บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 144 ผู้อื่นไม่อาจสังหารแทน
แมลงปีศาจซากศพ!
เสียงกรีดร้องโหยหวนราวกับผีร้าย คมเขี้ยวนับร้อยในปากอันน่าสะพรึงกลัว พวกมันถาโถมลุกลามรวดเร็วราวกับไฟป่า
จางอี้เหรินดึงดาบของตนเองออกตั้งท่า
เฉินเจิ้งสูดลมหายใจยาว ลมปราณไหลเวียนปะทะออกจนเสื้อสะบัดพลิ้ว
เวลาเดียวกัน ฝักดาบไผ่เขียวปรากฏขึ้นอย่างเงียบงันในฝ่ามือของซูอี้
เคร้ง!
เขาชักดาบออกจากฝัก ก่อนยกดาบสีฟ้าอ่อนชูขึ้นเหนือหัว ในชั่วพริบตา แสงอันแสบร้อนเปล่งประกายปกคลุมทั้งสิบทิศ
นี่คือหนึ่งในกระบวนท่าของเพลงดาบสุดปรีดี ‘ทัศนาสิบทิศ’!
เสียงดาบดังก้องคำราม ตามมาด้วยภาพของเหล่าแมลงปีศาจซึ่งอาบแสงประกายดาบ ก่อนตัวพวกมันจะระเบิดเป็นผุยผง
แม้แต่จู้กู่ชิงยังต้องหรี่ตา ช่างเป็นวิชาดาบที่ลึกล้ำเกินจินตนาการ!
ห้วงความคิดเริ่มสับสน การกระทำนี้ของซูอี้ทำให้นางประหลาดใจไม่น้อย หรือบุรุษหนุ่มผู้นี้กำลังคิดการใหญ่ ทรยศพรรคมารหยินอยู่งั้นหรือ?
เกือบจะในเวลาเดียวกัน จู้กู่ชิงพลันสังเกตเห็นภาพไม่น่าชม ขณะนี้ นักพรตเสวี่ยเหิงและสมุนพรรคมารอีกสองคน กำลังหนีไปนอกลานบ้านทันทีที่พวกเขาปล่อยฝูงแมลงต่ำช้า
ชิ้ง!
นางไม่ลังเลอีกต่อไป กระโจนตัวเข้าไล่ล่า หวังสังหารสามตัวตนจากพรรคมารหยินเหล่านี้ดับสิ้น
ทันทีที่นางลงมือ ทั้งร่างเปล่งประกายแสงสีขาว ดาบในมือพลิ้วไหวราวกับสายธาร ทั้งยังแผ่ไอเย็นควบแน่นเป็นม่านหมอกแห่งฤดูเหมันต์
นักพรตเสวี่ยเหิงเป็นเป้าหมายแรกที่นางลงมือ!
เพลงดาบม่านหมอกวิญญาณเยือกแข็ง!
ทักษะดาบอันโด่งดังของจู้กู่ชิง ครั้งเมื่อเผยใช้ออก ไอเย็นสุดขั้วพลันแผ่กระจายปกคลุมตัวตนเป้าหมาย เป้าหมายจะเย็นเยือกไปถึงขั้วกระดูก สามารถตรึงเลือดและวิญญาณของศัตรูได้ในทันที
“ในที่สุดสตรีนางนี้ก็ตาสว่าง เห็นชัดว่ายังพอมีสมอง”
เฉินเจิ้งลอบสบถอย่างลับ ๆ
ทว่า โดยไม่คาดคิด จู่ ๆ เหตุการณ์กลับตาลปัตรเหนือกว่าใครจะจินตนาการ
ระหว่างดาบของจู้กู่ชิงดำเนินไปครึ่งทาง มันกลับถูกสกัดโดยซูอี้ การโจมตีของนางสลายหายราวกับหมอกควันลวง
“เจ้า!”
