บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1446: ทูตสวรรค์
ตอนที่ 1446: ทูตสวรรค์
ซูอี้เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “นี่ขู่กันหรือ?”
ชายชราร่างเล็กส่ายหน้าพลางกล่าว “ท่านเป็นแขกที่ใต้เท้าทูตสวรรค์ต้องการพบ ตาเฒ่าไร้ค่าผู้นี้มิกล้าข่มขู่หรอก”
ซูอี้ก้าวมาตรงหน้าประตูลวงตาที่ปรากฏขึ้นบนแท่นศิลา
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของชายชราร่างแคระราวคาดไว้แล้ว ก่อนจะกล่าว “เชิญ!”
ซูอี้ยืนลูบคางจ้องชายชราคนนั้น และกล่าวว่า “เจ้าว่าหากข้าฆ่าเจ้าเสีย ใต้เท้าทูตสวรรค์ของเจ้าจะโกรธหรือไม่?”
รอยยิ้มบนใบหน้าชายชราแข็งทื่อ เงยหน้าขึ้นกล่าวทันที “เหตุใดท่านจึงต้องมารังแกทวารบาลต่ำต้อยเยี่ยงตาเฒ่าไร้ค่าผู้นี้ด้วยเล่า?”
เขาสูงเพียงสองฉื่อ หลังค่อมผอมบาง
เมื่อยืนตรงหน้าซูอี้ เขาก็สูงเพียงแค่เข่า ดูเตี้ยสั้นยิ่งนัก
ทว่ายามเขากล่าววาจา แสงสว่างเจิดจ้าก็แผ่ออกจากร่าง และตะเกียงสีเขียวในมือของเขาก็สั่นไหวเงียบงัน
ซูอี้กล่าวช้า ๆ อย่างเฉยเมย “ในเมื่อเป็นตัวตนต่ำต้อย เจ้าก็คุกเข่าลงตรงหน้าข้าแล้วเรียกนายเจ้ามาสิ”
ชายชราร่างแคระ “…”
ดวงตาพร่ามัวของเขาฉายประกายเย็นชา “ท่านควรเข้าไปในทางลับโดยเร็วจะดีกว่า…”
ตู้ม!
โดยมิรีรอให้เขาพูดจบ ซูอี้ก็ยื่นมือขวาออกมากดลงใส่ชายชราร่างแคระราวขุนเขาทับถล่ม
สีหน้าของชายชราปรากฏโทสะ ยกตะเกียงสีเขียวในมือขึ้น
ตู้ม!
ตะเกียงสีเขียวสั่นโคลง เพลิงสีชาดพวยพุ่งเปี่ยมด้วยอำนาจทำลายล้าง
ทว่าเมื่อเผชิญกับฝ่ามืออาบเคล็ดวัฏสงสารของซูอี้ มันก็แหลกสลายเยี่ยงทำจากกระดาษ ตะเกียงสีเขียวเองก็ถูกฟาดจนกระเด็นหลุดจากมือ
สีหน้าของชายชราร่างแคระพลันแปรเปลี่ยน ทว่าเมื่อคิดหลบก็สายไปแล้ว เขาถูกซูอี้ตบฉาดจนแทบสลาย
ตู้ม!
อำนาจคำสาปในแดนดินระแวกใกล้เคียงพลันมลายสูญ อำนาจวัฏสงสารระเบิดออกทำให้แท่นศิลาสะเทือนอย่างรุนแรง
“แหลก!”
ชายชราร่างแคระตวาดลั่น เขานำประคำสีดำสายหนึ่งที่คล้องคอไว้ออกมาฟาดใส่ซูอี้
เห็นได้ชัดว่ามันเป็นสมบัติลับอันทรงพลังยิ่ง มีปราณคุกรุ่นถาโถม ทะยานเวหาสู่ซูอี้อย่างรวดเร็ว
“ตัวตนต้อยต่ำมีอำนาจต่อสู้เช่นนี้ด้วยหรือ?”
ซูอี้แค่นเสียงเย้ย
สีหน้าของชายชรามืดหม่น ร่างของเขาพลันแปรเปลี่ยนเป็นลำแสงทะยานเข้าหาประตูลวงตาที่อยู่เหนือแท่นศิลา
ร่างของซูอี้วูบไหว มือขวาเอื้อมกดลงมาพร้อมนิมิตหกวิถีเวียนวัฏบดบังนภา
ตู้ม!
แดนดินทั่วทศทิศสะเทือนสั่น
ลำแสงหายนะถูกสกัดขวางและทลายลงกลางทาง แปรเปลี่ยนเป็นร่างของชายชราร่างแคระ
ร่างของเขาซวนเซ และก่อนที่จะทันได้ตั้งตัวก็ถูกซูอี้เหยียบไว้!
