บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1449: ปราณแห่งเทพ
ตอนที่ 1449: ปราณแห่งเทพ
………………..
ตอนที่ 1449: ปราณแห่งเทพ
“นี่หรือที่เรียกกันว่าทูตสวรรค์?”
ดวงตาของซูอี้เปี่ยมความเย้ยหยัน
กล่าวจบ เขาก็กลับไปยังขั้นบันไดศิลาที่ห้าสิบสาม
บันไดศิลาตรงหน้าเขาถูกเขาเอาชนะ ทะลวงอำนาจมนตร์มิติไปแล้ว ดังนั้นจึงมิต้องเริ่มใหม่อีกหน
ไกลออกไปบนท้องนภา ชายชราหัวล้านในชุดยาวกล่าวด้วยสีหน้าอัปลักษณ์ “เหลือเวลาอีกมิถึงสิบชั่วยาม หากมิเร่งมือ สตรีผู้นั้นตายแน่!”
ซูอี้เมินมันไปและขัดสมาธิฝึกฝน
และจากนั้นมา ชายชราหัวล้านก็มิกล้าออกมาขัดขวางอีก ทำได้เพียงมองเฉย ๆ อย่างไม่อาจกระทำการใด
ครึ่งชั่วยามต่อมา
ซูอี้ลืมตาขึ้นเงียบ ๆ
“ใช่แล้ว การเอาชนะวิถีนี้กล่าวได้ว่าเป็นการฝึกฝนอันหาได้ยากนัก!”
ซูอี้สัมผัสได้ชัดเจนว่าหลังฝึกฝนอย่างขันแข็งจวบยามนี้ เขาก็มาถึงขั้นกลางขอบเขตแปรสามัญอย่างราบรื่น!
นอกจากนั้น การฝึกฝนที่พัฒนาขึ้นยังทำให้ความแข็งแกร่งของเขาแปรเปลี่ยนอย่างน่าอัศจรรย์
โดยมิรอช้า ซูอี้ลุกขึ้นก้าวสู่ขั้นบันไดศิลาที่ห้าสิบสี่
ยามนี้ คู่ต่อสู้ที่เขาพบพานเผชิญหน้านั้นทรงพลังอย่างยิ่ง
ทว่า…
มันหายากเย็นสำหรับซูอี้ไม่ เขาก็แค่ใช้เวลาเพิ่มขึ้นเท่านั้น
ในทางกลับกัน จากการต่อสู้อันดุเดือดนี้ การควบคุมอำนาจวัฏสงสารของซูอี้ได้รับการเสริมแกร่งขัดเกลาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เขาได้รับประโยชน์มหาศาล
ยิ่งกว่านั้น การได้รับประสบการณ์ฝึกฝนจากชาติที่หกทำให้วิชาศึกและการใช้อำนาจมหาวิถีของเขาทะยานสูงถึงระดับอันน่าเหลือเชื่อ
หนึ่งดาบที่เขาฟาดออกมานั้น เทียบกับกาลก่อน ซูอี้ต้องใช้อำนาจดาบเก้าคุมขังโจมตีสุดชีวิตเพื่อสังหารหนึ่งวิญญาณอาสัญเซียนแท้ขอบเขตสุญตา
ทว่ายามนี้ เขาหาจำเป็นต้องพึ่งอำนาจดาบเก้าคุมขังไม่ เพียงใช้เคล็ดพลังวัฏสงสารและอำนาจมหาวิถีของตน เขาก็สามารถสังหารศัตรูเช่นนี้ได้!
……
ผ่านไปอีกสองชั่วยาม
ซูอี้ก้าวขึ้นถึงบันไดศิลาขั้นที่หกสิบเก้า และศัตรูที่พบพานระหว่างทางก็ทวีความแข็งแกร่งจนเริ่มสัมผัสแรงกดดันจริงจังขึ้นแล้ว!
หลังมาถึงที่นี่ เขาก็นำโอสถเซียนมาเริ่มทำสมาธิฝึกฝนอีกครั้ง
จนกระทั่งการฝึกฝนของเขาฟื้นคืน เขาก็ก้าวต่อ
ความเร็วของเขาชะลอลง และเวลาที่ใช้ในการก้าวข้ามขั้นบันไดศิลาแต่ละขั้นก็เริ่มยืดยาว
กว่าเขาจะก้าวสู่ขั้นบันไดศิลาที่แปดสิบได้ มันก็ผ่านไปอีกสามชั่วยาม
ยิ่งกว่านั้น เมื่อเขาทำลายมนตร์มิติบนขั้นบันไดนั้นสำเร็จ เขาก็บาดเจ็บแล้ว!
