแซ่ซู ยังอยากดูละครต่ออีกหรือไม่?”
อวี่หนิงกล่าวอย่างเดือดดาล
ซูอี้ว่า “ก็แค่สามผู้มิรู้จักรักษาชีวิต อย่าใส่ใจเลย”
อวี่หนิง “???”
นางโกรธเสียจนอยากขย้ำซูอี้ให้ตายเหลือเกิน ศัตรูมาโจมตีถึงที่ ยัง… ไม่สนใจอีกหรือ!?
ตู้ม!
โจวเจ๋อกับเซวียเฉียวจือร่วมมือนำโจมตี
อวี่หนิงไม่อาจสำรวมได้อีก นางตวัดหอกศึกสีดำในมือทะยานเข้าหา ต่อสู้กับคนทั้งสองอย่างดุเดือด
ยามนั้นเอง เซี่ยวฉางหนิงพลันตะโกนขึ้น “อวิ๋นฮว่าชิง ยังอยู่นิ่งไม่ฉวยโอกาสนี้ไปจับซูอี้นั่นอีกหรือ?”
ร่างอรชรของอวี่หนิงชะงัก นี่หมายความว่าอวิ๋นฮว่าชิงเป็นหนอนบ่อนไส้หรือ!?
“สมเป็นเจ้าอวิ๋นฮว่าชิง มิน่าเล่า เจ้าจึงเอาแต่ตั้งแง่กับสหายเต๋าซูตลอด ที่แท้เจ้าก็ซ่อนเจตนาร้ายไว้!”
เป้าเหวินไท่เดือดดาล สีหน้าบูดบึ้ง
เขากล่าวพลางพุ่งมาปกป้องซูอี้ทันที
“เป็นไอ้เฒ่าชั่วช้าเสียนี่กระไร!”
หลวงจีนเจ่ออิ่นตรงไปตรงมายิ่งกว่า เขาใช้ประคำในมือโจมตีอวิ๋นฮว่าชิงทันที
อวิ๋นฮว่าชิงผงะ ใบหน้าแดงก่ำตะโกนลั่น “ใครมันอยู่ฝั่งพวกแกไม่ทราบ? อย่าถูกหลอกนะ!!”
ตู้ม!
เจ่ออิ่นหาฟังไม่ ดวงตาของเขาเย็นชา ใช้ประคำถล่มโจมตี
ขณะเดียวกัน เซี่ยวฉางหนิงก็โจมตีซูอี้ทันควัน
“ไอ้หนู ยามนี้เซียนหงอวิ๋นปกป้องเจ้าไม่ได้แล้วนะ”
เซี่ยวฉางหนิงหัวเราะ
เขานั้นแสนหยิ่งผยอง ดวงตาคุโชนทะยานเวหา
“ไป!”
สีหน้าของเป้าเหวินไท่แปรเปลี่ยนอย่างมหันต์ คว้าแขนซูอี้ทะยานไปไกล
เพียงไม่กี่อึดใจ เป้าเหวินไท่ก็พาซูอี้หนีจากสมรภูมิ
เซี่ยวฉางหนิงไล่ตามมาติด ๆ
“เอาล่ะ ที่นี่ไม่มีใครแล้ว วางไอ้หนูนั่นลงได้”
ทันใดนั้น เสียงของเซี่ยวฉางหนิงก็ดังมาจากเบื้องหลัง
เป้าเหวินไท่ผู้คว้าแขนซูอี้พลันชะงัก กล่าวด้วยรอยยิ้มหวาน “สหายเต๋าซู ล่วงเกินแล้ว”
เขากล่าวพลางออกแรงบีบมือที่คว้าแขนซูอี้อยู่
ตู้ม!
ซูอี้เป็นอัมพาตทั่วร่างไปในทันที
“ว่าแล้วเชียว หนอนบ่อนไส้ตัวจริงคือเจ้า”
สายตาของซูอี้สุขุมเยือกเย็น
เป้าเหวินไท่ประหลาดใจ “เจ้ารู้อยู่ก่อนหรือ?”
ซูอี้พยักหน้า แล้วกล่าวอย่างเยือกเย็น “ข้าเห็นตั้งแต่อยู่นอกเขตหวงห้ามดาราหยกแล้วว่าเจ้าเจตนาร้าย แต่ยามนั้นข้าไม่รู้ว่าอวิ๋นฮว่าชิงเป็นพวกเดียวกับเจ้าหรือไม่ ข้าจึงมิได้แหวกหญ้าให้งูตื่น ตั้งใจจะรอดูว่าเจ้าเตรียมลูกไม้ใดไว้”
เป้าเหวินไท่ดูยากคาดเดา ก่อนจะยิ้มทันที “น่าเสียดายที่เจ้าไร้โอกาสให้ขัดขืน!”