จู้กู่ชิงโมโหถึงขีดสุด ใบหน้ายิ่งเย็นชาราวกับน้ำแข็ง
“ถอยไปเสีย ไม่เช่นนั้นข้าจะคิดบัญชีกับเจ้าหลังจากจบเรื่อง…”
น่าเสียดาย ยังไม่ทันที่นางจะได้เอ่ยจบ ซูอี้ก็กระโจนไปด้านหน้าเสียก่อนแล้ว จากนั้นดาบบงการฟ้าดินฟาดฟันออกอย่างรวดเร็ว หมายมั่นไว้ที่เป้าหมายซึ่งคือกลางหลังนักพรตเสวี่ยเหิง ที่กำลังจะกระโดดลงจากกำแพงและหลบหนี
ดวงตานักพรตเสวี่ยเหิงสั่นไหวอย่างรุนแรง แลเห็นภัยถึงตายใกล้ถึงตัว เขาไม่รีรอคว้าเอาฉู่ซื่อหลางที่อยู่ข้างเคียง เหวี่ยงร่างอีกฝ่ายกลับไปด้านหลังอย่างโหดเหี้ยม
ฉู่ซื่อหลางตกใจมากจนหนังหัวชา ก่อนจะเอ่ยตะโกนอย่างอาฆาต “บัดซบ ข้าจะไปคิดบัญชีกับมารดาของเจ้า…”
ฉัวะ!
ยังไม่ทันจะเอ่ยจบร่างของเขาถูกดาบผ่าครึ่ง เลือดสาดเหมือนน้ำตก ถ้อยคำดุร้ายหยุดกะทันหัน
ด้วยโอกาสนี้ นักพรตเสวี่ยเหิงนำหลิวเซียงหลานข้ามกำแพงและจากไป
แต่ก่อนที่จะหลบหนีไปได้ ร่างที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นเลือดและสงครามพลันยืนขวางอยู่ตรงหน้า ราวกับป้อมปราการที่ไม่อาจบุกทะลวง!
“ไม่ได้ยินหรือไร ข้าให้คำมั่นต่อคุณชายซูเอาไว้แล้ว วันนี้จะไม่มีผู้ใดหนีไปได้แม้แต่หนึ่ง!”
เฉินเจิ้งชี้ไปที่ลานบ้านและพูดด้วยใบหน้าที่ดุดัน “กลับเข้าไป!”
ใบหน้าของนักพรตเสวี่ยเหิงแปรเปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์ยิ่งกว่าเก่า
เขาหันกลับตั้งใจจะหนีไปทางอื่น แต่ในทิศทางอีกด้าน จู้กู่ชิงได้ย่างสามขุมเข้าหาแล้วเรียบร้อยทั้งยังเหวี่ยงดาบหมายสังหาร!
“บัดซบ!”
ใบหน้าของนักพรตเสวี่ยเหิงเปลี่ยนเป็นสีซีด เขาเอื้อมมือออกไปคว้าด้านข้าง ตั้งใจจะทำซ้ำกลอุบายเดิมเช่นเมื่อครู่ ใช้ชีวิตของหลิวเซียงหลานเพื่อเปิดทาง
ใครจะคิดครานี้กลับล้มเหลว
หลิวเซียงหลานรู้ตัวอยู่ก่อนหน้า ฉะนั้นนางจึงหลีกไปด้านข้างก่อนจะรีบวิ่งไปหาเฉินเจิ้ง ซึ่งอยู่ไม่ไกลราวกับกระต่ายที่หวาดกลัว แน่นอนนางยังไม่ลืมจะสาปแช่งระหว่างยังเคลื่อนไหว “ข้ารู้ว่าเจ้ามันเดรัจฉาน!”
“ปรมาจารย์เฉิน ข้ายอมรับความพ่ายแพ้ ไม่ว่าเป็นหรือตาย ชีวิตของข้าขอมอบให้ท่านตัดสินแล้ว!”
หลังจากสบถด่าพวกเดียวกัน หลิวเซียงหลานคุกเข่าลงต่อหน้าเฉินเจิ้ง น้ำตาไหลและขอความเมตตา
เฉินเจิ้งขมวดคิ้ว
ทางด้านของนักพรตเสวี่ยเหิง หัวใจพลันเย็นวาบ
ด้วยความกล้าแกร่งของจู้กู่ชิง ตัวเขาไม่รอดแน่!
เคร้ง!!