การดิ้นรนไร้ผล
ใบหน้าชราวัยเต็มไปด้วยความอับอาย
เมื่อเห็นเช่นนี้ ซูอี้ก็ขมวดคิ้วและกล่าวอย่างผิดหวัง “ยามนี้ ข้าเชื่อแล้วว่าเจ้าเป็นเพียงทวารบาลต้อยต่ำเท่านั้น”
“เอ้า เรียกนายเจ้ามาสิ แล้วข้าจะให้โอกาสเจ้ารอด”
ใบหน้าของชายชราร่างแคระเครียดขึ้ง ดวงตาเคร่งขรึม “ท่านทำเช่นนี้ มีแต่จะทำให้สหายร่วมทางย่ำแย่ลงเท่านั้น!”
เปรี้ยง!
นิ้วเท้าของซูอี้ออกแรงกด แล้วร่างของชายชราก็แหลกสลายเป็นพิรุณแสงสีเทาหายไป
เพียงแค่ว่าร่างนั้นเลือนรางอย่างยิ่ง ดุจหมอกควันมิอาจจับต้อง
ซูอี้อดประหลาดใจมิได้เมื่อเห็นว่าชายชราคนนี้เป็นร่างวิญญาณประหลาดอันเกิดจากแท่นศิลาประหลาดสูงร้อยจั้งนี้จริง ๆ
หากแท่นศิลายังอยู่ ก็คงยากจะฆ่าชายชราร่างแคระคนนี้ได้
“เจ้ารอก่อนเถอะ!!”
ชายชราแผดเสียงอย่างเดือดดาล ก่อนจะหันหลังเผ่นหายเข้าไปในประตูมายา
“ขี้แพ้ชวนตี”
ดวงตาของซูอี้เปี่ยมความเย้ยหยัน
เขาเอื้อมมือขึ้นคว้า แล้วตะเกียงสีเขียวกับเส้นประคำสีดำก็ทะยานสู่มือเขา
นี่คือสมบัติที่ชายชราร่างแคระทิ้งไว้
หลังตรวจสอบโดยสังเขป ซูอี้ก็อดเลิกคิ้วมิได้ ปรากฏว่าสมบัติสองชิ้นนี้ถูกหล่อหลอมขึ้นโดยอำนาจหายนะสิ้นกฎเกณฑ์!
อำนาจเหล่านี้ รวมถึงอสนีบาตสีเลือดที่เขาสะสมมาตลอดทางและอำนาจคำสาปจากแท่นศิลานี้ล้วนมีที่มาเดียวกัน!
“หรือจะมีผู้ใดในโลกที่หล่อหลอมอำนาจหายนะสิ้นกฎเกณฑ์ไปเป็นของตนได้จริง ๆ?”
ความจริงข้อนี้ทำให้ซูอี้ประหลาดใจ
ต้องทราบว่าในยุคสิ้นกฎเกณฑ์ หนึ่งหายนะสิ้นกฎเกณฑ์กวาดผ่านแดนมนุษย์ ทำลายวิถีจุติสรวงและทำลายเซียนมานับไม่ถ้วน
กระทั่งเหล่าเซียนแท้ขอบเขตสุญตาก็ยังเหลือเพียงวิญญาณอาสัญหลังเกิดหายนะ
และดูเหมือนกระทั่งตัวตนเหนือผู้ใดเยี่ยงปราชญ์หงอวิ๋นยังมิถูกละเว้น!
ทว่ากลับมีผู้ที่สามารถดูดซับและหล่อหลอมอำนาจหายนะสิ้นกฎเกณฑ์เป็นของตนเองได้ มีหรือซูอี้จะมิประหลาดใจ?
ผู้ที่ทำเช่นนี้ได้ย่อมไม่ธรรมดา!
บางที คนผู้นี้อาจจะเป็น ‘ใต้เท้าทูตสวรรค์’ ที่ชายชราร่างแคระกล่าวถึงก็เป็นได้
เมื่อคิดเช่นนี้ ซูอี้ก็นวดหว่างคิ้ว ตระหนักได้ถึงความผิดปกติ
‘ใต้เท้าทูตสวรรค์’ ผู้นั้นน่าจะหมายหัวเขาอยู่แต่แรกแล้ว จึงจับตัวปราชญ์หงอวิ๋นเอาไว้แต่แรก
เพื่อบังคับให้เขามาที่นี่!
