บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1442: ดุจนายเหนือสรวงก้มลงมองเหล่าเซียน
ตอนที่ 1442: ดุจนายเหนือสรวงก้มลงมองเหล่าเซียน
คนทุกผู้ล้วนไม่ทันตั้งตัว ปากอ้าค้างกรามแทบร่วง
ใครเล่าจะคาดคิดว่าสัตว์ประหลาดเฒ่าอำมหิตอย่างตัวประหลาดคิ้วเหลืองจะเลือกถอยยามเผชิญผู้น้อยเยี่ยงซูอี้?
“เฒ่าคิ้วเหลือง ผู้ติดตามของเจ้าถูกสังหาร ไฉนจึงยอมทนหดหัวเป็นเต่าได้เล่า? มิเกินไปหน่อยหรือ!”
ไกลออกไป ชายร่างสูงใหญ่กำยำผู้แบกหอกศึกเล่มหนึ่งบนบ่ากล่าวขึ้นด้วยสีหน้าเย้ยเยาะ
ตามมาด้วยเสียงระเบิดหัวเราะสนั่นออก
สีหน้าของตัวประหลาดคิ้วเหลืองมืดทะมึนไปชั่วขณะ
เขาเมินมันไป และพาพรรคพวกอีกสองเดินจาก
ทว่าซูอี้กล่าวขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงเฉยชา “ช้าก่อน!”
สีหน้าของตัวประหลาดคิ้วเหลืองย่ำแย่ลง “เจ้าหนุ่ม ข้าทนมิคิดบัญชีเจ้าก็เพียงพอแล้ว ยังต้องการอันใดอีก?”
ซูอี้ว่า “ทิ้งสมบัติทั้งหมดของเจ้าไว้ด้วย”
ไกลออกไป ดวงตาของทุกผู้หรี่ลง
การล่าถอยของตัวประหลาดคิ้วเหลืองทำให้พวกเขาประหลาดใจ
ทว่าการวางกิริยาจองหองข่มศักดาของซูอี้ทำให้พวกเขาประหลาดใจยิ่งกว่าจนแทบเชื่อมิลง
ไม่อาจคาดคิดได้เลยว่าแม้ตัวประหลาดคิ้วเหลืองจะยอมถอย แต่ซูอี้ก็ยังมิยอมเลิกรา!
ตัวประหลาดคิ้วเหลืองมีโทสะอย่างมิต้องสงสัย ใบหน้าชราของเขานิ่งค้าง ดวงตาจ้องเขม็งที่ซูอี้ “แล้วหากข้าไม่ให้เล่า?”
ซูอี้กล่าวหนึ่งวาจาออกมาเบา ๆ “ตาย”
คนทุกผู้ล้วนมองตัวประหลาดคิ้วเหลืองเป็นตาเดียว รอดูว่าเขาจะตัดสินใจเช่นไร
แก้มของตัวประหลาดคิ้วเหลืองกระตุก สีหน้ามืดหม่นน่ากลัวยิ่ง ไม่ว่าใครก็เห็นว่าสัตว์ประหลาดเฒ่านี้ใกล้ระเบิดโทสะเต็มที
ทว่าสุดท้าย เขาก็สูดหายใจลึก ๆ และนำแหวนสัมภาระวงหนึ่งออกมาขว้างลงพื้น
ถูกผู้น้อยกดหัวย่ำยีเกียรติเพียงนี้ นี่… รับไหวหรือ?!
“พวกเจ้าก็ด้วย”
ตัวประหลาดคิ้วเหลืองกัดฟันกล่าวกับผู้ติดตามทั้งสองของเขา
“เรา…”
เห็นได้ชัดว่าคนทั้งสองลังเล มิยินยอมก้มหัว
“เร็วเข้า!!”
ตัวประหลาดคิ้วเหลืองตวาดลั่น สีหน้าบิดเบี้ยวร้ายกาจ
พวกเขาทั้งสองชะงักไป ก่อนจะรีบนำสมบัติบนร่างโยนลงกับพื้น
“ยามนี้เจ้าพอใจหรือยัง?”
