บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1448: ขึ้นบันได
ตอนที่ 1448: ขึ้นบันได
………………..
ตอนที่ 1448: ขึ้นบันได
“คิดหลบไปก็แก้ปัญหามิได้หรอก!”
เสียงของชายชราหัวล้านดังขึ้นอย่างแดกดัน
ซูอี้แย้มยิ้ม
เขาหาคิดใส่ใจไม่ และเดินมาหาวิถีหมื่นมหันตภัย
ชายชราหัวล้านดูจะเข้าใจความหมายรอยยิ้มของซูอี้ รอยยิ้มของเขาพลันชะงัก อับอายเอาการ
เพราะหากพูดถึงการหลบเลี่ยง เขาซึ่งซ่อนตัวแต่ต้นจนจบด้วยกลัวในอำนาจวัฏสงสาร ไม่กล้าต่อสู้กับซูอี้นั้นดูจะตรงประเด็นมากกว่า
และยังทำให้ประโยคที่เขาเพิ่งพูดนั้นเป็นเช่นการตบหน้าตนเอง!
ขณะนี้ ซูอี้มาอยู่ตรงหน้าขั้นบันไดแรกของวิถีหมื่นมหันตภัยแล้ว
ชั้นศิลาดำทมิฬปกคลุมด้วยลวดลายวิถีประหลาดหนาแน่น ดูเหมือนลวดลายวิถีบนแท่นศิลาร้อยจั้งด้านนอกไม่ผิดเพี้ยน
ซูอี้ก้าวไปเบื้องหน้าโดยไร้ลังเล
ตู้ม!
เมื่อก้าวสู่ขั้นบันไดแรก หนึ่งเสียงก็คำรามออก
เพียงพริบตา ภาพในคลองจักษุก็แปรเปลี่ยนเป็นโลกหล้าสีเลือดแห่งหนึ่ง
“แต่ละขั้นมีมนตร์มิติอันแปรมาจากอำนาจลวดลายวิถีเหล่านั้น!”
ซูอี้มองปราดเดียวก็เข้าใจ
เปรี๊ยะ!
ท้องนภาพลันถล่ม อสนีบาตหายนะสีเลือดพรั่งพรูลง
ร่างของผู้ฝึกตนอันทรงพลังนับไม่ถ้วนแปรเปลี่ยนออกมาจากอสนีบาตสีเลือด ประดังเข้าโจมตีซูอี้
ผู้ฝึกตนแต่ละผู้ล้วนเทียบได้กับวิญญาณอาสัญวิถีเซียน!
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
เสียงตะโกนสนั่นสะเทือนเมฆา ปราณหายนะคุ้มคลั่งมหาศาล
ผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนกระหน่ำโจมตี ถาโถมหนาแน่นชุลมุน
ดูราวทัพเทพมารทะยานออกจากหายนะ!
เพียงมองจากไกล ๆ เหล่าผู้ฝึกตนใด ๆ ในโลกหล้าก็ล้วนสิ้นหวัง
ดวงตาของซูอี้แปรเปลี่ยนเป็นเรียบเฉยเย็นชา จิตสังหารร้ายกาจปรากฏจากร่างสูงใหญ่
อำนาจหกวิถีเวียนวัฏแปรเปลี่ยนเป็นวงแหวนศักดิ์สิทธิ์พิทักษ์รอบกาย
เขาหาหลบเลี่ยงไม่ แต่กลับรุดหน้าก้าวต่อ เป็นฝ่ายรุกโจมตี
ยามนั้น ซูอี้แปรเปลี่ยนเป็นลำแสงอันมิอาจทำลายทะลวงผ่านนภาเข้าสู่ส่วนลึกของทัพศัตรู
เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง!!
เสียงระเบิดดังขึ้นถี่รัว
ร่างดุจเทพมารนับไม่ถ้วนระเบิดแหลกเยี่ยงทำจากกระดาษ
ทัพอันอหังการถูกทะลวงตรงเป็นรอยผ่าดุจผืนผ้าที่ถูกมีดคมแยกครึ่ง
อำนาจวัฏสงสารทรงพลังแผ่ออกดุจวาตะเมฆา กวาดปราณหายนะเหนือนภาทิ้งไป!
เหล่าตัวตนสีเลือดนั้นไม่ใช่สิ่งมีชีวิตโดยแท้ พวกมันหารู้ไม่ว่าพวกตนตายแล้วหรือยังอยู่ ต่างล้อมโจมตีซูอี้ต่ออย่างแข็งขัน
ร่างของซูอี้วูบไหวไปมา ไร้เทียมทาน!
ทุกที่ที่เขาผ่าน ศัตรูล้วนแหลกสลายเยี่ยงกระดาษเปียก
เพียงไม่กี่อึดใจ ทัพศัตรูอันยิ่งใหญ่ก็ถล่มสลายสิ้นในฟ้าดิน
ร่างของซูอี้ก้าวสู่อากาศ เหวี่ยงหมัดชกเข้าสู่ท้องนภา
ตู้ม!
