บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1450: สัจธรรมปรากฏ!
ตอนที่ 1450: สัจธรรมปรากฏ!
ลึกเข้าไปในท้องนภา
ณ สุดหนทางอันแสนไกลปรากฏสายธารลึกลับแห่งมิติเวลาซึ่งกฎสวรรค์มิอาจแทรกแซงขึ้น
ธารสายคลั่งนั้นก่อกำเนิดโดยอำนาจกฎเกณฑ์
ทุกกระแสคลื่นล้วนเปี่ยมด้วยอำนาจปริศนา
ลึกเข้าไปในธารสายยาวแห่งมิติเวลานี้ พลันปรากฏร่างอันน่าสะพรึงกลัวขึ้นร่างหนึ่ง
เขาย่างก้าวเหนือเกลียวคลื่นบนธารสายยาวแห่งมิติเวลา
มองปราดแรก ร่างของคนผู้นี้จรัสจ้าเช่นตะเกียงโชติช่วง ยามเคลื่อนกายผ่านเยี่ยงดวงตะวันคล้อยบนนภา สาดรัศมีฉาบธารสายยาวแห่งมิติเวลา
ทรงอำนาจดุจเทพเจ้าผู้บัญชาแสงสว่าง!
ทว่ารูปลักษณ์ของเขากลับพร่ามัวอย่างยิ่ง ราวกับเป็นอำนาจกฎเกณฑ์ ไม่อาจฝืนเข้าถึงรายละเอียดได้อย่างชัดเจน
ขณะนี้ ร่างนั้นกำลังเยื้องกรายเหนือเส้นทางปริศนาใกล้เข้ามา
ตู้ม!
ทั่วฟ้าดินล้วนสั่นสะเทือน
โลกเร้นลับอันมีนามว่า ‘บรรพสถานอนุสรณ์’ นี้ดูจะเผชิญกับแรงกดดันมหาศาล ทั่วทุกแห่งหนปริร้าวจวนมลาย
แท่นโบราณ ณ สุดวิถีหมื่นมหันตภัยส่งเสียงคำราม สาดแสงอสนีบาตเจิดจรัสแปรเปลี่ยนเป็นมนตร์กักกันขังร่างของซูอี้ไว้ภายใน
ซูอี้เหลือบมองด้วยหางตา ก่อนจะเบนสายตาไปยังสุดวิถีลึกลับ
เขาสัมผัสได้ว่าปราณน่าสะพรึงกลัวเพียงพอจะสั่นสะท้านทั่วแดนสวรรค์กำลังใกล้เข้ามาจากวิถีลึกลับ
เพราะปราณร้ายกาจนั้นทรงพลังเกินไป อุโมงค์ทางเดินนั้นจึงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ดูราวกับมิอาจคงสภาพไว้ได้นาน
“อำนาจแห่งเทพ!”
หัวใจของซูอี้เต้นกระตุก
เมื่อนานมาแล้ว ชาติที่หกเคยสยบแดนสวรรค์ในโลกเซียน เผชิญหน้าอำนาจสูงส่งยิ่งใหญ่แห่งยุคสมัยต่าง ๆ สำรวจความลับต้นกำเนิดแห่งตำนาน และพยายามหาวิถีอันเกี่ยวข้องกับ ‘ทวยเทพ’
ทว่าท้ายที่สุด เขาก็เผชิญหายนะประหลาดพิสดารจนเกือบถูกหายนะอันแปรเปลี่ยนจากอำนาจกฎเกณฑ์ลบร่าง
และหายนะนั้นก็ถูกจารึกนามแสนนานในคัมภีร์โบราณ ณ โลกเซียนว่า ‘บัญญัติห้ามแห่งทวยเทพ’!
หายนะอวสานเซียนที่ว่านี้เป็นดั่งประกาศิตสูงสุดในธารสายยาวแห่งประวัติศาสตร์ ส่งผลต่อทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
ตัวตนใด ๆ ที่พยายามสืบเสาะความลับแห่งเทพตลอดกาลนานจะถูกถือเป็นผู้ลบหลู่ซึ่งต้องถูกลบทิ้งไปโดย ‘บัญญัติห้ามแห่งทวยเทพ’!