ตัวประหลาดคิ้วเหลืองกล่าวกับซูอี้
ซูอี้โบกมือ “ไปซะ”
สองพยางศ์นั้นเป็นการสบประมาทอย่างไร้ปิดบัง
ทว่าตัวประหลาดคิ้วเหลืองหาสนใจไม่ เขาพาผู้ติดตามทั้งสองจากไป และเพียงไม่กี่พริบตา ร่างของพวกเขาก็หายลับ
เมื่อเห็นเรื่องทั้งหมดนี้ อวิ๋นฮว่าชิงและอวี่หนิงก็อดรู้สึกเกินจริงไปเล็กน้อยมิได้
นั่นตัวประหลาดคิ้วเหลืองเลยนะ!
ยอมรับความพ่ายแพ้ง่ายดายเพียงนี้เชียวหรือ?
ทุกผู้จากไกล ๆ เองก็งุนงงเกินเข้าใจเช่นกัน
“เจ้าแก่คิ้วเหลืองนี่… เหลาะแหละเกินไปหรือไม่?”
บางผู้พึมพำ
“ไม่ว่าอำนาจวัฏสงสารจะน่าสะพรึงกลัวเพียงไร ก็ขึ้นกับว่ามันอยู่ในมือผู้ใดด้วย ซูอี้ผู้นั้น… เป็นเพียงยอดคนจุติสรวง มีอันใดต้องกลัวด้วยหรือ?”
บางผู้ขมวดคิ้ว
เซียนแท้ขอบเขตสุญตาทั้งหลายเหล่านั้นล้วนผ่านอุปสรรคมากมาย รอบรู้ข้อมูลถ้วนทั่ว ทว่ากลับไร้ผู้ใดคาดได้ว่าเฒ่าคิ้วเหลืองก้มหัวเพราะเหตุใด!
นี่ดูงี่เง่าเกินไปนัก!
“หากพวกเจ้าคนใดมีปัญหา ก็เข้ามา”
นัยน์ตาลึกล้ำของซูอี้กวาดมองเหล่าเซียนแท้ขอบเขตสุญตาจากไกล ๆ และกล่าวลอย ๆ ว่า “ข้าผู้นี้รับประกันได้ว่าพวกเจ้าจะตายเร็วกว่าเพื่อน!”
เหล่าผู้ชมเงียบไป
สีหน้าของทุกผู้มืดหมอง
สัมผัสได้ว่าศักดิ์ศรีกำลังถูกยุแยง!
น่าขันอย่างมิอาจบรรยาย!
หนึ่งผู้น้อย!
แค่เพราะมีอำนาจวัฏสงสารในมือ กลับกล้าสู้กับพวกเขา เซียนแท้ขอบเขตสุญตาทั้งหมดที่นี่หรือ?
ระห่ำไร้กฎเกณฑ์แท้ ๆ!
อวิ๋นฮว่าชิงและอวี่หนิงล้วนปั่นป่วนในใจ แม้จะประหลาดใจกับพฤติกรรมอวดศักดาไร้ปิดบังของซูอี้ แต่พวกเขาก็รู้สึกแสนตื่นเต้นดีใจอย่างมิอาจพรรณนา
สุดแสนตรงไปตรงมา!
ทั่วโลกหล้า ใครเล่าจะกล้าเผชิญศัตรูร้ายเหล่านั้นได้เช่นซูอี้?
ทั่วด้าวแดนแต่โบราณ ยอดคนจุติสรวงผู้ใดบ้างจะกล้ามิเห็นหัวเซียนแท้ขอบเขตสุญตาเช่นซูอี้?
บ้าไปแล้วโดยแท้จริง!
หากไร้ความมั่นใจในฝีมือและยังกล่าวออกมาเช่นนี้ ก็เรียกได้เพียงความกำเริบโอหัง!
หมู่หมอกพลิ้วเคลื่อน รุ้งทิพย์เจิดจรัสวูบไหว สะท้อนแสงวูบวาบบนใบหน้าของเหล่าเซียนแท้ขอบเขตสุญตา
“ในเมื่อไร้ผู้ใดกล้าสู้ ต่อจากนี้ผู้ใดกล้าขัดลาภข้าผู้นี้ จะถูกสังหารมิละเว้น!”