และซูอี้ไม่ต้องคิดก็รู้ได้ว่า การที่เขาถูกหมายหัวนั้นเป็นเพราะอำนาจวัฏสงสารแน่นอน
เมื่อคิดเช่นนี้ หัวใจของซูอี้ก็สงบลง
ในเมื่ออีกฝ่ายทำเช่นนี้ มันหมายความว่าเมื่ออีกฝ่ายยังมิบรรลุเป้าหมาย เขาก็จะไม่ทำร้ายปราชญ์หงอวิ๋น
“ข้าล่ะอยากเห็นนักว่า ‘ทูตสวรรค์’ ที่เจ้าว่าเป็นเช่นไร”
ขณะครุ่นคิด ซูอี้ก็ใช้อำนาจวัฏสงสารสะกดเส้นประคำสีดำและตะเกียงเขียว ก่อนจะเก็บพวกมันไป
จากนั้นเขาก็มองไปยังประตูมายา
ขณะนี้ มีร่างหนึ่งเดินออกมาจากในประตูมายานั่น!
เขาสวมชุดคลุมขนนก แขนเสื้อกว้าง คาดเข็มขัด รูปลักษณ์หล่อเหลา คือกู้หยวนเชวีย บุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาคังหมิง!
ก่อนหน้านี้ คนผู้นี้และปราชญ์หงอวิ๋นล้วนถูกตรวนทิพย์สองเส้นพันธนาการและลากหายไประหว่างต่อสู้
และยามนี้ กู้หยวนเชวียก็ปรากฏตัวขึ้น!
ซูอี้สัมผัสได้ถึงความผิดปกติในทันที
ร่างของกู้หยวนเชวียแผ่อำนาจหายนะ ใบหน้าของเขาปกคลุมด้วยร่องรอยปราณคำสาป
“ก่อนหน้านี้ วิญญาณศิลามีตาไร้แวว กระทำการต่ำช้า ขอสหายเต๋าอย่าถือสา”
กู้หยวนเชวียประสานกำปั้นคำนับแก่ซูอี้
ซูอี้หรี่ตาลงกล่าว “เจ้าคือใต้เท้าทูตสวรรค์หรือ?”
กู้หยวนเชวียกล่าวเบา ๆ “เปล่า ข้าเป็นเพียงบ่าวรับใช้ของใต้เท้าทูตสวรรค์เท่านั้น และยามนี้ก็ได้รับคำสั่งให้มารับสหายเต๋า เชื่อว่าสหายเต๋าเองก็มีความสับสนในใจมากมาย เมื่อได้พบใต้เท้า ความสงสัยเหล่านั้นจะได้รับการแถลงไขเอง”
ซูอี้กล่าวอย่างครุ่นคิด “ดูเหมือนใต้เท้าทูตสวรรค์ที่เจ้าว่า… จะอยากพบข้าเหลือเกินนะ”
กู้หยวนเชวียตะลึง ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “ไม่ใช่เจ้าอยากได้สหายร่วมทางคืนโดยเร็วที่สุดหรือ?”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย “ข้าหาเร่งรีบไม่ เจ้ากลับไปบอกใต้เท้าทูตสวรรค์ผู้นั้นเถิดว่าหากอยากพบข้า ก็ให้ออกมาหาข้าเอง!”
“ให้ใต้เท้าทูตสวรรค์มาพบเจ้าหรือ?”
กู้หยวนเชวียดูเชื่อมิลง สงสัยว่าตนหูฝาดไป
เขากล่าวด้วยโทสะอันไม่อาจสะกดกลั้นในดวงตา “การกระทำของท่านไม่เกินไปหน่อยหรือ?”
ซูอี้กล่าวอย่างเย็นชา มองมาด้วยแววตาเฉยเมย
“ใช้สหายร่วมทางของข้าเป็นตัวประกันนั้นก็เกินไปเช่นกัน หากมิอยากตาย ก็ควรไปเสียยามนี้”
กู้หยวนเชวียชะงัก
นี่… ตกลงใครขู่ใครกันแน่?
เจ้านี่ไม่ห่วงความเป็นความตายของสหายร่วมทางจริง ๆ หรือ!?
ท้ายที่สุด กู้หยวนเชวียก็สะกดโทสะไว้ในใจ ก่อนจะหันหลังเดินกลับสู่ประตูมายา
ซูอี้ครุ่นคิดลึกล้ำ
และเพราะเช่นนั้น เขาจึงปฏิเสธไม่ยอมไป!
นี่ยังหมายความว่าอีกฝ่ายต้องวางแผนที่แน่ใจว่าชนะแน่ไว้แล้ว จึงเป็นฝ่ายชิงลงมือก่อน ขอเพียงเขาตอบตกลงเข้าไปในซากโบราณ สถานการณ์ก็น่าจะมีแต่ต้องตั้งรับท่าเดียว
เมื่อคิดเช่นนี้ ซูอี้ก็แย้มยิ้มรอคอย
อันตรายเกินคาดหยั่งนั้นน่าสนใจเอาการ!