เดิมที เหตุที่ชาติที่หกรอดจากการทำลายล้างของ ‘บัญญัติห้ามแห่งทวยเทพ’ ได้นั้นมิใช่เพราะตนมีการฝึกฝนสูงส่งแต่อย่างใด
แต่เป็นเพราะหลังสัมผัสวิกฤติได้ เขาก็ชิงใช้อำนาจดาบเก้าคุมขังหนีออกมาจากธารสายยาวแห่งประวัติศาสตร์เสียก่อน
ทำให้แคล้วคลาดจากหายนะล่าสังหารนั้นไปอย่างฉิวเฉียด!
และยามนี้ อำนาจร้ายกาจซึ่งปรากฏ ณ สุดวิถีลึกลับนี่ก็แสนคล้ายคลึงใกล้เคียงกับ ‘บัญญัติห้ามแห่งทวยเทพ’ ที่ชาติที่หกเคยประสบ และเป็นฝีมือของ ‘เทพ’ อย่างเห็นได้ชัด!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหล่าเทพมิยินยอมให้อำนาจวัฏสงสารในมือของเขามีอยู่เฉกเช่นที่ชายชราหัวล้านในอาภรณ์ยาวว่า!
เมื่อคิดเช่นนี้ ซูอี้ก็สิ้นลังเล
“ขึ้นมา!”
มือขวาของเขายื่นออก และปราณดาบอันก่อขึ้นโดยเคล็ดพลังวัฏสงสารก็ปรากฏขึ้น
ดาบเก้าคุมขังในห้วงความนึกคิดของเขาสั่นสะท้านกู่คำราม ปลดปล่อยอำนาจลึกลับอันมหาศาลเข้าผนวกรวมกับปราณดาบในมือซูอี้
ชั่วขณะนั้น ปราณดาบวัฏสงสารในมือของซูอี้เรืองประกายเยี่ยงยามอัสดง
อำนาจดาบประหลาดเกินเข้าใจแผ่ออกมา
เปรี้ยง!!
เพียงอำนาจดาบนั้น แดนดินใกล้เคียงก็ถูกป่นขยี้
อำนาจหายนะอันดูราวกับกรงขังก็ถูกกระทบอย่างรุนแรงจนร้าวรานดุจใยแมงมุม
และเมื่อซูอี้ตวัดฟันปราณดาบในมือออกไป
มนตราดุจกรงขังนี้ก็ระเบิดแหลก
แท่นโบราณในบริเวณใกล้เคียงก็ถูกปราณดาบฟันแตกสลายไปทันที
วิถีหมื่นมหันตภัยใต้เท้าของเขาถูกโจมตีอย่างหนักหน่วงจนสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น
“แย่แล้ว!”
ไกลออกไป สีหน้าของชายชราหัวล้านในอาภรณ์ยาวพลันแปรเปลี่ยน
ทว่ายามนี้ เสียงอันยิ่งใหญ่ทรงพลังพลันดังออกมาจากสุดวิถีลึกลับ
“ห้าม!”
ตู้ม!
อุโมงค์ทางเดินลึกลับกู่ก้อง แสงศักดิ์สิทธิ์อันแปรจากอำนาจกฎเกณฑ์ทะยานออกเป็นตราประทับกดร่างซูอี้ไว้อย่างดุดัน
ซูอี้ฟาดดาบเข้าปะทะอย่างรุนแรง
ท้ายที่สุด แม้เขาจะหยุดตราประทับไว้ได้ ปราณดาบในมือของเขาก็แหลกสลายไป!
กระทั่งร่างของเขายังถูกดีดกระเด็นไป ริมฝีปากกระอักเลือด ถูกโจมตีสาหัสจนใบหน้าหล่อเหลาซีดเซียวโดยพลัน
“เป็นอำนาจแห่งเทพจริง ๆ!”