ซูอี้กล่าวเรียบ ๆ
ทันทีที่วาจาถูกกล่าว ในที่สุดก็มีผู้ทนไม่ได้
ชายร่างสูงใหญ่กำยำผู้พาดหอกศึกไว้บนบ่ากล่าวอย่างเย็นชา “ไอ้หนู ข้าผู้นี้ขอลองหน่อยเถอะว่าเจ้าพูดเล่นหรือมั่นใจจริง ๆ!”
ตู้ม!
เขาสาวเท้าก้าวยาว ร่างใหญ่โตกดดันเยี่ยงคนป่าโบราณออกศึก หนักแน่นสะเทือนฟ้าดิน
“หากข้าแพ้ ข้าจะส่งสมบัติทั้งหมดแล้วพาคนไปทันทีเหมือนเช่นตัวประหลาดคิ้วเหลือง แต่หากเจ้าแพ้ ส่งเคล็ดวัฏสงสารมา เจ้าว่าเช่นไร?”
ชายร่างบึกบึนกล่าวเสียงทุ้มลึก
ไป๋หลี่ชวน!
เซียนแท้วิถีปีศาจอันมีอำนาจยิ่งใหญ่ แข็งแกร่งไร้สิ้นสุด
ทันทีที่วาจาถูกกล่าว ทุกผู้ก็เข้าใจทันทีว่าการกระทำของไป๋หลี่ชวนนั้นกล่าวได้ว่าเป็นการทิ้งทางรอดไว้ให้ตนเอง
มิใช่การยั่วยุโดยบุ่มบ่าม
ซูอี้หัวเราะลั่น ดวงตาเย็นยะเยือก “ข้าผู้นี้หาสนใจลูกไม้จำพวกตัดสินแพ้ชนะกับเจ้าไม่ มีเพียงชี้วัดเป็นตายหรือไสหัวไปเท่านั้น!”
รอบข้างมีเสียงสูดหายใจเฮือก
ยิ่งซูอี้ประกาศศักดา ยิ่งทำให้เหล่าเซียนแท้ขอบเขตสุญตารู้สึกผิดปกติ มิอาจเข้าใจความคิดของซูอี้
ไป๋หลี่ชวนหัวเราะอย่างเดือดดาล “เดิมข้าอยากให้โอกาสรอดแก่เจ้า แต่เจ้าหาที่ตายเองนะ…”
ก่อนทันสิ้นคำ ซูอี้ก็ฟาดฟันดาบออกมาแล้ว
ไป๋หลี่ชวนสิ้นวาจาด้วยกรุ่นโกรธ เป็นผู้น้อยแต่กล้าอวดศักดา มิเห็นหัวเขาในสายตาสักนิดหรือ!?
“ตาย!”
ไป๋หลี่ชวนเดือดดาลมาดร้าย ตวัดหอกศึกบนบ่าของเขาออกปะทะ
ตู้ม!
หอกศึกเรืองรัศมีเซียนเจิดจรัสบดขยี้สุญญะ เผยนิมิตดุจทะเลซากศพจมเลือดน่าสยดสยอง
ทันทีที่โจมตี เขาก็ทุ่มสุดกำลังโดยหาออมมือไม่!
ความดุร้ายเช่นนี้ทำให้อวิ๋นฮว่าชิงและอวี่หนิงใจหายวาบ
เทียบกับตัวประหลาดคิ้วเหลืองแล้ว อำนาจต่อสู้ของไป๋หลี่ชวนหาด้อยไปกว่ากันไม่ คนผู้นี้ใช้อำนาจกดดัน กล้าหาญชาญชัย โหดเหี้ยมอำมหิตโดยสันดาน!
เคร้ง!!!
ดาบแห่งโลกาและหอกศึกบรรจบประชัน
อำนาจทำลายล้างดุเดือดน่าสะพรึงกลัวพลันระเบิดออกจากระหว่างกลาง
แดนดินถิ่นนั้นแหลกสลาย ม่านหมอกทั่วสารทิศกระจาย
สองร่างโซซัดท่ามกลางเพลิงสงคราม ยืนห่างจากกันสิบกว่าจั้ง
ซูอี้นั้นสุขุมผ่อนคลาย อำนาจกดดันสูงส่งเยี่ยงสรวงสวรรค์
ไป๋หลี่ชวนดูเคร่งเครียด หอกศึกในมือสั่นสะท้านน้อย ๆ
ตู้ม!
