บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1447: วิถีหมื่นมหันตภัย
มันเป็นโลกเร้นลับแห่งหนึ่ง
ทุกที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง เหี่ยวเฉาแห้งแล้ง
อำนาจหายนะสิ้นกฎเกณฑ์หนาแน่นควบแน่นเป็นเมฆสีแดงก่ำปกคลุมทั่วท้องนภา
อสนีหนาแน่นสีแดงสดพรั่งพรู แยกเขี้ยวกางเล็บแผลงฤทธา
วจีอสนีบาตคำรนเลือนลั่นก้องฟ้าดินสั่นสะเทือน ปราณทำลายล้างแห่งหายนะกรุ่นทั่วเวหา
การอยู่ในโลกหล้าแห่งนี้ทำให้ผู้คนสงสัยว่าตนได้หวนคืนสู่ยุคสิ้นกฎเกณฑ์!
ซูอี้ปรากฏขึ้นยืนเด่น รอบกายเขามีหมู่ตรวนอันก่อขึ้นจากอำนาจหายนะกำลังแหลกสลายร่วงหายไป
ไม่ต้องสงสัยเลยว่ายามเขาเข้ามา ณ แดนดินนี้ ก็ถูกตรวนอันก่อเกิดจากอำนาจหายนะรัดเอาโดยมิอาจมองเห็น
และเมื่อเขาดำเนินเคล็ดวิชา อำนาจหายนะนี้ก็ถูกสะบั้นลงทันที!
เบื้องหลังซูอี้เป็นประตูมิติซึ่งกำลังเลือนหาย
ไม่ห่างไปนัก ร่างหนึ่งกำลังมุ่งหน้าเข้ามา ก่อนจะชะงักเฉียบพลันและโพล่งอุทาน
ร่างนั้นสูงเพียงสองฉื่อ หลังค่อมผอมแห้ง
เขาคือชายชราร่างแคระ!
เขาดูจะไม่คาดเลยว่าซูอี้จะสลัดอำนาจหายนะหลุดง่ายดายเพียงนี้ จึงอดเปลี่ยนสีหน้าแล้วถอยไปสองสามก้าวมิได้
“อยากฉวยโอกาสยามข้ามิทันตั้งตัวลอบโจมตีหรือ?”
ซูอี้มองชายชราร่างแคระอย่างเย็นชา
“ข้า…”
ขณะที่ชายชราร่างแคระกำลังจะกล่าวบางอย่าง หัตถ์ใหญ่อันไม่อาจมองเห็นข้างหนึ่งก็คว้าร่างของเขาลากมาหาซูอี้แล้ว
“โปรดเมตตาด้วย!”
ทว่าซูอี้ออกแรงบีบโดยหาสนใจไม่
เปรี้ยง!
ร่างของชายชราร่างแคระแหลกสลายหายไปด้วยเคล็ดพลังวัฏสงสาร
“แค่ลงโทษเล็กน้อย แท่นศิลาไม่ได้ถูกทำลาย เขามิน่าจะตายหรอก”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยชา
เขากล่าวพลางเบนสายตามองไกลออกไป
ไกลออกไปในโลกหล้าอันล่มสลายแห้งแล้ง ร่างหนึ่งยืนอยู่
เขาคือกู้หยวนเชวีย!
กล่าวให้กระชับก็คือชายร่างแคระ บ่าวรับใช้ทูตสวรรค์ที่สิงสู่ร่างของกู้หยวนเชวียอยู่
เมื่อเห็นซูอี้ขยี้ร่างของชายชราร่างแคระโดยหาสนพิธีรีตองไม่ สีหน้าของกู้หยวนเชวียก็ถมึงทึง
ซูอี้กล่าวอย่างดูมิรู้สึกรู้สา “ใต้เท้าทูตสวรรค์ที่เจ้าว่าอยู่หนใด?”
“ตามข้ามา”
กู้หยวนเชวียกล่าวขณะหันหลังเดินไปไกล
ซูอี้ตามเขาไปเบื้องหลัง
ไม่นานนัก ฟ้าดินไกลออกไปพลันปรากฏทางเดินสู่เวหา!
เส้นทางนั้นปูด้วยชั้นบันไดศิลาดำ นำไปสู่เหนือท้องนภา
สุดฟากฝั่งบันใดศิลานั้นมียกพื้นสูงอันมีแท่นโบราณแท่นหนึ่งบนนั้น
และหน้าแท่นนั้นมีเสาสำริดต้นหนึ่งตั้งอยู่
หนึ่งร่างถูกผูกไว้บนเสาสำริด
เมื่อมองใกล้ ๆ ก็พบว่านางคือปราชญ์หงอวิ๋น
เส้นผมยาวของนางสยายกระจาย ร่างถูกตรวนสีเทาผนึกไว้ ศีรษะห้อยตกราวกับกำลังหมดสติ ไร้การเคลื่อนไหวใด ๆ
ขั้นบันไดศิลายกสูงสู่แท่นโบราณเหนือนภา ปราชญ์หงอวิ๋นถูกมัดไว้กับเสาสำริด!