กาลเวลาเคลื่อนผ่าน
ซูอี้นั่งลงขัดสมาธิ นำไหสุราขึ้นกระดกดื่ม
ครึ่งชั่วยาม
หนึ่งชั่วยาม
สองชั่วยาม
…จนกระทั่งสามชั่วยามผ่านไป หนึ่งเสียงแหบชราจึงดังออกมาจากในประตูมายา
“ข้าผู้นี้ติดอยู่ที่นี่ มิอาจออกไปพบด้วยตนเองได้ ขอให้สหายเต๋าเข้ามาในซากโบราณนี้เองเถิด”
น้ำเสียงนั้นไร้อารมณ์ใด ๆ
ซูอี้แย้มยิ้ม กล่าวอย่างไม่รีบร้อน “ข้ามีสามคำถาม หากตอบได้ตรงใจ ข้าจะเข้าไปทันทีเลย”
เสียงแหบชรานั้นเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “นอกจากตัวตนของข้าผู้นี้ คำถามอื่นถามได้เลย”
ซูอี้เลิกคิ้วแล้วพยักหน้า “อืม ข้าถามหน่อย ไฉนเจ้าจึงอยากพบข้า?”
เสียงนั้นตอบ “เพื่อวัฏสงสาร ข้าเชื่อว่าคำตอบนี้ สหายเต๋าน่าจะคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว และยามนี้ก็ไร้ความจำเป็นต้องหลบซ่อน”
ซูอี้ว่า “คำถามที่สอง เจ้าคาดการณ์ไว้ว่าข้าจะมายังเขตหวงห้ามดาราหยกได้อย่างไร?”
“เปล่า ข้าผู้นี้ติดอยู่ที่นี่ ทำได้เพียงรอคอยเท่านั้น และ… ข้ารออยู่ที่นี่มานาน แสนเนิ่นนาน กว่าจะได้พบความหวังริบหรี่ในวันนี้”
น้ำเสียงแหบชรานั้นกล่าว “หากสหายเต๋ามิได้มาที่นี่ตราบกาล ข้าก็ทำได้เพียงต้องรอต่อไป…”
น้ำเสียงนั้นหดหู่จนปัญญาเล็กน้อย
ซูอี้ครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะยืนขึ้นและกล่าวว่า “ได้ ข้าจะไปพบเจ้า”
น้ำเสียงของอีกฝ่ายดูตกตะลึงไป ขณะโพล่งถามขึ้นว่า “ไม่ใช่ว่าสามคำถามหรอกหรือ?”
“มิจำเป็นต้องถามต่อแล้ว”
ซูอี้กล่าวพลางก้าวเข้าหาประตูมายา
“เชิญ!”
เสียงแหบพร่านั้นเชื้อเชิญอีกครั้ง
ในน้ำเสียงเจือเค้าอันมิอาจปกปิดของ… ความร้อนใจ!
เปรี้ยง!
เมื่อพิรุณแสงในประตูมายาพลุ่งพล่าน ร่างของซูอี้ก็พลันหายไป
“ผู้ครองวัฏสงสาร เจ้าว่านี่นับเป็นการพาตนมาติดกับหรือไม่?”
เสียงแหบพร่านั้นดังขึ้น
และเสียงนั้นก็หัวเราะดังลั่นราวมิอาจซ่อนความตื่นเต้นในใจได้อีก
เสียงหัวเราะนั้นสะเทือนทั่วสรวงสวรรค์ด้าวแดนอันปกคลุมด้วยคำสาป
แท่นศิลาสูงร้อยจั้งกู่คำราม
แดนดินถิ่นใกล้สะเทือนสั่น
และประตูมายาบนแท่นศิลาก็เลือนหายไป
ตู้ม!
ท้องนภาหมุนวน หมู่ดาราเคลื่อนคล้อย
ดุจมิติเวลารัดพัน ซูอี้อดรู้สึกราวกับกำลังลอยคอในมิติเวลาไร้สิ้นสุดมิได้
“สยบ!”
คิ้วของเขาขมวดเล็กน้อย ใช้อำนาจมหาวิถีทั่วร่างปล่อยเคล็ดวิชาหนึ่งออกมา
เงาร่างของเขาพลันแยกออกราวกับลอกคราบ สลัดชั้นตรวนอันมิอาจมองเห็นหลุดจากสภาพจมในกระแสคลื่นทันใด
ทันใดนั้นเอง หนึ่งเสียงก็โพล่งอุทาน
………………..