บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1445: วิญญาณศิลา
ตอนที่ 1445: วิญญาณศิลา
แท่นศิลาคำสาป!
ก่อนที่เข้าสู่เขตหวงห้ามดาราหยก ซูอี้รู้มาก่อนแล้วว่าภายในแดนหมื่นเร้นมีแท่นศิลาประหลาดซึ่งปกคลุมไปด้วยหายนะสิ้นกฎเกณฑ์ตั้งอยู่
และหายนะสิ้นกฎเกณฑ์นั้นก็คือคำสาปที่ล้อมรอบบนตัววิญญาณอาสัญ!
ด้วยเหตุนี้ ปราชญ์หงอวิ๋นจึงได้เชิญให้เขาเดินทางมาด้วยกัน
นั่นก็เพราะเขาควบคุมวัฏสงสาร สามารถสยบหายนะเช่นนี้ได้นั่นเอง!
ทว่าซูอี้ก็ไม่คาดคิดเลยว่า จุดที่แท่นศิลาคำสาปตั้งอยู่ซ่อนเร้นหนทางซึ่งนำไปสู่ภูมิลึกลับอีกด้วย
อย่างไม่ต้องสงสัย เป็นไปได้มากว่า ‘บรรพสถานอนุสรณ์’ ดังกล่าวก็คือสถานที่ที่ถูกเรียกกันว่า ‘ภูมิลึกลับ’
แต่ที่น่าเสียดายก็คือ ตัวประหลาดคิ้วเหลืองเพียงแค่รู้ความลับนี้เท่านั้น
ตัวเขาเองไม่เคยเห็นแท่นศิลาคำสาปนั้นมาก่อน
ครุ่นคิดสักครู่ ซูอี้ก็ตัดสินใจว่าจะไปดูแท่นศิลาคำสาปนั้น
…
อาจเป็นเพราะสงครามใหญ่ร้ายแรงเมื่อก่อนหน้านี้ รุ้งทิพย์เจิดจรัสที่แผ่กระจายอยู่ในเขตแดนแห่งนี้จึงหายไปไม่พบร่องรอยราวกับได้รับความตื่นตกใจอย่างแรง
ต้องบอกเลยว่าเป็นที่น่าเสียดายยิ่งนัก
ทว่าในบรรดาสมบัติล้ำค่าที่เซียนแท้ขอบเขตสุญตาเหล่านั้นมอบให้ มีรุ้งทิพย์เจิดจรัสอยู่จำนวนไม่น้อยเลย ถือได้ว่าเป็นผลพลอยได้ที่ได้มาโดยไม่ตั้งใจ
“ไปกันเถอะ”
ซูอี้ไม่ชักช้า พาอวิ๋นฮว่าชิงกับอวี่หนิงมุ่งหน้าตรงไปด้านในของดินแดนลึกลับ
เมื่อเห็นพวกเขาทั้งหมดจากไปแล้ว เซียนแท้เหล่านั้นต่างก็รู้สึกโล่งอก และมองหน้ากันด้วยความรู้สึกโชคดี
“ถือว่าพวกเรา… ได้เปลี่ยนเรื่องร้ายให้เป็นเรื่องดีแล้ว”
บางคนรำพึง
“ถึงตอนนี้ข้าก็ยังคิดไม่ออกว่า เหตุใดคนที่เพิ่งบรรลุสู่ขอบเขตจิตทารกจึงมีกำลังการต่อสู้ที่น่ากลัวได้ถึงเพียงนั้น”
บางคนพึมพำ
“เดาไม่ถูกจึงเป็นเรื่องปกติ อย่าลืมว่านับแต่โบราณกาลมา วัฏสงสารไม่ถูกกับพันธสัญญาทวยเทพ และสหายเต๋าซู… เป็นคนเดียวที่ควบคุมพลังต้องห้ามเช่นนี้ได้!”
บางคนกล่าวเบา ๆ
“ข้าสงสัยว่าสหายเต๋าซูอาจจะกลับชาติมาฝึกตนแล้วหลายครั้ง ไม่แน่เขาเมื่อในอดีตอาจจะเป็นตัวตนน่ากลัวคนหนึ่งในโลกเซียนก็ได้!”
“รู้ได้อย่างไร?”