ภาพเช่นนี้ทำให้ซูอี้ขมวดคิ้ว
“สหายเต๋า ในที่สุดเราก็ได้พบกัน!”
เหนือวิถีสู่เวหานั้น เมฆาแดงก่ำแห่งหายนะพลันบิดวน หนึ่งอสนีบาตทะลวงฟาด
ก่อนที่หายนะนี้จะแปรเปลี่ยนเป็นชายชราผู้หนึ่ง
เขาสวมอาภรณ์ยาวสีทองเข้ม ใบหน้าชราวัย รอบร่างผอมบางของเขาเต็มไปด้วยอสนีบาตสีเลือดพลุ่งพล่าน
เปี่ยมด้วยหายนะร้ายแรง!
ศีรษะล้านไร้เส้นผม ดวงตาเย็นชาทรงเสน่ห์ดุจจันทร์เพ็ญสีเลือด เขายืนตระหง่านใต้ท้องนภาเยี่ยงเทพหายนะ ปรายตาลงทัศนาเก้าชั้นฟ้าทั่วแดนดิน!
“เจ้าคือทูตสวรรค์ที่ว่านั่นหรือ?”
ซูอี้ถาม
“ถูกต้อง”
ชายชราหัวล้านพยักหน้า ดวงตาเจิดจรัสด้วยยินดี ตื่นเต้นระริกระรี้ ก่อนจะรำพึง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ารอวันนี้มานานแสนนาน ไม่อาจคาดคิดได้หรอกว่าข้าผู้นี้ดีใจยามได้พบเจ้ามากเพียงไหน!”
ซูอี้ว่า “ดีใจหรือ?”
“ถูกต้อง! แสนยินดีจากใจเลยล่ะ!”
ชายชราหัวล้านในอาภรณ์ยาวกล่าวอย่างเคร่งขรึม “นับแต่ยามที่เจ้าเข้ามา วัฏสงสารก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะถูกลบหาย และข้าผู้นี้… ก็หวนกลับไปรับใช้ทวยเทพได้ มิต้องติดอยู่ที่นี่อีก!”
ม่านตาของซูอี้หดตัวลงอย่างเงียบงัน
เดิมเขาคิดไว้ว่า ‘ทูตสวรรค์’ ที่ว่านี่คิดปล้นเคล็ดวัฏสงสารไป
ทว่ายามนี้ เขาตระหนักแล้วว่าตนคาดผิด
ที่แท้ อีกฝ่ายอยากลบวัฏสงสารทิ้งต่างหาก!
ยิ่งกว่านั้น อีกฝ่ายยังรออยู่ที่นี่เพื่อการนี้มาเนิ่นนานเกินคณานับ!
เรื่องนี้เกินคาดของซูอี้ไปอย่างจริงแท้
หลังครุ่นคิดเล็กน้อย ซูอี้ก็กล่าวว่า “วัฏสงสารนั้นไม่เป็นที่ยอมรับโดยพันธสัญญาแห่งทวยเทพ และที่เจ้าเรียกตนเป็น ‘ทูตสวรรค์’ นั้นเพราะเจ้ารับใช้เทพที่ว่านั่นอยู่หรือ?”
ชายชราหัวล้านเสสรวลกล่าว “ข้าผู้นี้รู้อยู่แล้วว่าในใจเจ้าแสนสับสนสารพัด แต่โชคร้ายที่มันเกี่ยวเนื่องกับความลับแห่งทวยเทพ และข้าไร้สิ่งใดให้กล่าวถึง!”
“ทว่า…”
เขาหันไปชี้บันไดศิลาอันทอดจากพื้นสู่นภา “หากเจ้าก้าวขึ้นวิถีนี้มาถึงแท่นนี่ได้ ข้าก็ไม่ถือหากจะตอบคำถามเจ้าสักนิดหน่อย”
ซูอี้แค่นเสียงหึ “เส้นทางนี่มีปริศนาใดซ่อนอยู่หรือไม่?”
ชายชราหัวล้านในชุดยาวยิ้มกว้าง “ลองสิ แล้วเจ้าจะรู้เอง”
ซูอี้มองปราชญ์หงอวิ๋นผู้ถูกมัดกับเสาสำริดที่ปลายทางแล้วกล่าวว่า “ดูข้าจะไร้โอกาสให้ปฏิเสธ”
ชายชราหัวล้านแย้มยิ้ม กล่าวอย่างปรีดา “หากก่อนหน้านี้เจ้าไม่มา ทุกสิ่งนี้ก็ย่อมมิบังเกิด”
ทันใดนั้น ร่างของซูอี้ก็วูบไหว
ตู้ม!