ทว่าก่อนที่การโจมตีของจู้กู่ชิงจะถึงเป้าหมาย ซูอี้เข้ามาขัดอีกครา ทำให้ร่างเพรียวของนางสั่นไหว และเซถอยหลังไปสองสามก้าวอย่างไม่อาจควบคุม
นางกัดฟันกรอดด้วยความโกรธ ดวงตาร้อนรุ่มด้วยเพลิงโทสะ ถ้อยคำเอ่ยออกตำหนิเสียงดังลั่น “เจ้าจะจองเวรข้าไปถึงเมื่อใดกัน!?”
นัยน์ตาของนักพรตเสวี่ยเหิงเปล่งประกาย ใช้ประโยชน์จากช่องว่างนี้ ร่างของเขาพุ่งออกไปอย่างรุนแรง ใช้กำลังทั้งหมดในการหลบหนี โดยหวังว่าอีกฝ่ายจะตามตนไม่ทัน
“คนใดที่ซูผู้นี้ต้องการจะสังหาร ผู้อื่นไม่อาจสังหารมันแทนได้”
หลังจากสิ้นประโยค ซูอี้กระโจนหานักพรตเสวี่ยเหิงอีกครา
ทว่านักพรตเสวี่ยเหิงหาใช่ผู้บ่มเพาะปลายแถว ยามเขาทุ่มเทสุดพลังเพื่อหลบหนี ร่างจะเร็วประดุจสายฟ้า ทั้งยังสามารถล่องลอยพลิ้วไหวดั่งผีวิญญาณ มีเพียงตัวตนปรมาจารย์เท่านั้นที่จะตามทัน
ไม่ว่าทักษะการเคลื่อนไหวของซูอี้จะยอดเยี่ยมเพียงใด เขาก็ยังไม่ใช่ปรมาจารย์ที่แท้จริง เรื่องเหาะเหินเดินอากาศไม่ต้องพูดถึง เขาย่อมไม่อาจทำได้ ท้ายที่สุดจึงถูกกำหนดให้ตามไม่ทัน
แต่กลับกัน แท้จริงแล้วชายหนุ่มไม่มีเจตนาจะไล่ตามตั้งแต่แรกเริ่ม!
“ฮ่า!”
เสียงตะโกนก้องดังขึ้นอีกครั้ง ปกคลุมทั้งผืนฟ้าและปฐพี
ในขณะนี้ ซูอี้ได้ใช้เจตจำนงเพลงดาบมหามิติพรากวิญญาณเป็นครั้งที่สองของวัน
ห่างออกไป นักพรตเสวี่ยเหิงพลันโซเซ สีหน้าเผยออกซึ่งความเจ็บปวดอย่างยากบรรยาย ความสยดสยองปรากฏขึ้นในดวงตาทั้งสองข้าง
อย่างไรก็ตาม เขาเป็นปรมาจารย์มาช้านานและเคยฝึกฝนทักษะลับทางจิตวิญญาณเพื่อป้องกันถูกโจมตี
โดยไม่รอให้ซูอี้เข้าใกล้ เขาหนีอย่างบ้าคลั่งอีกครั้งหนึ่ง
“ชายชราผู้นี้ยังนับว่ามีน้ำยา” ซูอี้อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ
ทว่าแม้จะประหลาดใจ เขาไม่ได้หยุดยั้งแม้เพียงน้อย ทันใดนั้นเขายกดาบบงการฟ้าดินในมือขึ้น ก่อนจะเขวี้ยงมันสุดแรง
ฟิ้ว!
ดาบบงการฟ้าดิน พุ่งตรงดั่งลูกศร ด้วยความเร็วอันยิ่งยวด มันเสียดสีกับอากาศจนไฟลุก
แน่นอน นักพรตเสวี่ยเหิงย่อมสัมผัสได้ถึงอันตรายที่ใกล้เข้ามา ทันใดนั้นเขายกมือขึ้นเพื่อกางร่มสีสัมฤทธิ์ ปิดกั้นไว้ด้านหลัง
ตูม!
ร่มสีสัมฤทธิ์ระเบิดเป็นจุล
คลื่นกระแทกอันทรงพลังทำให้ร่างของนักพรตเสวี่ยเหิงโซเซยิ่งกว่าเก่า ใบหน้าของเขาซีดเซียวไม่ต่างจากคนตาย
ไม่รั้งรอให้ตั้งตัว
“ฮ่า!”