“ทุกท่านลืมไปแล้วหรือว่าก่อนหน้านี้ตอนที่สังหารไป๋หลี่ชวน สหายเต๋าซูใช้ ‘วิชาหลุมวิญญาณลายเมฆินทร์’? นั่นเป็นถึงวิชาลับของ ‘แดนบริสุทธิ์แสงหยกพลิ้ว’ ซึ่งเป็นหนึ่งในสามสุขาวดีแห่งหุบเขาปู้โจวเลยเชียว!”
หลังจากรู้ในเรื่องเหล่านี้แล้ว คนทั้งหลายที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็แสดงสีหน้าตื่นตะลึงออกมา
หรือว่า… เมื่อก่อนนี้ซูอี้จะเป็นตัวตนน่ากลัวท่านใดท่านหนึ่งของโลกเซียนจริง ๆ?
…
หมอกหนาเดือดพล่าน รอบด้านสงบนิ่ง
บางครั้งจะมีรุ้งทิพย์เจิดจรัสแวบผ่านทะเลหมอก เหมือนดั่งพลุไฟที่ปรากฏชั่ววูบ เหมือนดาวตกที่แวบหายไปในพริบตา
อวิ๋นฮว่าชิงกับอวี่หนิงต่างก็รู้สึกได้ในทันใดว่า เมื่อเดินเข้าไปแล้ว กลิ่นอายคำสาปที่อบอวลอยู่ในหมอกหนาเริ่มทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ
สิ่งที่ทำให้พวกเขาวางใจได้ก็คือ มีซูอี้คอยนำทาง จึงไม่จำเป็นต้องกังวลสิ่งเหล่านี้
มิเช่นนั้น ต่อให้พวกเขาใช้ความสามารถของเซียนแท้ ไม่อาจต้านทานการกัดกร่อนของพลังคำสาปเช่นนั้นไว้ได้อยู่ดี!
“คาดไม่ถึงเลยจริง ๆ ตอนยุคสิ้นกฎเกณฑ์ ที่แท้แล้วมีตัวตนวิถีเซียนจำนวนเท่าใดกันมาเสาะสำรวจที่แห่งนี้ และมีคนจำนวนเท่าใดกันที่ดับสิ้นในที่แห่งนี้”
อวิ๋นฮว่าชิงอดรำพึงขึ้นมาไม่ได้
“อย่างไรเสียคนที่สามารถรอดชีวิตมาได้จากยุคสิ้นกฎเกณฑ์ก็มีจำนวนน้อยมาก บุคคลวิถีเซียนส่วนใหญ่ล้วนดับสิ้นไปหมดแล้ว ไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้ในร่างวิญญาณอาสัญ…”
อวี่หนิงก็แสดงสีหน้าเศร้าสร้อยออกมาเช่นกัน
บรรลุเซียนแล้วอย่างไร?
ภายใต้หายนะในยุคสิ้นกฎเกณฑ์นั้น สุดท้ายก็ไม่รอดอยู่ดี!
ซูอี้เอามือไพล่หลังขณะเดินไปข้างหน้า
ก่อนหน้านี้ มรรควิถีของชาติที่หกกระทบต่อการกระทำและภาวะจิตของเขาอยู่ตลอด ทว่าเขาไม่ได้คิดจะใส่ใจ
ส่วนเวลานี้ เขากำลังลำดับเรื่องราวทั้งหมดอย่างสงบ
ประสบการณ์และความรู้ความเข้าใจของชาติที่หก เพียงพอที่จะเป็นใหญ่ในกลุ่มเซียน อยู่เหนือวิถีเซียน!
สำหรับซูอี้แล้ว การสืบทอดและหลอมรวมประสบการณ์กับความรู้ความเข้าใจนี้ ทำให้เขาเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน
เรื่องนี้เป็นเรื่องดี
สิ่งที่กระทบต่อภาวะจิตของเขาอย่างจริงจังกลับเป็นความทรงจำของชาติที่หก รวมไปถึงนิสัยที่เฉยชาเลือดเย็นกับวิธีการลงมือที่เผด็จการวางอำนาจ!