ขณะนั้น เซี่ยวฉางหนิงก็เดินทอดน่องเข้ามา พร้อมเอ่ยสั่ง “เฒ่าเป้า เจ้าพาเด็กนั่นไปรอที่เดิมก่อน หลังจากข้ากลับไปจัดการพวกเขาเสร็จจะกลับมาหาเจ้า”
“ได้!”
เป้าเหวินไท่รับปาก
ซูอี้พลันกล่าวขึ้น “ดูเหมือนว่าพวกกู้หยวนเชวียจะถูกพวกเจ้าหลอกใช้เช่นกัน”
เซี่ยวฉางหนิงอดหัวเราะมิได้ “สายตาดีนี่! หากมิใช่พวกกู้หยวนเชวียหยุดเซียนหงอวิ๋นไว้ ข้าจะมีโอกาสจัดการกับเจ้าหรือ?”
เขาโบกมือ “เฒ่าเป้ารีบไปเถอะ จำไว้ว่าอย่าทำร้ายไอ้หนูนี่ เรายังต้องการอำนาจวัฏสงสารในร่างเขาอยู๋”
กล่าวจบ เขาก็หันหลังจากไป
“ช้าก่อนสิ การแสดงดี ๆ น่ะเพิ่งเริ่มต่างหาก… จะรีบร้อนไปไหนกัน?”
น้ำเสียงของซูอี้ดังขึ้นอย่างเฉยชา
เซี่ยวฉางหนิงตกตะลึง ก่อนจะกล่าวขึ้นพร้อมกับแย้มยิ้ม “การแสดงดี ๆ? เจ้าหมายความเช่นไร? เจ้าคง… มิอาจพลิกสถานการณ์ได้กระมัง?”
“รอดูเถอะ”
ซูอี้ผู้กลายเป็นเชลยในกำมือพลันยกมือขึ้นคว้าคอเป้าเหวินไท่ไว้!
“เจ้า…”
เป้าเหวินไท่ตะลึง
เขาเป็นเซียนแท้ขอบเขตสุญตา และยามจับตัวซูอี้ก็จองจำร่างของซูอี้เอาไว้แล้ว
มีหรือจะคิดว่าตนจะกลายเป็นเชลยเสียเองในพริบตา?
เป้าเหวินไท่ดิ้นรน พยายามขัดขืนเต็มที่
ทว่าอำนาจทรงพลังร้ายกาจที่แฝงด้วยปราณวัฏสงสารได้แผ่ออกมาจากปลายนิ้วของซูอี้ ทำให้ร่างกายของเขาเสียหายอย่างหนักหน่วง
เปรี้ยง!
ร่างของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลดุจประทัดระเบิดใส่ คอของเขาอยู่ในกำมือซูอี้ ไร้โอกาสกระทั่งจะกรีดร้อง ใบหน้าบิดเบี้ยวอัปลักษณ์ สุดแสนรวดร้าว
ขณะเดียวกัน ซูอี้ก็ใช้อีกมือดึงปิ่นไม้สีดำออกมาจากเส้นผมของป๋อเหวินไท่
“ปิ่นไม้นี่แหละที่เผยตัวตนของเจ้า”
ซูอี้วาดปลายนิ้ว เปลือกนอกของปิ่นไม้สีดำกะเทาะออก เผยเข็มทองเรียวบางที่ซุกซ่อนอยู่
“สมบัติลับเฉพาะประจำ ‘ศาลาเซียนวารีโสม’ จากทวีปเซียนขจีนิรันดร์ ‘เข็มสัมพันธ์บุตรมารดา’ สมบัติเหล่านี้แยกเป็นคู่บุตรมารดา ส่งข่าวถึงกันได้โดยหลบซ่อนจากสายตาราชันเซียน ซุกซ่อนและแปรเปลี่ยนปราณของพวกมันเองได้ หายากยิ่งนัก กระทั่งในโลกเซียนยังยากจะมองสิ่งนี้ออก”
ซูอี้กล่าวพลางเบนสายตากล่าวกับเซี่ยวฉางหนิงซึ่งอยู่ไกลออกไปอย่างเฉยชา “เข็มทองอีกเล่มอยู่ในมือเจ้า และเพราะเหตุนี้ ข้าจึงคาดเดาว่าพวกเจ้ากำลังร่วมมือกันอยู่”
ดวงตาของเป้าเหวินไท่เบิกกว้าง สีหน้าเปี่ยมความมิอยากเชื่อ
เซี่ยวฉางหนิงเองก็ตะลึง หัวใจสั่นระทึก
คิดให้หัวแตก พวกเขาทั้งคู่ก็ไม่คาดฝันว่า ซูอี้ผู้เป็นตัวตนเล็กจ้อยในขอบเขตจิตทารกในแดนมนุษย์จะมองสิ่งนี้ออก!
เหลือเชื่อยิ่งนัก!!
………………..