เสียงคำรามลึกลับดังก้องอีกรอบหนึ่ง
ตูม!
ศีรษะของนักพรตเสวี่ยเหิงสั่นราวกับถูกฟ้าผ่า จิตวิญญาณเจ็บปวดรุนแรงราวกับถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ ริมฝีปากอ้าออกพลางส่งเสียงร้องโหยหวนอย่างไม่อาจจะควบคุม
แม้ว่าเขาจะฝึกฝนจิตวิญญาณของตนเองมาเป็นอย่างดี แต่การถูกโจมตีสองครั้งซ้อนโดยเจตจำนงแห่งเพลงดาบมหามิติพรากวิญญาณของซูอี้นั้นไม่ใช่สิ่งที่ปรมาจารย์ผู้ใดจะทนได้!
ทั้งร่างกระตุกไม่หยุดหย่อน ดูเหมือนคนวิกลจริตควบคุมตัวเองไม่ได้
ขณะนี้ ซูอี้วิ่งมาถึงแล้ว เขาไม่รอช้าซัดฝ่ามือลงกลางศีรษะอีกฝ่ายอย่างเด็ดขาด
กร๊อบ!
กะโหลกศีรษะของนักพรตเสวี่ยเหิงแตกเป็นเสี่ยง ๆ
“ข้าไม่ยินยอม…”
นักพรตเสวี่ยเหิงเบิกตากว้างด้วยความโกรธ ร่างกายของเขาเดินโซเซอยู่อึดใจก่อนจะล้มพับลงบนพื้น
“ไร้สาระ ใครบ้างจะยินดีตาย?” ซูอี้ส่ายหัว
ในระยะไกล เฉินเจิ้งปรบมือด้วยความชื่นชม “คุณชายซู ฆ่าได้เยี่ยมนัก!”
การต่อสู้ครั้งนี้ มีตัวแปรมากมายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นฝูงแมลงปีศาจ หรือการแทรกแซงจากจู้กู่ชิง
แต่ซูอี้เพียงพึ่งพละกำลังของตัวเอง กำจัดฝูงแมลงปีศาจในชั่วพริบตา แล้วจึงฆ่าฉู่ซื่อหลาง ถัดมาสกัดการสอดมือของจู้กู่ชิงสองครั้งติด และสุดท้าย… บดกะโหลกนักพรตเสวี่ยเหิง ด้วยมือเดียว!
การลงมือต่อเนื่องอย่างน่าอัศจรรย์นี้ ทำให้แม้แต่เฉินเจิ้งผู้มากประสบการณ์การสู้รบยังรู้สึกเปิดหูเปิดตาและประหลาดใจยิ่ง!
เมื่อถึงจุดนี้ เขาไม่สงสัยอีกต่อไปว่าซูอี้คือผู้ที่เจ้าสำนักดาบชิงเหอ มู่ชางถู ก้มศีรษะและยอมรับความพ่ายแพ้ให้!
ใบหน้าอันงามงดของจู้กู่ชิงลังเลไม่รู้จะทำอย่างไร ใจหนึ่งนึกหงุดหงิดกับการขัดขวางสองคราของซูอี้ แต่อีกใจกลับสะพรึงกลัวกับพลังต่อสู้อันน่าหวาดหวั่นของอีกฝ่ายผู้ซึ่งสำเร็จเพียงขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้นต้น
หัวใจไม่สามารถสงบลงได้เป็นเวลานาน
กลับกันซูอี้ไม่ได้คิดใส่ใจความคิดของผู้อื่นมากนัก เขาเอาแต่ครุ่นคิดถึงการต่อสู้เมื่อครู่ที่ผ่านไป หากนักพรตเสวี่ยเหิงไม่ปักใจคิดเอาแต่จะหนี ถ้าเปลี่ยนเป็นการต่อสู้แบบเผชิญหน้า เขาคงไม่ต้องใช้ความพยายามขนาดนี้ในการสังหารอีกฝ่ายลง แค่เพียงดาบเดียวก็มากเกินพอคลี่คลายเรื่องราวแล้ว
‘เก็บเป็นกรณีศึกษา ความบกพร่องส่วนใหญ่อยู่ที่ตัวข้า หากการเคลื่อนไหวของข้าไม่บกพร่อง ทุกสิ่งอย่างจะง่ายขึ้น…’
หลังจากครุ่นคิด ซูอี้โน้มตัวไปหยิบดาบบงการฟ้าดินบนพื้น
เคร้ง!