ที่เป็นปัญหาหนักที่สุดก็คือในตอนนี้ซูอี้ยังไม่อาจยับยั้งผลกระทบที่มาจากภาวะจิตเช่นนี้ได้
สิ่งเดียวที่ซูอี้สามารถทำได้ก็คือยึดมั่นในจิตวิถีของตัวเอง รักษาตำแหน่งของตัวเองให้ดี แล้วค่อย ๆ ต่อสู้กับจิตมาร
วันข้างหน้า จะต้องกำจัดจิตมารไปได้อย่างถอนรากถอนโคน
หลังจากที่ผ่านไปครึ่งชั่วยามเต็ม
ท่ามกลางทะเลหมอกที่ห่างไกลออกไป ประกายแสงคำสาปสายหนึ่งพลันพุ่งสู่ฟากฟ้า ย้อมท้องฟ้าในแถบนั้นให้กลายเป็นสีดำอึมครึมอย่างประหลาด
เพียงแค่มองดูไกล ๆ อวิ๋นฮว่าชิงกับอวี่หนิงก็รู้สึกหนาววาบแล้ว
พลังคำสาปนั้นช่างน่ากลัวและแก่กล้า ราวกับต้นกำเนิดหายนะใหญ่ในยุคสิ้นกฎเกณฑ์!
ซูอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย ฝ่ามือวาดลวดลาย
วิ้ว!
ม่านแสงวัฏสงสารสะท้อนออกไป ปกคลุมร่างของเขากับอวิ๋นฮว่าชิงและอวี่หนิง
เดินทางต่อไปได้ไม่นานนัก ณ จุดที่ประกายแสงปรากฏ มองเห็นแท่นศิลาสีดำที่มีความสูงถึงร้อยจั้งตั้งอยู่
เหมือนกับยอดภูเขาที่ผุดขึ้นจากพื้นราบ!
แท่นศิลามีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยม สีดำทั้งตัว อบอวลไปด้วยพลังคำสาปที่เข้มข้นและรุนแรง ผุดขึ้นผุดลงบนผิวนอกของแท่นศิลาราวกับคลื่นทะเลที่บ้าคลั่ง
อวิ๋นฮว่าชิงกับอวี่หนิงหรี่ตาลง สีหน้าเปลี่ยนไป
ยุคสิ้นกฎเกณฑ์ ตัวตนวิถีเซียนนับไม่ถ้วนเดินทางมายังเขตหวงห้ามดาราหยก เพราะเข้าใจว่าภายในแดนหมื่นเร้นแห่งนี้ซุกซ่อน ‘หนทางรอด’ ที่สามารถหลีกเลี่ยงหายนะแห่งยุคสิ้นกฎเกณฑ์ได้
ใครกันจะคาดคิดว่า แท่นศิลาที่ตั้งอยู่ในสถานที่แห่งนี้จะเหมือนกับต้นตอของจุดจบแห่งยุคสิ้นกฎเกณฑ์?
ช่างน่ากลัวยิ่งนัก!
ครั้งนี้ หากไม่ใช่เพราะมีซูอี้นำทาง อวิ๋นฮว่าชิงกับอวี่หนิงคงหันหลังกลับไปตั้งนานแล้ว
“สถานที่แห่งนี้ซุกซ่อนหนทางรอดที่พวกเราค้นหา ตีให้ตายข้าก็ไม่เชื่อ”
อวิ๋นฮว่าชิงบ่นพึมพำ
“โชคร้ายจนถึงที่สุด โชคดีก็จะมาเยือน เป็นตายนั้นคู่กัน เหมือนดังสายฟ้าฟาดบนท้องฟ้า สถานที่ที่อันตรายที่สุด บางทีอาจจะบ่มเพาะโอกาสรอดเอาไว้ก็ได้”
ซูอี้พูดพลาง เดินตรงไปยังศิลาหินนั้นแล้ว
อวิ๋นฮว่าชิงกับอวี่หนิงได้แต่ฝืนตามไป
ตลอดทาง อำนาจคำสาปที่อบอวลอยู่ในอากาศโดยรอบแสดงความเกรี้ยวกราดอย่างไม่เกรงกลัวใครราวกับคลื่นใหญ่ที่โหมซัดในมหาสมุทร
สามารถฆ่าสังหารสิ่งมีชีวิตใด ๆ ในโลกได้อย่างสบาย
ต่อให้เป็นเซียนแท้จริงก็ยังหนีความตายไม่พ้น!
ทว่าเมื่ออำนาจคำสาปเหล่านี้ถาโถมเข้ามา ม่านแสงวัฏสงสารที่ซูอี้ปล่อยออกมาก็จะย่อยสลายไปจนหมด
ราวกับหิมะที่ละลายกลายเป็นน้ำ ไม่อาจทำร้ายพวกซูอี้ได้แม้แต่ปลายเส้นผม
แล้วพวกเขาก็เข้ามาใกล้แท่นศิลาสีดำนั้นอย่างรวดเร็ว!