วจีดาบคำรามลั่น ซูอี้ฟาดฟันโจมตีหาหยุดมือไม่
รวดเร็วเยี่ยงสายฟ้า ดุจเทพเซียนกรีฑาทัพ
เขาเป็นตัวตนในวิถีจุติสรวงแท้ ๆ แต่กลับมีอำนาจยิ่งใหญ่ กิริยาทรงพลังราวสยบทุกสิ่งทั่วหล้า
“ฆ่า!”
ไป๋หลี่ชวนคำราม ลงมือโจมตีสุดกำลัง
ทั้งสองประมือหลายร้อยหนในพริบตา ฟ้าดินถิ่นนั้นเปี่ยมจิตสังหารมอดมลาย คลื่นอำนาจทำลายล้างกวาดทั่วทศทิศ
“ตาย!!”
ในการต่อสู้อันดุเดือด จู่ ๆ ไป๋หลี่ชวนก็แผดเสียงลั่น หว่างคิ้วปรากฏดวงตาแนวตั้งแดงฉานสาดแสงประหลาดสีเลือดออกมาใส่ซูอี้
เนตรหมื่นอสูรมาร!
วิชาต้องห้ามอันร้ายกาจยิ่งวิชาหนึ่ง
เมื่อใช้ มันจะสามารถบิดเบือนสุญญะ ขยี้หมื่นกฎเกณฑ์ได้!
ยามใดที่ศัตรูถูกแสงสีเลือดนี้กวาดใส่ จิตวิญญาณของคนผู้นั้นจะตกสู่ฝันร้ายอันมิอาจลืมตาตื่น แปรเปลี่ยนเป็นหุ่นเชิดอันมึนงงไร้จิตใจ สิ้นอำนาจต่อสู้มิเหลือดี!
ซูอี้ดูจะคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า ดวงตาของเขาแสนเย้ยเยาะ
เนตรหมื่นอสูรมาร
หนึ่งในสามวิชาต้องห้ามประจำเขาปีศาจหมื่นการณ์ หากใช้รับมือตัวตนทั่วไปในวิถีเซียน นี่อาจกล่าวได้ว่าไร้เทียมทาน
ทว่าในสายตาซูอี้ มันเป็นเพียงวิชาอันไร้พิษสง!
ตู้ม!
เขาหาหลบเลี่ยงไม่ ฟาดฟันดาบเข้ารับมือ
ปลายดาบแห่งโลกาพลันปรากฏลวดลายลับเป็นวังวนประหลาดเกินหยั่งคาดขึ้น มีอำนาจลึกลับเกินเข้าใจหมุนวนอยู่ภายใน
พริบตานั้น ลำแสงสีเลือดก็ถูกปลายดาบแห่งโลกาขวางไว้
เมื่อลวดลายลับนั้นหมุนวน มันก็ดูราววังวนที่ดูดกลืนลำแสงสีเลือดนั้นหายไปสิ้น
และอำนาจที่หลงเหลือของดาบแห่งโลกาก็แหวกเวหาทะลวงเข้าหว่างคิ้วของไป๋หลี่ชวนโดยมิลดอำนาจ
ฉัวะ!
ดวงตาแนวตั้งสีเลือด ณ หว่างคิ้วแหลกสลาย ศีรษะของไป๋หลี่ชวนถูกเสียบทะลุ
“วิชาหลุมวิญญาณลายเมฆินทร์!! ไฉนเจ้าจึงบรรลุมันได้…”
ไป๋หลี่ชวนอุทาน สีหน้าแสนมิอยากเชื่อ
ก่อนทันพูดจบ ร่างสูงใหญ่ของเขาก็ถูกอำนาจจากดาบแห่งโลกาประดังเข้าใส่จนแหลกสลายเป็นเถ้าหายไปในท้องนภา
หนึ่งดาบสะบั้นศีรษะ แหลกสลายเป็นเถ้าธุลี!