แต่ทันใดนั้น เสียงดาบทรงอำนาจซึ่งไม่ใช่จากดาบบงการฟ้าดินดังสนั่นก้องไปทั่วทั้งตรอก
ใบหน้าของเฉินเจิ้งและจู้กู่ชิงในระยะไกลเปลี่ยนไป พวกเขารู้สึกถึงบรรยากาศอันตรายอย่างยิ่งโดยสัญชาตญาณ
เช่นเดียวกัน ร่างของซูอี้หยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบหยิบดาบบงการฟ้าดินขึ้นมาและปิดกั้นไว้ข้างหน้าเขา
ตูม!
ดาบบินที่แวววาวและสว่างไสวไร้สิ่งใดเทียบเปรียบแหวกอากาศเข้ากระแทกกับดาบบงการฟ้าดินเข้าอย่างจัง พลังอันเหนือล้ำจากดาบบินทำให้ซูอี้เซถอยหลังไปสองสามก้าว ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์แม้แต่มวยผมที่ถูกมัดอย่างดียังคลายออก
พลังจากดาบบินนั้นหาใช่ธรรมดาสามัญ มันถึงขนาดทำให้ซูอี้เกือบจะอาเจียนเป็นเลือด!
“ถึงขนาดทำให้ข้าบาดเจ็บได้อย่างแท้จริง…”
ซูอี้ประหลาดใจเล็กน้อย ทันใดนั้น ดวงตาของเขาผันแปรเป็นเย็นชา ความรำคาญใจที่หาได้ยากพลันเผยออก นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกอับอายตั้งแต่กลับชาติมาเกิดใหม่
เป็นครั้งแรกที่เขาพลาดพลั้ง และประสบความสูญเสียอย่างร้ายแรง!
นานแค่ไหนแล้วที่ความรู้สึกนี้ไม่ได้บังเกิดขึ้น?
วิ้ง!
ดาบบินที่ถูกสกัดหมุนคว้างไปพักหนึ่ง ก่อนจะบินกลับไปตามเส้นทางเดิมที่มันแหวกอากาศมา
แลเห็นเช่นนี้ ซูอี้รู้ได้ทันทีว่านี่เป็นสมบัติลับประเภทดาบยันต์ ไม่ใช่ดาบบินจริง
“หืม?”
เสียงประหลาดใจดังอยู่นอกตรอกน้ำเต้า กลับกลายเป็นว่าซูอี้สามารถป้องกันการโจมตีนี้ได้
ตึง!
ซูอี้รีบวิ่งไปนอกตรอก
เจตนาฆ่าปะทุขึ้นในหัวใจ
แต่เมื่อไปถึงนอกตรอก กลับเห็นว่าทั้งถนนมีแต่คนเดินพลุกพล่านวุ่นวาย และไม่มีร่องรอยของศัตรู
“ครานี้อาจหนีไปได้ แต่ครั้งหน้า อย่าหวังจะหนีจากซูอี้ผู้นี้… ไม่มีทาง!”
ซูอี้หายใจเข้าลึกและค่อย ๆ สงบใจลง
“คุณชายซู เป็นอะไรบ้างหรือไม่?”
เฉินเจิ้งก้าวมาข้างหน้า เขาเห็นการจู่โจมที่ซูอี้ได้รับเมื่อครู่นี้เต็มสองตา ดาบบินลึกลับนั้นทรงอำนาจยิ่ง แม้แต่เขาก็ยังรู้สึกหนาวสั่นในยามหวนนึกถึง ไม่รู้เลยว่าถ้าเป็นตนเองจะต้องใช้ไพ่ลับกี่ใบเพื่อสะกัดกั้นมัน
ซูอี้ส่ายหัวและพูดอย่างเฉยเมย “มันเป็นเพียงหนูที่ไม่กล้าออกจากมุมมืด ตัวตนเช่นนี้ไม่อาจทำอะไรข้าได้หรอก”
เฉินเจิ้งขมวดคิ้ว “ท่านทราบที่มาของอีกฝ่ายได้หรือไม่”
ซูอี้พยักหน้า “พอจะเดาได้อยู่บ้าง”
อารมณ์ของเขาฟื้นคืนอย่างสมบูรณ์แล้ว ขณะนี้จึงสามารถเผยยิ้มและเอ่ยคำสบายใจได้ “ท่านเฉินไม่ต้องกังวลกับเรื่องเล็กน้อยนี้”
หลังจากกล่าวจบ เขาก็เดินกลับไปทางเรือนเงียบสุขสงบตามเดิม
‘เรื่องเล็กน้อย? นั่นเป็นดาบยันต์ที่ถูกสร้างโดยเทพเซียนเดินดิน! แม้แต่ปรมาจารย์วิถียุทธ์ยังตกตายได้โดยง่ายหากเผชิญกับมันโดยตรง!’
