บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1451: ลงทัณฑ์แทนเทพ
ตอนที่ 1451: ลงทัณฑ์แทนเทพ
ถือเทพเป็นเรื่องตลก!
วาจาเช่นนี้ หากคนทั่วไปได้ยินเข้าคงทำเพียงคิดว่าซูอี้นั้นโอหัง
ทว่าเมื่อกระทบโสตผู้ผดุงวิถีอย่างหมีเจินผู้รับใช้ทวยเทพนั้น มันไม่ต่างจากคำดูถูกเหยียดหยามอันหยาบคายซึ่งหน้าเป็นที่สุด
สีหน้าของเขาบูดบึ้ง “หากไม่ใช่เพราะอำนาจวัฏสงสาร เกรงว่าเจ้าคงตายไปแสนนานแล้ว! เป็นแค่เชลยพ่ายศึก กล้าดีเช่นไรมาออกปากพูด?”
ซูอี้เสสรวลกล่าว “สงครามวาจานั้นไร้ความหมายเสมอ”
เขาพอจะอนุมานได้แล้วว่าเหล่าเทพยากจะหาเขาพบด้วยเหตุบางประการจริง ๆ
หาไม่ ตลอดกาลนานมา ไม่ว่าจะเป็นหวังเย่ เสิ่นมู่ ทัศนาจารย์หรือตัวเขา ไฉนจึงไม่ได้ตายตกด้วยน้ำมือเหล่าเทพเสียเล่า?
เป็นเพราะเหตุผลบางประการที่ทำให้เหล่าเทพมิอาจหาเขาพบนี้เอง พวกเขาจึงทำได้เพียงทำลายสารพัดวิถีในโลกหล้าตลอดชั่วกาลนานเพื่อกีดกันมิให้เขาแข็งแกร่ง!
หาไม่เจอ?
งั้นก็ทำลายวิถีเพื่อขวางทางเสียเลย!
“เหตุที่ทวยเทพหาข้าไม่เจอนั้น น่าจะเกี่ยวกับอำนาจของดาบเก้าคุมขัง…”
ซูอี้ครุ่นคิด “หรือบางทีอาจมีอำนาจอื่นขวางทางเหล่าเทพอยู่ จึงไม่อาจหาข้าเจอได้ตลอดมา”
“และยามนี้ เหตุผลที่พวกเขาหาข้าพบได้นั้นก็เพราะวางกับดักเฝ้ารอมาแสนนาน ไม่ใช่เพราะวิถีการของพวกตนชาญฉลาดหรืออย่างไร!”
“น่าจะถึงกาลแล้ว”
ยามนี้ หมีเจินพลันเงยหน้าขึ้นมองท้องนภาและยื่นมือข้างหนึ่งขึ้น
ตู้ม!
สุญญะแหลกร้าว หนึ่งแท่นศิลาปรากฏขึ้น
มันคือแท่นศิลาสูงร้อยจั้งที่เป็นทางเข้าบรรพสถานอนุสรณ์แห่งนี้ ทว่ายามนี้มันมีความสูงเพียงหนึ่งจั้ง ทั่วแท่นเจิดจรัสด้วยแสงทมิฬเสียดแทง
และตัวเขาในโลกหล้าก็เป็นเช่นสัตว์ร้ายในกรงขัง!
“ยามนี้ ข้าจะพาเจ้าออกจากแดนมนุษย์สู่ธารสายยาวแห่งมิติเวลาเพื่อลบล้างวัฏสงสารให้สิ้นด้วยอำนาจทัณฑ์สวรรค์ เจ้า… กลัวหรือไม่?”
หมีเจินมองซูอี้ด้วยแววตาเหย้าหยอกปนเวทนา ราวกับจะพยายามหาความตื่นตระหนกหวาดกลัวในสีหน้าของซูอี้
ทว่าเขาก็ต้องประหลาดใจที่ซูอี้ยังคงสุขุม ไร้การเปลี่ยนแปลงอารมณ์ใด ๆ ดุจกาลก่อน
กระทั่งเมื่อสายตามองสบ ซูอี้ผู้เขาถือว่าเป็นคนตายไปแล้วก็ยังอดยิ้มมิได้!
ซูอี้แย้มยิ้ม เอ่ยแนะอย่างจริงจัง “เอาสิ เริ่มแสดงได้เลย”
หมีเจิน “…”
เขาแค่นเสียงอย่างเย็นชา แขนเสื้อโบกสะบัด
ตู้ม!