บาดแผลนั้นไม่ร้ายแรงพอจะส่งผลต่อศึก
ก่อนหน้านี้ เมื่อเห็นซูอี้ก้าวขึ้นบันไดราวไร้เทียมทาน หัวใจของเขาก็รู้สึกหดหู่อย่างยิ่ง
ยามนี้ เมื่อซูอี้บาดเจ็บ ชายชราหัวล้านพลันตระหนักว่าซูอี้จะค่อย ๆ ทรุดโทรมจนตายไปทีละก้าว!
เขาอดกล่าวเตือนเนิบนาบมิได้ “เจ้าหนู เหลือไม่ถึงสี่ชั่วยามแล้วนะ”
“และตรงหน้าเจ้า ยังมีบันไดอีกสิบเก้าขั้น!”
“หากไม่รีบ หายนะเหนือนภาก็จะปะทุออกมาฆ่าสตรีนั่นเสีย!”
ซูอี้เมินเขาไป
เขาสังเกตเห็นแล้วว่าเหนือนภา ณ สุดวิถีหมื่นมหันตภัย เกิดช่องว่างมิติขึ้นแหลกร้าวราวใยแมงมุมขึ้น
อำนาจหายนะซึ่งควบแน่นสุมกันดุจทัณฑ์เมฆาหนาแน่นแปรเปลี่ยนเป็นวังวนสีแดงเข้มประหลาดตาซึ่งดูพร้อมถล่มลงได้ทุกเมื่อ
หากหายนะเช่นนั้นปรากฏขึ้นจริง ผู้แรกที่จะรับเคราะห์ก็คือปราชญ์หงอวิ๋นที่ถูกมัดไว้กับเสาสำริดนั่น!
ซูอี้หาเร่งรีบไม่ เขามุ่งสมาธิที่การทำสมาธิฟื้นบาดแผล
จากนั้นก็ก้าวเดินต่อ
ยามนี้เอง ทุกหนที่ซูอี้ผ่านหนึ่งขั้นบันได บาดแผลบนร่างของเขาก็ทวีความร้ายแรง!
เหล่าคู่ต่อสู้ร้ายกาจประหลาดยิ่ง แม้จะยังถูกอำนาจวัฏสงสารสยบได้อยู่ พวกมันก็นับเป็นภัยต่อซูอี้ได้แล้ว
ทว่าการบาดเจ็บนั้นเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับซูอี้ เขาจึงหาสนใจไม่
สองชั่วยามต่อมา
เขาผ่านขั้นบันไดศิลาที่เก้าสิบเอ็ด!
ร่างของเขาบาดเจ็บสาหัส อาภรณ์เปรอะเปื้อนด้วยเลือด
ใบหน้าหล่อเหลานั้นซีดขาว
“น่าเสียดายที่เจ้าไร้โอกาส!”
ไกลออกไปใต้ท้องนภา ชายชราหัวล้านในอาภรณ์ยาวหัวเราะลั่น
นอกจากนั้น เขายังบาดเจ็บสาหัสอีกด้วย!
มีหรือจะไปถึงสุดวิถีหมื่นมหันตภัยได้?
“หากเจ้ายอมแพ้ยามนี้ ก็เท่ากับความสำเร็จเก่าก่อนจะสิ้นสลาย สตรีผู้นั้นเช่นไรก็ต้องตาย และหากเจ้ามิยอมแพ้ เจ้าก็จะตายด้วย!”
ชายชราหัวล้านในชุดยาวดูแสนปีติยินดี “มืดแปดด้านเช่นนี้ มีหรือจะมิใช่การทรมานร้ายกาจสุดในโลกหล้า?”
ทันทีที่เขากล่าวเช่นนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าเขาก็แข็งค้าง
เพราะเขาเห็นว่าบนร่างที่เสียหายบาดเจ็บสาหัสของซูอี้ปรากฏพลังชีวิตอันมิอาจหาใดเทียบขึ้น
ดุจไม้แห้งคืนวสันต์
เพียงไม่กี่พริบตา บาดแผลของซูอี้ก็ฟื้นตัวสมบูรณ์ ปราณในร่างของเขากระทั่งทะยานสูงเหนือเดิม!
“นั่น… เลื่อนขั้นอีกแล้วหรือ!?”
ชายชราหัวล้านในอาภรณ์ยาวเบิกตากว้าง ใบหน้าตะลึงค้าง พะอืดพะอมราวเพิ่งกินแมลงวันตายเข้าไป
ซูอี้เลื่อนขั้นแล้วจริง ๆ และการฝึกฝนของเขาก็เข้าสู่ขอบเขตแปรสามัญขั้นปลาย!
สำหรับเขา ทันทีที่ก้าวสู่ขั้นบันไดศิลาที่แปดสิบ เขาก็ได้พบความท้าทายอย่างแท้จริง และทุกศึกก็เป็นอันตรายร้ายแรง
มันคือศึกนองเลือด!