นัยน์ตาของซูอี้แปรเปลี่ยนเป็นไร้อารมณ์เย็นชายิ่ง หัวใจเปี่ยมด้วยจิตสังหาร
ตราประทับนี้แปรเปลี่ยนมาจากอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ เปี่ยมด้วยอำนาจร้ายกาจเหนือชั้นกว่ากฎสวรรค์นัก
ทว่า ซูอี้ก็ยังตัดสินได้ว่า ‘อำนาจแห่งเทพ’ นี้ยังอ่อนแอแตกต่างจาก ‘บัญญัติห้ามแห่งทวยเทพ’ ซึ่งชาติที่หกเคยประสบมาในธารสายยาวแห่งยุคสมัยอยู่หลายขุม
“ดูเหมือนว่าแม้อำนาจแห่งเทพจะปรากฏในโลกหล้าได้ แต่มันก็ถูกลดทอนอ่อนแอลงอย่างมหาศาล”
ซูอี้ครุ่นคิด
เหล่าเทพนั้นมีพันธสัญญา บัญญัติและกฎเกณฑ์ ดูราวกับอยู่เหนือสรวง ถือครองอำนาจร้ายกาจสูงสุด
แต่มันก็ยังได้รับผลจากบัญญัติและกฎเกณฑ์อยู่เช่นกัน
หาไม่ โลกนี้คงปั่นป่วนมิเหลือดี
เพราะถึงอย่างไร หากเหล่าเทพลงมือกระทำการได้ตามอำเภอใจ ฟ้าดินนี้เกรงว่าคงถล่มสลายหายไปแสนนาน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าแม้อำนาจแห่งเทพจะปรากฏในแดนมนุษย์ได้ขณะนี้ มันก็ยังถูกจำกัดด้วยบัญญัติกฎเกณฑ์บางอย่างอยู่ดี และ…
ยังถูกสะกดอำนาจมให้อ่อนแอลงอย่างร้ายแรง!
อย่างน้อย มันก็ยังห่างไกลเกินจะเทียบอำนาจกับ ‘บัญญัติห้ามแห่งทวยเทพ’ ซึ่งชาติที่หกเคยประสบมาบนธารสายยาวแห่งยุคสมัย
“ข้าคือ ‘หมีเจิน’ ผู้ผดุงวิถีแห่งท่านเทพ ข้ารับใช้เทพอยู่หนใด ออกมารับจุติเร็ว!”
เสียงอันทรงอำนาจหนึ่งดังออกมาจากในทางเดินลึกลับดุจวจีศักดิ์สิทธิ์สะท้อนจากเก้าชั้นสรวง
“ขอรับ!”
ชายชราหัวล้านในอาภรณ์ยาวรับคำสั่งอย่างเคร่งขรึม
เขาดูคลั่งไคล้บูชา มือประทับตราลับตรงหน้า และเหนือศีรษะก็ปรากฏสายประคำสีเทาสายหนึ่ง
ประคำสายนั้นเรืองรัศมี ฉายรุ้งทิพย์พร่างพราย ทะยานตรงเข้าไปในอุโมงค์ทางเดินลึกลับ
ผู้ผดุงวิถีสุเมรุแห่งเทพ?
ข้ารับใช้เทพ?
รับจุติ?
ซูอี้หรี่ตาลง ร่างของเขาพลันวูบไหวเข้าโจมตีชายหัวล้านในอาภรณ์ยาวทันที
อำนาจมหาวิถีในร่างโคจรดุเดือดยิ่งกว่าหนใด
ในมือของเขาปรากฏปราณดาบอีกสายก่อขึ้นจากเคล็ดพลังวัฏสงสาร อัดแน่นด้วยปราณดาบเก้าคุมขัง
ตู้ม!
หนึ่งดาบฟาดฟันออกฉีกกระชากทั่วแดน
ชายชราหัวล้านหาหลบเลี่ยงไม่ เขากล่าวด้วยรอยยิ้มประหลาดบนใบหน้า
“สายไปแล้ว!”