เขาโคจรเคล็ดพลังวัฏสงสาร ใช้มือเยี่ยงดาบฟาดฟันเข้าใส่ชายชราหัวล้านในชุดยาว
“ฮ่า ๆๆ ไร้ประโยชน์ ในบรรพสถานอนุสรณ์นี้ แม้ข้าจะกลัวอำนาจวัฏสงสาร แต่การหลบเลี่ยงนั้นทำได้ไม่ยากเลย!”
ท่ามกลางเสียงเสสรวลนั้น ร่างของชายชราหัวล้านในชุดยาวพลันแปรเปลี่ยนเป็นอสนีสวรรค์หายไป
และยังทำให้ซูอี้โจมตีพลาด
เขาขมวดคิ้ว ลอบสัมผัสเงียบเชียบ แต่ก็ยากจะพบปราณของอีกฝ่าย
“ไอ้แก่นี่ขี้กลัวจริงแท้”
ซูอี้เย้ยเยาะ
ทว่าวาจาของชายชราหัวล้านทำให้เขาตระหนักหนึ่งประการ
‘ทูตสวรรค์’ ที่ว่านี้กลัวอำนาจวัฏสงสารอย่างยิ่ง มิกล้าลงมือต่อต้านด้วยตนเอง!
นี่ยังอธิบายด้วยว่าไฉนอีกฝ่ายจึงมัดร่างปราชญ์หงอวิ๋นไว้ที่ขั้นบันใดศิลานี้ มันต้องมีหายนะสังหารซุกซ่อนมากพอเป็นภัยต่อเขาได้อยู่แน่แท้!
กล่าวคือ อีกฝ่ายฝากความหวังทำลายเขาไว้กับบันไดศิลานั่น!
และหากเขาต้องการช่วยปราชญ์หงอวิ๋น เขาก็ต้องเดินขึ้นไป
“อำนาจวัฏสงสารนั้น เหล่าเทพมิยอมให้มีอยู่ แล้วข้าหรือจะกล้าดูแคลนมัน?”
บนท้องนภาไกลแสนไกลพลันปรากฏร่างของชายชราหัวล้านขึ้น
เขากล่าวเนิบ ๆ “ข้าผู้นี้บอกเจ้าก็ได้ว่าบันไดศิลาสู่สรวงนี้มีนามว่า ‘วิถีหมื่นมหันตภัย’ เปี่ยมด้วยหายนะสังหารสารพัดซึ่งเตรียมไว้เพื่อเจ้าผู้ครองวัฏสงสารโดยเฉพาะ!”
“แต่หากไม่รีบหน่อย ในสิบสองชั่วยาม สหายร่วมทางของเจ้าก็จะถูกกำจัดสิ้น”
ท้ายที่สุด ชายชราหัวล้านก็อดเสสรวลมิได้ “แน่นอน เจ้าจะปฎิเสธก็ย่อมได้ ทว่า…”
เขายกมือชี้ไปไกล “ดูนั่นสิ”
ซูอี้มองตาม
และพบว่าแสนไกลออกไปปรากฏรอยร้าวชวนตะลึงมากมาย!
“ข้าผู้นี้ปลดอำนาจผนึกที่นี่ไว้สิ้นแล้ว และในสามวัน บรรพสถานอนุสรณ์นี้จะพังทลายสลายไปท่ามกลางพายุแห่งมิติเวลา”
ชายชราหัวล้านในอาภรณ์ยาวกล่าวยิ้ม ๆ “ถึงยามนั้น ข้าก็จะได้ออกไปก่อน ส่วนเจ้าและสหายก็ตายแน่”
“กล่าวสั้น ๆ คือ นับแต่เจ้าเข้ามาที่นี่ เจ้าก็ติดอยู่ในทางตันแล้ว!”
“นี่แหละหนาที่ว่าพลั้งเพียงหนึ่งคือพลาดชั่วกาล!”
ชายชราหัวล้านในชุดยาวหัวเราะลั่น แสนภาคภูมิสุขสันต์ หาซุกซ่อนความรู้สึกไว้ไม่
ไม่มีความจำเป็นต้องซุกซ่อน!
ไกลออกไปบนพื้น กู้หยวนเชวียชะงักแล้วหันหลังเผ่นหนี
ตู้ม!
สังหารกู้หยวนเชวียลงสิ้นซากทันที!