ท้องนภาพลันระเบิดออก
ทันใดนั้น มนตร์มิติก็มลายหายไป
ลึกเข้าไปในเมฆสายฟ้าเหนือท้องนภาแสนไกล ชายชราหัวล้านในชุดยาวผู้ได้เห็นเรื่องทั้งหมดนี้อดอ้าปากค้างมิได้
คนผู้นี้อหังการเพียงนี้เลยหรือ!?
ทว่าชายชราหัวล้านหาแตกตื่นไม่
ลวดลายวิถีบนวิถีหมื่นมหันตภัยนี้ก่อเกิดจากกฎที่เทพสรรสร้าง เปี่ยมอำนาจร้ายแรง ยิ่งขึ้นสูง อำนาจฆ่าฟันรายล้อมมันยิ่งกล้าแกร่ง
และยามนี้ ซูอี้เพิ่งก้าวขึ้นบนบันไดศิลาขั้นแรก หามีสิ่งใดน่าสะพรึงไม่
“ผู้ก้าวขึ้นบนวิถีนี้ก็ล้วนแต่ต้องตาย!”
ชายชราหัวล้านในชุดยาวลอบคิด
วิถีหมื่นมหันตภัยนี้มีทั้งหมดเก้าสิบเก้าขั้น โดยตระเตรียมหายนะเข่นฆ่าไว้สนองต่อผู้มาเยือน!
……
บันไดศิลาขั้นที่สองก็มีมนตร์มิติจารึกไว้เช่นกัน
เมื่อซูอี้ก้าวขึ้นมา เขาพลันปรากฏ ณ สมุทรทมิฬอันไพศาลแห่งหนึ่ง
สัตว์ทะเลยักษ์ร้ายกาจนับไม่ถ้วนทะยานขึ้นจากท้องสมุทรเข้าโจมตีซูอี้
มีทั้งอสรพิษยาวหลายพันจั้ง วิหคหัวผีอันมีปีกเป็นอสนีบาต เต่ายักษ์เยี่ยงเกาะลอย…
ความแข็งแกร่งของสัตว์ทะเลร้ายเหล่านี้ร้ายกาจทรงพลังยิ่งนัก และพวกมันก็อาบอำนาจหายนะประหลาดทั่วร่าง
ยามร่วมโจมตี ท้องสมุทรก็ปั่นป่วนพลิกผัน
“ข้าก็คิดอยู่ว่าจะรวยลูกไม้เพียงไร ที่แท้ก็แค่นี้”
ซูอี้ส่ายหน้าน้อย ๆ
หนึ่งมือของเขากดลง
ตู้ม!
ท้องสมุทรแปดพันจั้งพลันแหลกสลาย หนึ่งวังวนอันบังเกิดจากอำนาจวัฏสงสารปรากฏขึ้นกลืนกินบดขยี้เหล่าสัตว์ทะเลร้ายไปทันที
ครานี้เพิ่งผ่านไปเพียงอึดใจ ทว่าซูอี้ก็สังหารคู่ต่อสู้ทั้งหมด สลายมนตร์มิติลงในทันที!
โดยไร้รีรอ ซูอี้ก้าวต่อสู่ขั้นบันไดศิลาที่สาม
……
หายนะเข่นฆ่าเหล่านี้กล่าวได้ว่าถึงตายสำหรับผู้ฝึกตนอื่น ๆ
ศัตรูทั้งมวลซึ่งแปรเปลี่ยนจากอำนาจหายนะประหลาดร้ายนั้นสามารถสังหารร่างวิถีและจิตวิญญาณของเซียนใด ๆ ได้อย่างแสนง่าย!
ทว่าในสายตาซูอี้ พวกมันหาต่างจากบททดสอบเลื่อนขอบเขตที่ตนเผชิญมาเสมอไม่
เพราะอำนาจวัฏสงสารในมือเขาเกิดมาเพื่อหยุดหายนะเหล่านั้น!
ในกาลต่อมา ซูอี้ก็จะขยี้มนตร์มิติ ก้าวสู่ขั้นบันใดศิลาถัดไปเป็นระยะ!
มิได้รวดเร็ว ทว่าก็มิเคยติดขัด
เพียงครึ่งชั่วยาม
เขาก็มาถึงขั้นบันไดศิลาที่สามสิบหกแล้ว!
และยังคงเคลื่อนต่อ!
……
“ไอ้สารเลวนี่ทรงพลังเสียจนน่าขัน! นี่เป็นยอดคนจุติสรวงจริง ๆ หรือ?”