สิ้นเสียง
ชายชราหัวล้านในอาภรณ์ยาวก็ถูกหนึ่งดาบสะบั้นร่างสังหารลงทันที
ทว่าซูอี้ขมวดคิ้ว
ปรากฏว่าในอุโมงค์ลึกลับนั้นมีพิรุณแสงอำนาจกฎเกณฑ์ฉายขึ้น และหลังสลายไปสิ้น เงาร่างพร่ามัวก็ค่อย ๆ ก่อตัว
เมื่อมองดี ๆ ก็คือชายชราหัวล้านนั่นเอง
ทว่าบรรยากาศของเขาแปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง!
ทั่วร่างของเขาฉายประกายรัศมีนับพันดุจเทพเจ้าผู้บัญชาแสงสว่าง จรัสจ้าทรงอำนาจ แข็งแกร่งเสียจนทำให้ทั่วฟ้าดินกำสรวญ
มิต้องสงสัยเลยว่าชายชราหัวล้านใช้ร่างของตนเป็นภาชนะรับจุติผู้ผดุงวิถีแห่งเทพ ‘หมีเจิน’ ที่มาใหม่นี้!
และนี่หมายความว่าอำนาจแห่งเทพมิอาจมายังโลกหล้าได้โดยแท้จริง
หาไม่ ไฉนจึงส่งมาเพียงผู้ผดุงวิถี?
ไฉนจึงต้องใช้ร่างของชายชราผู้อ้างตนว่าเป็น ‘ทูตสวรรค์’ ทว่าแท้จริงเป็นข้ารับใช้เทพเป็นภาชนะในการจุติสู่โลกาด้วย?
“ผู้ถือครองวัฏสงสาร ในที่สุดก็พบกันอีกครั้ง!”
เสียงทรงพลังออกมาจากปากของชายชราหัวล้าน ดวงตาของเขาเจิดจรัสเยี่ยงดวงตะวัน รัศมีเจิดจรัสสาดออกทั่วร่างไปทั่วฟ้าดิน
กล่าวให้กระชับก็คือ ขณะนี้ ชายชราหัวล้านในชุดยาวก็คือผู้ผดุงวิถีใต้บัญชาเทพ ‘หมีเจิน’!
“พบกันอีกครั้ง?”
ซูอี้เลิกคิ้ว ประหลาดใจเล็กน้อย
แทนที่จะกระทำการบุ่มบ่าม เขากล่าวถามออกไป “หมายความว่าเจ้าเคยพบข้ามาก่อนหรือ?”
“ถูกต้อง”
น้ำเสียงของหมีเจินทรงพลัง ดวงตาเปี่ยมจิตสังหารอันมิได้สะกดกลั้น เย็นชาคุกคาม “ข้าเคยเห็นเจ้าถูกทวยเทพสังหารมาสองหนแล้ว!”
“หนึ่งหนเกิดขึ้น ณ ธารสายยาวแห่งยุคสมัย”
“หนึ่งหนเกิดขึ้นใน ‘เขตเทพชะตาสรวง’”
“เทียบกันแล้ว เจ้าในยามนี้ช่างอ่อนแอจริง ๆ!”
ซูอี้หรี่ตาลง นึกประหลาดใจขึ้นเฉียบพลัน
ตัวฆ่า… ถูกทวยเทพร่วมมือสังหารไปสองหนหรือ!?
หากเป็นเช่นนั้น สิ่งที่หมีเจินพูดถึงนั้นก็น่าจะเป็นสองอดีตชาติของเขา!
เมื่อตระหนักเรื่องนี้ ซูอี้ก็ตกใจและอนุมานสัจธรรมหนึ่งขึ้นได้
สองอดีตชาติของเขา ต่อให้ถูกทวยเทพสังหาร ก็มิอาจสังหารพวกเขาลงได้โดยแท้จริง!
นี่ย่อมเกี่ยวข้องกับดาบเก้าคุมขังเป็นแน่แท้!