การถูกศึกเช่นนี้ขัดเกลานั้นหาได้ยากและแสนล้ำค่าสำหรับซูอี้
ในโลกหล้าทุกวันนี้ เขาก็แทบจะไร้เทียมทานอยู่แล้ว กระทั่งวิญญาณอาสัญเซียนแท้ขอบเขตสุญตาเหล่านั้นยังยากจะเป็นภัยต่อเขาได้
สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกราวได้พบศัตรูที่เขาสามารถลับฝีมือด้วยได้ และกลายเป็นสิ่งล้ำค่าอย่างยิ่งสำหรับเขา
และยามนี้มันแตกต่างออกไปแล้ว!
หายนะเข่นฆ่าเหนือวิถีหมื่นมหันตภัยขั้นที่แปดสิบเป็นต้นไปนั้นเป็นดั่งศัตรูอันไม่อาจพานพบในโลกหล้า ทำให้จิตต่อสู้ของซูอี้ก็ปะทุขึ้นเช่นกัน
แม้จะบาดเจ็บสาหัส แต่เขาก็ยินดี!
และภายใต้การขัดเกลาเช่นนี้ กอปรกับกลืนกินโอสถเซียนเหล่านั้น การฝึกฝนของเขาจึงแปรเปลี่ยนไปด้วยความเร็วอันน่าตกใจ
“เวลาเหลือน้อยแล้วจริง ๆ…”
ซูอี้เบนสายตามองไปยังท้องนภา
สุญญะ ณ ที่นั้นปริร้าวพังทลายบิดเบี้ยวโดยสมบูรณ์ และคลื่นมิติเวลาอันน่าตื่นตะลึงก็แลบออกมา
ดูเหมือนว่าท้องนภานั้นจะพังทลายลงสิ้น
และในท้องนภาอันพังทลายนั้นเอง วังวนอสนีบาตหายนะอันหนาแน่นเยี่ยงหมึกแดงก็กำลังจะสาดลง!
“เอาเถอะ ช่วยคนสำคัญกว่า”
ท้ายที่สุด ซูอี้ก็ตัดสินใจทิ้งโอกาสต่อสู้ขัดเกลาตนเองอันล้ำค่าหายากนี้เลื่อนขั้นโดยเร็วที่สุดและไปช่วยปราชญ์หงอวิ๋นก่อน
ก่อนหน้านี้ เขามิเคยใช้อำนาจดาบเก้าคุมขังเลย
และยามนี้ เขามิคิดออมมืออีกต่อไป!
……
“นี่มันเรื่องอันใดกัน!?”
ทันใดนั้น ชายชราหัวล้านในชุดยาวก็อุทานออกมาอย่างตื่นตกใจ
ในคลองจักษุของเขา ซูอี้ดูราวจะเปลี่ยนเป็นคนละคน ความเร็วเคลื่อนขั้นบันไดศิลานั้นทวีความรวดเร็วขึ้นหลายเท่า!
เพียงไม่ถึงครึ่งเสี้ยวชั่วยามก็ผ่านขั้นบันไดไปอีกขั้น!
นอกจากนั้น ซูอี้ยังไร้บาดแผลบนร่าง
แตกต่างจากการบาดเจ็บสาหัสก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง
“บันไดศิลาเก้าชั้นสุดท้ายนั้นมีลวดลายเทพบัญชาห้ามอันร้ายกาจที่สุดสลักอยู่ อำนาจทรงพลังเหนือล้ำกว่าบันไดศิลาขั้นอื่น ทว่ายามนี้… ไฉนเป็นเช่นนี้… ไฉนกลายเป็นเช่นนี้ได้!?”
ชายชราหัวล้านในชุดยาวงุนงงเล็กน้อย
เพียงครึ่งชั่วยามต่อมา
ซูอี้ก็ผ่านบันไดศิลาเก้าสิบเก้าชั้นมาถึงสุดวิถีหมื่นมหันตภัย
ที่แห่งนั้นเป็นยกพื้นสูงอันมีแท่นโบราณและเสาสำริดตั้งอยู่
ปราชญ์หงอวิ๋นถูกมัดแน่นกับเสาสำริด
เมื่อซูอี้มาถึง ปราชญ์หงอวิ๋นก็ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น ใบหน้าซีดขาวภายใต้เส้นผมยาวสยายของนางมีความละอายปรากฏอย่างหาได้ยาก และกล่าวออกมาเบา ๆ “ครั้งนี้… รบกวนสหายเต๋าแล้ว”
ตรวนอันยากเข้าใจพันธนาการรอบร่างนาง ทำให้สภาพของนางดูยุ่งเหยิง
ในอดีต นางสงบเสงี่ยมไร้มลทิน แข็งแกร่งไร้เทียมทาน ช่วยเหลือซูอี้พ้นภัยมามากมาย และยังทำให้ศัตรูร้ายมากมายหวาดผวา
ทว่ายามนี้นางกลับกลายเป็นเชลย สถานการณ์นี้ทำให้นางรู้สึกเศร้าหมอง สะเทือนใจอย่างหนักหน่วง
“เหตุล่าสังหารวันนี้ดูจะเริ่มจากฝีมือเทพ และยังมุ่งเป้ามาที่ข้า ดังนั้นเจ้าก็แค่ถูกดึงมาพัวพัน และข้าต่างหากที่ควรละอาย”
ซูอี้กล่าวเบา ๆ
เขาก้าวเข้ามาพินิจเล็กน้อย ก่อนจะยกมือขึ้นบดขยี้ตรวนบนร่างปราชญ์หงอวิ๋น
ทว่าแทบจะในยามเดียวกัน หนึ่งเหตุแปรผันก็บังเกิด…
ตู้ม!