ลึกเข้าไปบนท้องนภา หัวใจของชายชราหัวล้านในเมฆสายฟ้าเรรวน
เขามองอยู่เสมอ
เมื่อเห็นซูอี้ทะลวงถึงขั้นบันไดศิลาที่สามสิบหกภายในชั่วกาลเพียงครึ่งชั่วยาม เขาก็มิอาจสงบใจได้
ก่อนซูอี้มาถึง เขาได้รู้รายละเอียกบางอย่างเกี่ยวกับซูอี้จากบ่าวผู้สิงสู่ร่างกู้หยวนเชวียอยู่แล้ว
หากไม่ใช่เพราะกลัวอำนาจวัฏสงสาร ตัวตนเช่นนี้ ชายชราหัวล้านก็สามารถใช้นิ้วเดียวขยี้เขาให้ตายตกได้!
ทว่ายามนี้ เขาพลันตาสว่าง ตระหนักว่าบางอย่างผิดปกติ
“นี่คือยอดคนจุติสรวงหรือ?!”
“อำนาจวัฏสงสารนี่ไม่ต้องพูดถึง อำนาจต่อสู้ของเขาเหนือชั้นยิ่งกว่ายอดราชันย์จุติสรวงอีก แถมยังสามารถรับมือเซียนแท้ขอบเขตสุญตาได้ด้วย!”
เป็นการยากที่ชายชราหัวล้านจะยอมรับได้
บ้าไปแล้ว!
หาพบแสนยากตลอดกาลนาน!
แม้เขาจะมีชีวิตเนิ่นนานเกินนับในฐานะทูตสวรรค์ แต่นี่คือหนแรกที่เขาได้พบตัวตนท้าทายสวรรค์เยี่ยงซูอี้
“ไม่น่าเล่าเมื่อนานมาแล้ว เหล่าเทพจึงร่วมมือกับลบวัฏสงสารทิ้ง อำนาจเช่นนี้… ร้ายกาจเกินไป!
เขารำพึงกับตน
“น่าเสียดายที่นี่คือแดนมนุษย์ ลวดลายเทพบัญชาห้ามบนวิถีหมื่นมหันตภัยถูกจำกัดอย่างร้ายแรง ต่อให้ทุ่มสุดตัวก็ทำได้เพียงแผนสังหารเช่นนี้”
“หากเป็นที่เช่นโลกเซียน สัตว์ร้ายนี่คงมิรอดบันไดศิลาขั้นสามด้วยซ้ำ!”
ชายชราหัวล้านครุ่นคิด
เหตุที่เขาติดอยู่ที่นี่เสมอมานั้นเป็นเพราะถูกผนึกโดยกฎสวรรค์แห่งแดนมนุษย์!
ไร้หนทางออกจากบรรพสถานอนุสรณ์นี้!
เฉกเช่นเดียวกัน ลวดลายเทพบัญชาห้ามบนวิถีหมื่นมหันตภัยนี้ไม่อาจดูดซับอำนาจจากแดนมนุษย์ได้เพียงพอ อำนาจของมันจึงเสื่อมสลายลงมาก
แน่นอนว่าถึงจะเป็นเช่นนั้น อำนาจของวิถีหมื่นมหันตภัยก็ยังประหารเซียนลงได้อย่างง่ายดายอยู่ดี!
สิ่งที่ทำให้ชายชราหัวล้านในอาภรณ์ยาวหดหู่นักก็เป็นเพราะยามนี้ วิถีหมื่นมหันตภัยมิอาจฆ่าซูอี้ผู้ถือครองอำนาจวัฏสงสารลงได้สำเร็จ
เขากัดฟันกรอด พึมพำกับตนเอง “ยิ่งไปสูง อำนาจสังหารยิ่งร้ายแรง ข้าอยากเห็นนักว่าเจ้าจะรอดถึงท้ายที่สุดได้จริง ๆ หรือ!”
……
ขั้นที่ห้าสิบ
ขั้นที่ห้าสิบเอ็ด
ขั้นที่ห้าสิบสอง
จนเมื่อซูอี้ทำลายชั้นที่ห้าสิบสามได้ เขาก็ไม่ได้ก้าวต่อ
แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขากลับนำโอสถเซียนออกมาขวดหนึ่ง และเริ่มนั่งลงทำสมาธิฝึกฝน
แม้การฝึกฝนของเขาจะทรงพลัง แต่อำนาจของเขาก็ใกล้เหือดแห้ง
ขณะนั้น ทั่วร่างของเขารู้สึกว่างโล่งอ่อนแรง
โชคดีที่ก่อนหน้านี้เขาสังหารเซียนแท้ขอบเขตสุญตาไปมากมาย เก็บเกี่ยวสินสงครามได้มหาศาล รวมถึงโอสถหายากบางส่วนด้วย
อันที่จริง ซูอี้ ณ ขณะนี้รวยเละเทะ! นอกจากสินสงครามเหล่านี้ เขายังได้รับสมบัติมากมายจากพวกตัวประหลาดคิ้วเหลืองและเซียนแท้ขอบเขตสุญตาคนอื่น ๆ ด้วย
โอสถเซียนเอย วัตถุดิบเซียนเอย นานาสารพันอาหารตาเหล่านั้นล้วนแต่เป็นสมบัติเซียน!