เฉินเจิ้งลอบคิดอย่างตื่นตกใจ
ในขณะนี้ เขาตระหนักได้ยิ่งขึ้นว่าซูอี้น่ากลัวเพียงใด แม้แต่ดาบยันต์อันน่าสะพรึงสุดขีด ซูอี้ยังคลี่คลายได้โดยบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย
ท้ายที่สุดต้องเข้าใจถึงสิ่งหนึ่ง ซูอี้เป็นเพียงตัวตนขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้นต้น ในโลกนี้ไม่ว่าใครหากอยู่ในระดับเดียวกับซูอี้และรับดาบนั้นได้คงไม่มีอีก!
จู้กู่ชิงยืนอยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นซูอี้ใกล้เข้ามา นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะประสานมือแล้วเอ่ยออก
“เมื่อครู่ข้าดวงตามืดบอด ไม่อาจแยกแยะผู้ใดเป็นมิตรหรือศัตรู โปรดคุณชายอย่าได้ถือสา และอภัยให้ข้าสักครั้ง”
นางรู้สึกละอายใจในความโง่เขลาของตนเองเป็นอย่างมาก จนถึงขั้นการแสดงออกที่ปรากฏดูไม่เป็นธรรมชาติจนน่าขัน
ซูอี้เหลือบมองสตรีผมขาวดั่งหิมะผู้นี้ก่อนจะหัวเราะเยาะเย้ย
“สตรีเย็นชาเช่นเจ้า ข้านึกว่าจะปากแข็งไม่ยอมก้มหัวให้ผู้ใด แต่กลับกลายเป็นข้าตัดสินคนผิดไปถนัด เจ้ากล้ายอมรับความผิดพลาดของตนเอง นับได้ว่ายังมีความรับผิดชอบ”
จู้กู่ชิงสีหน้าพลันแปรเปลี่ยนเป็นทั้งม่วงและเขียว แววตาใสสว่างแฝงด้วยความอัดอั้น นางขออภัยแล้ว แต่อีกฝ่ายกลับยังกัดไม่ปล่อย เอ่ยวาจาเยาะเย้ยให้นางต้องอับอาย ทำเช่นนี้มันไม่เกินไปหน่อยหรือ!
กลับกัน เฉินเจิ้งทั้งรู้สึกยินดีและสบายใจ เมื่อได้เห็นจู้กู่ชิงเก็บอาการสุดฤทธิ์หลังจากถูกเย้ยหยัน
เขาอดไม่ได้จะกล่าวออกเสริม “ไม่ต่อยตีไม่รู้จัก จากมุมมองของข้า เนื่องจากความเข้าใจผิดที่บังเกิดได้รับการแก้ไขแล้ว เลิกแล้วต่อกันไปมันย่อมจะดีกว่า ท่านคิดเห็นอย่างไร คุณชายซู?”
ซูอี้พูดอย่างสบาย ๆ “ท่านเฉินอย่าได้กังวล ซูผู้นี้ไม่ใช่คนจิตใจคับแคบ อีกทั้งเรื่องนี้มันเล็กจ้อยเกินจะใส่ใจ หากซูผู้นี้ยังค้างคาใจ ข้าคงไม่ต่างอะไรกับสตรีผมขาว”
จู้กู่ชิงตกตะลึง ดวงตาเบิกกว้างจนแทบถลน หน้าอกสั่นระริกไม่อาจควบคุม นางโกรธมากจนแทบจะแทงดาบออก!