เหนือท้องนภา เมื่อสุญญะแดนนั้นซึ่งปริร้าวบิดเบี้ยวมาแสนนานถูกอสนีบาตลึกลับนี้ฟาดใส่ มันก็ถล่มลงมาโดยสมบูรณ์
ดุจเกิดหลุมใหญ่ยักษ์ขึ้นเหนือนภา!
วังวนเมฆาหนาแน่นอันอยู่ใกล้เคียงพลันแปรเปลี่ยนไปอย่างเหลือเชื่อ ก่อขึ้นเป็นท่อประหลาดที่ทะลวงผ่านหลุมยักษ์กลางนภา
ม่านตาของซูอี้พลันหดตัว อุ้มปราชญ์หงอวิ๋นขึ้นและกล่าวทันที “เจ้าซ่อนตัวก่อนนะ”
กล่าวจบ เขาก็ส่งตัวปราชญ์หงอวิ๋นเข้าไปในหอคอยสำริด
เขาเพิ่งทำเรื่องทั้งหมดนี้เสร็จ…
ตู้ม!
แท่นโบราณข้างกายเขาพลันสาดแสงแรงกล้า ปกคลุมยกพื้นสูงนี้ผนึกไว้โดยพลัน
ซูอี้ซึ่งอยู่ภายในดูราวถูกคุมขังในกรงในพริบตา!
“ฮ่า ๆๆ!”
ไกลออกไป ชายชราหัวล้านในอาภรณ์ยาวทะยานเข้ามาหา เชิดหน้าหัวเราะลั่นนภา “ข้าบอกตั้งนานแล้วว่ายามเจ้าก้าวสู่วิถีหมื่นมหันตภัยนี้ เจ้าก็ถูกกำหนดชะตามรณะไว้แล้ว!”
“เจ้าก็เห็นแล้วว่าหายนะสังหารแท้จริงนั้นหาอยู่ในวิถีหมื่นมหันตภัยไม่ แต่อยู่ ณ สุดวิถีหมื่นมหันตภัยต่างหาก!”
ชายชราหัวล้านในอาภรณ์ยาวนั้นแสนภาคภูมิเปี่ยมจิตวิญญาณ สีหน้าแสนอารมณ์ดี
“แต่กล่าวตรง ๆ ข้าไม่คาดเลยว่าเจ้าจะรอดมาถึงสุดวิถีหมื่นมหันตภัยซึ่งมิเคยมีผู้ใดทำได้ตลอดกาลนานมาสำเร็จ! เพียงเท่านี้ก็กล่าวได้แล้วว่าเป็นผู้แรกตราบประวัติศาสตร์”
เขายืนทอดสายตามองท้องนภา “น่าเสียดายที่พันธสัญญาแห่งทวยเทพไม่ยอมให้มีวัฏสงสารอยู่ และวันนี้ เจ้าและอำนาจวัฏสงสารในกายเจ้าก็จะถูกกำจัดลงที่นี่!”
ซูอี้กล่าวเบา ๆ ด้วยสีหน้าเฉยชาเยือกเย็น “หากใช้อำนาจแค่นี้ เกรงว่าคงมิอาจจองจำข้าได้หรอกนะ”
“เจ้าพูดถูก”
ชายชราหัวล้านในอาภรณ์ยาวพยักหน้า “เพื่อลบล้างอำนาจร้ายกาจเยี่ยงวัฏสงสารให้สิ้นซาก เกรงว่าคงไร้ผู้ใดทำได้เว้นเพียงอำนาจแห่งเหล่าเทพเหนือสวรรค์”
ม่านตาของซูอี้พลันหดตัวราวตระหนักบางอย่าง และเงยหน้าขึ้นมองลึกเข้าไปในท้องนภาทันที
ลึกเข้าไปในท่อลึกลับอันเสียบเข้าไปในท้องนภา ปรากฏปราณอันน่าสะพรึงกลัวยิ่งสายหนึ่งเคลื่อนลงมา ณ ขณะนี้!
………………..