ไกลออกไป หมีเจินกล่าวต่อ “ทว่า ก็ไม่น่าประหลาดใจที่เจ้าจะอ่อนแอ”
“ตลอดกาลแสนนาน เพื่อกำจัดเจ้าคนลบหลู่เช่นเจ้าให้สิ้นซาก เหล่าเทพจึงวางแผนไล่เรียงมาแสนนาน ร่วมมือกันจองจำกฎเกณฑ์แห่งโลกเซียน ทำลายผู้น่าสงสัยทุกคน”
“สร้างบัญญัติกฎเกณฑ์ทำลายวิถีจุติสรวง หยุดยั้งมิให้ปุถุชนแปรเป็นเซียนโดยสมบูรณ์”
“เหล่าเทพทำทุกสิ่งนี้เพื่อจะหยุดวิถีเวียนวัฏฝึกฝนของผู้ถือครองวัฏสงสารเช่นเจ้าโดยสมบูรณ์!”
“และแผนการความพยายามของเหล่าเทพก็หาเสียเปล่าไม่ เมื่อเทียบกับยามที่เจ้าสามารถทัดเทียมเหล่าเทพเมื่อกาลก่อน เจ้าในยามนี้… ช่างอ่อนแอเสียจนข้ารู้สึกเวทนา”
หมีเจินรำพึง ดูจะระลึกถึงเรื่องบางอย่างอันเกิดขึ้นแสนนาน
และยามนี้ ซูอี้ก็ขมวดคิ้ว จำเรื่องอดีตขึ้นมาได้มากมายเช่นกัน!
‘วิถีสู่สวรรค์’ ในภูมิดาราฟ้าดินถูกทำลายไปแต่บรรพกาล
วิถีจุติสรวงในส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาวก็ถูกหายนะสิ้นกฎเกณฑ์สะบั้นไป
และหายนะอวสานเซียนอันบังเกิดแก่โลกเซียน!
…ที่แท้การเปลี่ยนแปลงอย่างมหันต์ทั้งหมดนี้ ผู้อยู่เบื้องหลังคือทวยเทพหรือ!?
หายนะอันส่งผลกระทบทั่วโลกหล้าทั้งหลายนี้ แท้จริงแล้วมุ่งเป้ามาที่เขาหรือ?
เพื่อที่จะหยุดวิถีเวียนวัฏฝึกฝนใหม่ของเขา ให้เขาตายตกโดยสมบูรณ์?
สัจธรรมเช่นนี้ทำให้ซูอี้อดรู้สึกเเย็นเยือกที่สันหลังมิได้
เขาแสยะยิ้มเยาะกล่าวทอดถอนใจโดยพลัน “พวกเทพที่เจ้าว่านี่… ช่างไร้สามารถจริง ๆ!”
น้ำเสียงนั้นเปี่ยมด้วยความเหยียดหยาม
หมีเจินขมวดคิ้ว กล่าวอย่างเย็นชาจากไกล ๆ “ข้าเข้าใจถูกไหมว่านี่คือคำแช่งอย่างไร้สามารถของเจ้าก่อนตาย?”
ซูอี้กล่าวโดยมิซุกซ่อนความดูแคลนด้วยนัยน์ตาไร้อารมณ์ “หากเหล่าเทพแสนสามารถนัก ไฉนในอดีตจึงหาข้าไม่เจอเสียที ต้องมาเล่นลูกไม้โง่ ๆ ที่เจ้าเรียกแผนพวกนั้นด้วย?”
ดวงตาของหมีเจินวูบไหว
ทว่ายามที่เขากำลังจะอ้าปากโต้เถียงนั้นเอง
ซูอี้ก็กล่าวเย้ย “หลังผ่านแสนนาน พวกเจ้าก็ยังฆ่าข้าไม่ได้สักทีจนต้องก่อหายนะในโลกหล้า ทำลายสารพัดวิถีเพื่อป้องกันมิให้ข้าเวียนวัฏฝึกฝนใหม่ เทพพวกนี้มิเพียงไร้สามารถเท่านั้น แต่ยัง…”
“น่าขันสิ้นดี!”