แท่นศิลากู้คำราม
โลกหล้าอันขานนามว่าบรรพสถานอนุสรณ์นี้พลันหดตัวลงอย่างมหาศาล
เพียงพริบตา มันก็เหลือขอบเขตเพียงสิบจั้ง!
ดุจกรงขังขนาดสิบจั้ง กำแพงอันก่อเกิดจากอำนาจกฎเกณฑ์ร้ายแรงหนาแน่นขังซูอี้ไว้ภายใน
และหมีเจินผู้ใช้แท่นศิลาก็อยู่นอกกรงนั้น
“กรงนี่เป็นเช่นไรบ้าง?”
หมีเจินถาม
ซูอี้ไพล่มือไว้เบื้องหลัง กล่าวอย่างเฉยชา “มีหนึ่งสัจธรรมอันไม่อาจทำลายได้มาแต่โบราณ อยากฟังหรือไม่?”
หมีเจินกล่าวด้วยแววตาพราวระยับ “ว่ามาสิ ข้าอยากฟัง”
เมื่อเขาเห็นซูอี้ถูกจองจำ เขาก็สุขุมเยือกเย็นขึ้นเรื่อย ๆ
ซูอี้กล่าวว่า “ผู้ร้ายมักตายเพราะพูดมากเกินไป”
หมีเจิน “???”
เขาเสสรวลกล่าว “เจ้าคิดว่าตัวเป็นตัวเอกในนิทานปุถุชนหรือไร?”
ซูอี้ว่า “ผู้รอดชีวิตล้วนเป็นตัวเอกได้ทั้งนั้น ส่วนผู้ตายก็ล้วนเป็นตัวร้าย แสดงต่อสิ ข้ารอดูอยู่ว่าเจ้าจะมีบทได้มากเพียงไร”
หมีเจินยกมือชี้ซูอี้ “จริงอยู่ที่แม้เจ้าจะตาย เจ้าก็ยังมีโอกาสเวียนวัฏฝึกฝนใหม่อยู่ดี ซึ่งอาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้เจ้ามั่นใจไร้ความกลัวก็ได้ ทว่ายามนี้…”
“เราจะมิฆ่าเจ้า!”
“เจ้าผู้ยังมีชีวิตนั้นอ่อนแอเยี่ยงมด ถูกขังในกรงแห่งเทพ จะรอดก็ไม่ จะตายก็ไม่อาจ ต้องใช้ชีวิตสิ้นหนทางไปชั่วนิรันดร์”
“กระทั่งฆ่าตัวตาย… ก็มิได้อยู่ดี!”
“เช่นนี้ จึงทำให้เจ้ามิอาจเวียนวัฏฝึกฝนใหม่ได้อีก!”
ท้ายที่สุด เขาก็อดยิ้มมิได้ “นี่แหละทัณฑ์แห่งเทพ! เจ้ายังยิ้มออกอยู่หรือไม่?”
ซูอี้แค่นหัวเราะ ไม่กล่าวอันใดอีก ทำเพียงเผยรอยยิ้มสุขุมอันแสนเป็นธรรมชาติ
ราวรับรู้ความหมายรอยยิ้มของซูอี้
รอยยิ้มบนใบหน้าหมีเจินค่อย ๆ หดหายไป
เขาแค่นเสียงอย่างเย็นชา หยุดเสวนาเรื่อยเปื่อยแล้วถือแท่นศิลาทะยานสู่เวหา
ตู้ม!
บรรพสถานอนุสรณ์ซึ่งเหลืออาณาเขตเพียงสิบจั้งถูกห่อหุ้มทะยานสู่ส่วนลึกแห่งท้องนภา เข้าไปในหนทางลึกลับนั้นด้วยกันกับหมีเจิน
ซูอี้หาต่อต้านไม่แต่ต้นจนจบ ดวงตาของเขาลึกล้ำไร้อารมณ์
……
ณ สุดอุโมงค์ทางเดินลึกลับ ธารยาวแห่งมิติเวลาทอดยาวข้ามสุญญะไร้สิ้นสุดในคลองจักษุ
เกลียวคลื่นเหล่านั้นล้วนแปรเปลี่ยนมาจากอำนาจบัญญัติกฎเกณฑ์
กวาดผ่านอดีต ทะยานผ่านปัจจุบันไปโผล่สู่อนาคตเหมือนดั่งนิรันดร์กาล!