มั่งคั่งเพียงพอให้เหล่าวิญญาณอาสัญวิถีเซียนในโลกมนุษย์ก้มหัวลงอย่างอับอายได้
เมื่อซูอี้กินโอสถเซียน การฝึกฝนของเขาก็ฟื้นตัวรวดเร็วจนตาเปล่าก็มองเห็น
ดุจสายธารเอ่อสูงหลังพิรุณโปรย!
เขาแตกต่างไม่เหมือนก่อน
จากการได้รับสืบทอดประสบการณ์จากชาติที่หก ซูอี้ก็สามารถใช้เคล็ดวิชาสูงสุดสารพัดยามทำสมาธิฝึกฝน
เหมือนเช่นยามนี้ เขากำลังหล่อหลอมโอสถเซียนด้วยคัมภีร์วิถีสูงสุดนาม ‘ศาสตร์แปรสวรรค์กลืนสมุทร’
แก่นของมรดกเคล็ดวิชานี้อยู่ที่ยามฝึกฝน มันจะสามารถทำให้ร่างกายบรรจุอำนาจมหาวิถีได้เป็นสองเท่า!
เรียกได้ว่าเป็นการผูกขาดวาสนา
นี่หาใช่การพัฒนาขอบเขตฝึกฝนหรือทำให้อำนาจต่อสู้แข็งแกร่งขึ้นไม่ แต่เหมือนเป็นการขยายส่วนกักเก็บพลัง ณ ระดับการฝึกฝนนั้น ๆ เป็นเท่าทวี!
เมื่อใช้ในการต่อสู้ จะทำให้เขาอยู่ได้นานขึ้น
“เด็กนี่… ฝึกฝนบนวิถีหมื่นมหันตภัยเลยหรือ!?”
เมื่อเขาเห็นภาพซูอี้นั่งลงทำสมาธิฝึกฝน มุมปากของชายชราหัวล้านในชุดยาวก็อดกระตุกมิได้ ใบหน้าบูดบึ้งหม่นหมอง
“ข้ามิยอมให้เจ้าลอยชายได้หรอก!”
เขากัดฟันกรอด ร่างของเขาวูบไหวมาปรากฏที่วิถีหมื่นมหันตภัย ประทับฝ่ามือฟาดเข้าใส่ซูอี้อย่างเงียบงัน
ตู้ม!
ฝ่ามือนี้เป็นเช่นบรรพตศักดิ์สิทธิ์อันก่อจากอำนาจหายนะร่วงลงถมทับ
แทบจะในยามเดียวกัน ร่างของซูอี้ก็หายลับไป ปรากฏโจมตีจากเก้าชั้นสรวง
ตู้ม!
ดาบแห่งโลกากระจ่างวจี ปกคลุมด้วยเคล็ดพลังวัฏสงสารทอดตัวยาวกวาดนภา
ในปราณดาบนั้นแฝงด้วยปราณดาบเก้าคุมขัง!
อำนาจดาบร้ายกาจนั้นทำให้ชายชราหัวล้านร่างสั่น หันหลังเผ่นหนีโดยไร้ลังเล
ตู้ม!
ท้องนภาแดนใกล้พังทลาย หมู่เมฆาสีเลือดแตกสลาย
แสงดาบร้ายกาจทะยานผ่าน ทะลวงเป็นรอยร้าวยาวหมื่นจั้ง
แม้ชายชราหัวล้านจะหลบพ้น แต่ร่างของเขาก็ยังถูกอำนาจส่วนที่แผ่จากปราณดาบนั้นอยู่ดี
เปรี้ยง!
ร่างของเขาแหลกสลายหายไป กลายเป็นลำแสงหายนะในทันที
ทว่าไม่นานนัก ใต้นภาแสนห่างไกล เมฆาหายนะบิดวนและบังเกิดเป็นร่างของชายชราหัวล้านขึ้นอีกครั้ง
ทว่าใบหน้าของเขาซีดขาว เปี่ยมด้วยความตกใจ
ร่างของเขาหยุดสั่นไม่ได้
อำนาจวัฏสงสารนั่นร้ายกาจน่าสะพรึงกลัวจริงแท้!
ชายชราหัวล้านในชุดยาวนั้นคือร่างวิญญาณอันก่อเกิดจากอำนาจหายนะสิ้นกฎเกณฑ์ และสิ่งที่เขากลัวที่สุดก็คืออำนาจวัฏสงสาร!
………………..