การโจมตีอันดุเดือดเฉียบขาดนี้ทำให้เหล่าผู้ชมตะลึงไปทันที
เหล่าเซียนแท้ขอบเขตสุญตาจากไกล ๆ ล้วนตกตะลึงหวาดผวา สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมหันต์
“วิชาหลุมวิญญาณลายเมฆินทร์? นี่ดูจะเป็นเคล็ดวิชาอันมิอาจแพร่งพรายจาก ‘แดนบริสุทธิ์แสงหยกพริ้ว’ หนึ่งในสามสุขาวดีแห่งหุบเขาปู้โจวซึ่งกล่าวกันว่าสามารถทำลายความลวงทั้งหลายได้สิ้น!”
อวี่หนิงพึมพำ ดวงตาสีทองซีดของนางเปี่ยมความตกตะลึง
เคล็ดวิชาอันมิอาจพร่างพรายที่ว่านี้ มีเพียงศิษย์แท้จากแดนบริสุทธิ์แสงหยกพลิ้วเท่านั้นที่ควบคุมมันได้ คนนอกมิอาจเขยื้อนมันได้เลย!
“หรือเบื้องหลังผู้ฝึกตนในแดนมนุษย์เช่นซูอี้จะมียักษ์ใหญ่อย่างแดนบริสุทธิ์แสงหยกพลิ้วหนุนหลังอยู่?”
“มิน่าเล่า ปราชญ์หงอวิ๋นจึงให้ค่าเขาสูงนัก ที่แท้เขาก็มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับแดนบริสุทธิ์แสงหยกพลิ้ว!”
อวี่หนิงดูจะค้นพบความลับเหลือเชื่อเรื่องหนึ่ง หัวใจของนางอึ้งทึ่ง
โชคร้ายที่นางมิอาจทราบได้ ว่าในสายตาปราชญ์หงอวิ๋นคาดเสมอมาว่าชาติก่อนของซูอี้จะเป็น ‘คนคลั่งดาบ’ ผู้เลิศล้ำแห่งสิบราชันย์เซียนศาลเซียนรวมศูนย์
บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัดกดดัน หดหู่เสียคนผู้คนแทบหายใจมิออก
ความตายของไป๋หลี่ชวนกล่าวได้ว่าสะเทือนแดนดิน!
ยามนี้ เหล่าเซียนแท้ขอบเขตสุญตาจึงได้สำเหนียกเสียทีว่าซูอี้หาบ้าไม่ แต่ยอดคนจุติสรวงจากโลกมนุษย์ผู้นี้ท้าทายสวรรค์เกินไป!
“ใครยังคิดลองอยู่อีก?”
สายตาเฉยเมยของซูอี้กวาดมองเหล่าผู้คนรอบข้าง
เซียนแท้ของเขตสุญตาหลายผู้หลบสายตาซูอี้ ราวกับกลัวจะถูกเขาหมายหัว
และยังมีคนที่มีสีหน้ามืดหมอง อึดอัดใจอย่างยิ่ง
พวกเขาเป็นกลุ่มเซียนแท้ขอบเขตสุญตา ทว่ายามนี้กลับตกใจกลัวผู้น้อยผู้หนึ่ง หากเรื่องนี้แพร่งพราย เกรงว่าคงดูงี่เง่ายิ่งนัก!
ทันใดนั้น ชายร่างผอมในชุดนักพรตเต๋ากล่าวขึ้นเสียงทุ้มลึก “ทุกท่าน หากเราร่วมมือกัน เราก็จะมีโอกาสปราบสัตว์ร้ายนี่และชิงเคล็ดวัฏสงสารมานะ!”
“หากเราทั้งหลายล้วนต่างจิตต่างใจแยกกันสู้ มิเพียงเราจะพลาดโอกาสสมบูรณ์แบบนี้ไป เรายังจะถูกสัตว์ร้ายนี่เอาชนะอีกด้วย!”
ทันทีที่วาจาถูกกล่าว ดวงตาของหลายผู้ก็วูบไหว เห็นได้ชัดว่าความคิดรวนเร
ซูอี้ยืนนิ่งมองอย่างเนิ่นนานด้วยสายตาเย็นชา หาหยุดเขาไว้ไม่
เขาอยากเห็นว่าเจ้าคนชุดนักพรตนี่จะส่งเจ้าแก่เหล่านี้มาตายได้หรือไม่!