นี่ย่อมเป็นฝีมือซูอี้
“หัวเราะสิ อย่าหยุด ต่อเลย”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย
ชายชราหัวล้านในอาภรณ์ยาวพลันหน้าบึ้ง กล่าวว่า “เป็นถึงผู้ครองวัฏสงสาร แต่ยามเผชิญหายนะกลับเอาโทสะไปลงกับบ่าวรับใช้ ไม่อายบ้างหรือไร?”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “เป็นถึงทูตสวรรค์แต่กลับนำสหายข้ามาข่มขู่ หากให้ ‘ท่านเทพ’ ทั้งหลายที่เจ้าว่ารับรู้ เกรงว่าคงปาดคอฆ่าตัวตายด้วยละอายเป็นแน่แท้ เว้นแต่ว่าเขาจะหน้าด้านไร้ยางอายเฉกเช่นเจ้า”
“บังอาจ!”
ชายชราหัวล้านตะโกน “เจ้ากำลังลบหลู่เทพอยู่นะ!”
ซูอี้กล่าวอย่างไร้แยแส “ลบหลู่เทพแล้วเช่นไร ในเมื่อเหล่าเทพไม่ยอมให้มีวัฏสงสาร ข้าผู้นี้ในภายหน้าก็จะทำลายเหล่าเทพไม่ให้มีผู้ใดหลงเหลือ”
ชายชราหัวล้านในอาภรณ์ยาว “…”
เขาสูดหายใจลึกและกล่าวเสียงเย็น “เจ้ารอดให้ได้ก่อนเถอะ!”
ตู้ม!
ร่างของเขาหายไปอีกครั้ง
ในโลกหล้าอันรกร้างว่างเปล่านี้ มีเพียงซูอี้และปราชญ์หงอวิ๋นผู้ถูกผูกอยู่สุดวิถีหมื่นมหันตภัยเท่านั้นที่หลงเหลือ
ซูอี้รู้ว่าทูตสวรรค์ซ่อนอยู่ที่ใดสักที่ในแดนดินนี้ และกำลังมองอยู่อย่างเย็นชา
ซูอี้ใช้สารพัดเคล็ดวิชาตรวจจับ ทว่าก็ยังมิอาจพบร่องรอยอีกฝ่าย!
“ไอ้แก่นี่ต้องซ่อนอยู่ในอำนาจหายนะลึกเข้าไปในท้องนภาเป็นแน่”
ซูอี้ขมวดคิ้ว
หายนะเหนือท้องนภานั้นไร้ขอบเขต มันควบแน่นเป็นเมฆสายฟ้าแดงก่ำปรกนภา หากต้องการหาตัวอีกฝ่ายก็คงมิต่างจากหาเข็มในกองฟาง
และศัตรูก็ไม่ได้เพียงอยู่เฉย
“เอาล่ะ ช่วยปราชญ์หงอวิ๋นให้ได้ก่อน แล้วค่อยมาสนุกกับไอ้แก่นี่!”
ซูอี้ตัดสินใจ
สิ้นเสียง ร่างของเขาก็ทะยานเวหาสู่ยอดสุดวิถีหมื่นมหันตภัย มิคิดเดินบนบันไดศิลานั้นเลยสักก้าว
ทว่า
ยามเขาทะยานขึ้นสู่เวหา วิถีหมื่นมหันตภัยอันปูด้วยศิลาดำก็เคลื่อนสูง ทอดยาวลึกขึ้นตามไป
เปรี้ยง!
หนึ่งเมฆาทัณฑ์อันแปรเปลี่ยนจากอำนาจหายนะพลันปรากฏ สาดอสนีบาตฟาดลงบนเสาสำริดเหนือวิถีหมื่นมหันตภัย
ปราชญ์หงอวิ๋นผู้ถูกผูกกับเสาสำริดพลันร้องอย่างเจ็บปวด ร่างอรชรของนางสั่นไหวรุนแรง
ม่านตาของซูอี่หดตัวเล็กน้อย ตระหนักถึงปัญหาแล้ว
หากวิถีหมื่นมหันตภัยทะยานขึ้นสู่ท้องนภาได้ ผู้ที่จะรับเคราะห์คนแรกก็คือปราชญ์หงอวิ๋นซึ่งถูกผูกไว้บนนั้น!
และเมื่อร่างของซูอี้ร่อนลงพื้นและเดินเข้ามาอีกครั้ง วิถีหมื่นมหันตภัยก็ร่วงลงเชื่อมกับโลกหล้าอีกหนเช่นกัน
ดวงตาของซูอี้วูบไหวอย่างเย็นชา ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าไอ้แก่นั่นต้องแอบควบคุมวิถีหมื่นมหันตภัยอยู่
และนี่หมายความว่า หากเขามิก้าวขึ้นบันได เขาก็มิอาจเข้าใกล้วิถีนั่นได้!