เมื่อเงยหน้ามอง พื้นผิวด้านนอกของแท่นศิลาสีดำที่สูงร้อยจั้งถูกปกคลุมไปด้วยลายวิถีคดเคี้ยวแปลกประหลาด ทั้งซับซ้อนวกวน น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
อวิ๋นฮว่าชิงกับอวี่หนิงพากันตัวสั่น เพียงมองดูลายวิถีคดเคี้ยวแปลกประหลาดเหล่านั้นแค่ครู่หนึ่ง จิตวิญญาณของพวกเขาก็คล้ายกับถูกกลืนกิน รู้สึกกลัวจนระงับไม่อยู่ สีหน้าขาวซีดขึ้น
ซูอี้ขมวดคิ้ว
ลายวิถีบนแท่นศิลานั้นแปลกประหลาดอย่างที่สุด เต็มไปด้วยกลิ่นอายของภัยพิบัติ การทำลายล้าง และการกักขังหน่วงเหนี่ยว เพียงแค่มองดูครู่เดียว จิตวิญญาณของเขาก็เกิดความรู้สึกครั่นคร้ามขึ้นมาเช่นกัน ราวกับโดนพลังไร้รูปร่างบางอย่างรุมเร้า จนวิญญาณแทบออกจากร่าง
ครืน!
ในห้วงความนึกคิด ดาบเก้าคุมขังสั่นสะเทือน
ทันใดนั้น ความรู้สึกตื่นตระหนกหวาดกลัวอย่างประหลาดเช่นนั้นก็หายไป
“ถึงกับทำให้ดาบเก้าคุมขังสะเทือนได้ ลายวิถีบนแท่นศิลานี้ไม่ธรรมดาเลย!”
ซูอี้ตกใจ
เขาเพิ่งคิดได้ถึงตรงนี้ พลันได้ยินเสียงของอวิ๋นฮว่าชิงกับอวี่หนิง
สายตาของพวกเขาเหม่อลอย ร่างทรุดลง
เขาขมวดคิ้ว สะบัดแขนเสื้อ กลิ่นอายส่วนหนึ่งของดาบเก้าคุมขังกลายเป็นสะเก็ดแสงพุ่งเข้าไปในร่างของคนทั้งสอง
ทันใดนั้น ทั้งสองก็ได้สติกลับคืนมาราวกับตื่นจากความฝัน
คนทั้งสองมองหน้ากัน ตกใจจนเหงื่ออาบไปทั้งตัว แม้กระทั่งเซียนแท้เช่นพวกเขาก็ยังตื่นตระหนกอย่างแรง!
“เอาล่ะ พวกเจ้าหลบเข้าไปอยู่ในสมบัติชิ้นนี้ก่อน”
พูดจบ ซูอี้ก็หยิบหอคอยสำริดออกมา
อวิ๋นฮว่าชิงกับอวี่หนิงรู้สึกอับอายนัก ทว่าพวกเขาก็รู้ดีเช่นกันว่า ขืนดึงดันต่อไปอีกจะกลายเป็นภาระและกระทบต่อการเดินหน้าของซูอี้
ร่างของคนทั้งสองพลันผลุบเข้าไปในหอคอยสำริดนั้น
เมื่อชายหนุ่มเก็บสมบัติชิ้นนี้ดีแล้ว จึงเงยหน้ามองดูแท่นศิลาสีดำนั้น
สิ่งที่ทำให้เขาต้องขมวดคิ้วก็คือ ด้วยประสบการณ์และความรู้ความเข้าใจของหวังเย่ผู้เป็นใหญ่แห่งโลกเซียนก็ยังไม่อาจแยกแยะได้ว่าลายวิถีบนแท่นศิลานั้นซ่อนเร้นความลี้ลับอันใดไว้
“ไม่รู้ว่าหนทางที่มุ่งสู่แดนลึกลับที่ตัวประหลาดคิ้วเหลืองกล่าวมานั้นอยู่ที่ใดกันแน่…”
ซูอี้กวาดตามองดูรอบ ๆ แต่สุดท้ายก็ไม่เห็นอะไร
“ช่างเถอะ ในเมื่อวัฏสงสารสามารถสยบพลังเช่นนี้ได้ สู้ลองดูสักครั้งดีกว่าว่าจะสามารถสั่นสะเทือนแท่นศิลานี้ได้หรือไม่!”
ซูอี้คิดถึงตรงนี้แล้วขับเคลื่อนพลังวิถีเงียบ ๆ ม่านแสงวัฏสงสารปรากฏขึ้นด้านหลัง กลายเป็นหกวิถีหมุนเวียนอย่างลึกลับ
ชั่วขณะนี้ อำนาจคำสาปที่อบอวลอยู่ในอากาศรอบ ๆ พลันหายไปในทันใด
ในชั่วขณะที่ซูอี้เตรียมจะลงมือ
แท่นศิลาสูงร้อยจั้งที่ห่างออกไปนั้นพลันสั่นสะเทือนขึ้นมา ลายวิถีประหลาดบนพื้นผิวภายนอกของแท่นศิลาหมุนอย่างรวดเร็วราวกับมีชีวิต
ประตูที่มีลักษณะคล้ายกับเกลียวคลื่นก็ปรากฏขึ้นบนแท่นศิลาอย่างรวดเร็ว!
จากนั้นร่าง ๆ หนึ่งเดินออกมาจากประตูบานนั้น
ผู้ชายร่างแคระผอมกะหร่องจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก หัวโล้น หลังค่อม รอยย่นปกคลุมทั่วใบหน้า ดวงตาขุ่นมัว คล้องลูกประคำสีดำไว้ที่คอ
มือขวาที่คล้ายกับขาไก่ของเขาถือตะเกียงดวงหนึ่ง
ดวงไฟเล็กเท่าเมล็ดถั่ว แสงสีแดงจาง ๆ สาดส่องลงมา
“ผู้น้อยคือ ‘วิญญาณศิลา’ ของแท่นศิลาต้นนี้ ตลอดเวลาที่ผ่านมาทำหน้าที่เฝ้ารักษาหนทางลับเส้นนี้”
ชายชราร่างเล็กมองไปที่ซูอี้ กล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง “สหายร่วมเดินทางของท่าน ได้รับคำเชิญจากใต้เท้าทูตสวรรค์ให้เข้าสู่หนทางลับเส้นนี้เพื่อไปยังบรรพสถานอนุสรณ์”
ซูอี้พินิจมองชายชราร่างเล็กคนนี้จนทั่ว พอเข้าใจคร่าว ๆ ว่า ‘สหายร่วมเดินทาง’ ที่อีกฝ่ายกล่าวมานั้นต้องเป็นปราชญ์หงอวิ๋นแน่นอน
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้ารอคอยการมาถึงของข้ามาตลอดเช่นนั้นหรือ?”
ซูอี้ถาม
ผู้เฒ่าร่างแคระพยักหน้าน้อย ๆ ก่อนกล่าว “ใต้เท้าทูตสวรรค์สั่งกำชับเอาไว้ว่าหลังจากที่ท่านมาถึง ให้เชิญท่านเข้าสู่หนทางลับขอรับ”
พูดจบ เขาก็เบี่ยงตัวหลีกทางให้ ยกตะเกียงขึ้น ชี้ไปทางประตูที่ปรากฏบนแท่นศิลานั้น “เชิญ”
ซูอี้กลับกล่าวถามโดยไม่สะทกสะท้าน “ใต้เท้าทูตสวรรค์ที่เจ้ากล่าวถึงคือใครกัน?”
ชายชราร่างเล็กส่ายหน้าพลางกล่าว “ผู้น้อยเป็นเพียงวิญญาณศิลาเฝ้าประตูบานนี้เท่านั้น มิบังอาจก้าวก่ายเรื่องของใต้เท้าทูตสวรรค์ หวังว่าใต้เท้าจะให้อภัย เมื่อท่านไปถึงบรรพสถานอนุสรณ์แล้ว จะพบกับใต้เท้าทูตสวรรค์เอง”
ซูอี้ร้องอ้อขึ้นมา “ถ้าเช่นนั้นเจ้ารู้เรื่องอะไรก็จงพูดให้ข้าฟัง”
ชายชราร่างเล็กเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ดวงตาขุ่นมัวคู่นั้นจับจ้องไปที่ซูอี้ “ผู้น้อยรู้เพียงแต่ว่า หากท่านต้องการจะพาสหายร่วมเดินทางจากไปพร้อมกัน ดีที่สุดอย่าได้ปฏิเสธคำเชิญของใต้เท้าทูตสวรรค์”
เสียบแหบแห้ง ไร้ซึ่งความรู้สึก
แสงตะเกียงสีแดงวูบไหว ส่องไปที่ใบหน้าผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกของเขา เพิ่มความน่ากลัวสยดสยองมากขึ้นกว่าเดิม