เมื่อเขาเห็นธารยาวนี้ ซูอี้ผู้ยืนอยู่ใน ‘กรง’ ก็อดคิดถึงธารสายยาวแห่งโชคชะตามิได้
และยังนึกไปถึงชาติแรกผู้ยืนอยู่บนธารสายยาวแห่งโชคชะตานั้น!
เทียบกันแล้ว ธารสายยาวแห่งมิติเวลานั้นเล็กจ้อย แตกต่างจากธารสายยาวแห่งโชคชะตาโดยสิ้นเชิง
อย่างน้อยที่สุด ในธารสายยาวแห่งโชคชะตายังมีเหตุพลิกผันแห่งโลกหล้า การแปรเปลี่ยนแห่งยุคสมัย และสารพัดอุบัติพิสดารให้เห็นมากมาย
ธารสายยาวแห่งมิติเวลานั้นคือบัญญัติกฎเกณฑ์อันสร้างจากมิติเวลาอันสอดประสาน
ตู้ม!
เมื่อร่างของหมีเจินก้าวลงบนธารสายยาวแห่งมิติเวลา เขาก็เหมือนปลดตรวนผนึกทั่วร่าง ปราณพลันทะยานสูง
ร่างของเขาจรัสจ้าเยี่ยงตะวันแผดเผา สาดส่องทั่วธารแห่งมิติเวลา!
“นี่คือความแข็งแกร่งที่แท้จริงของข้า!”
หมีเจินกล่าวขณะที่รูปร่างแปรเปลี่ยนไป
เดิมทีเขาสิงสู่ร่างของชายชราหัวล้านอยู่ ทว่ายามนี้ เขาฟื้นร่างแท้จริงแปรเปลี่ยนเป็นชายชุดดำผู้หนึ่งซึ่งมีผิวและใบหน้ากระจ่างเช่นหยก
ร่างของเขาจรัสรัศมีไร้ประมาณ นัยน์ตาเรืองโรจน์ดุจตะเกียงทอง เจิดประกายฉายทั่วทศทิศ
ซูอี้กล่าวอย่างครุ่นคิด “หรือเทพที่เจ้ารับใช้จะเป็นจากสำนักพุทธหนอ?”
หมีเจินอดค่อนขอดมิได้ “เจ้ายังมองที่มาของข้าไม่ออกอีกหรือ? ว่าแล้วเชียว เจ้าผู้เวียนวัฏฝึกฝนใหม่ ท้ายที่สุดก็อ่อนแอเกินไปจนมิได้ฟื้นความทรงจำอดีตชาติ หาไม่ ไฉนต้องถามคำถามเป็นเจ้าหนูจำไมเช่นนี้?”
ซูอี้จ้องหมีเจินอย่างลึกล้ำ และกล่าวว่า “จำคำข้าไว้”
หมีเจินกล่าวยิ้ม ๆ “คำใดเล่า?”
ซูอี้ว่า “ผู้ร้ายตายเพราะพูดมากเกินไป นี่มิใช่คำเตือนสติ แต่เป็นจุดจบที่เจ้าจะได้รับวันนี้”
“เฮอะ!”
นัยน์ตาของหมีเจินเหยียดเยาะ
แขนเสื้อโบกสะบัด มือกำประสาน เสียงอื้ออึงเกินเข้าใจดังออกมาจากปาก
เปรี้ยง!
ธารสายยาวแห่งมิติเวลาบิดวนเชี่ยวกราก อำนาจร้ายกาจอันมิอาจมองเห็นแผ่ออกมาจากทิศทางการไหลทะยาน
ปราณอันน่าสะพรึงกลัวนั้นทำให้ธารสายยาวแห่งมิติเวลาดูราวเดือดพล่าน สารพัดคลื่นคลั่งคำรามสะท้าน
สารพัดอำนาจกฎเกณฑ์อันแปรเปลี่ยนเป็นคลื่นกำลังสั่นสะเทือน!
ขณะนี้ หมีเจินกล่าวชัดถ้อยทีละคำด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง
“นิรันดร์กาลดุจราตรี สยบทุกความทะเยอทะยาน ใช้ร่างแผดตะเกียง เจิดจรัสชั่วกาลนาน!”
ด้วยวจีนั้น ตะเกียงสีเขียวอันเลือนรางดวงหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในธารสายยาวแห่งมิติเวลา ก่อขึ้นจากสารพัดบัญญัติกฎเกณฑ์โดยแท้
ตะเกียงนี้สูงประมาณหนึ่งฉื่อ ทว่ากลับดูจะสามารถแผ่อำนาจกดดันสูงสุดสยบนิรันดร์กาล
ดวงตาของซูอี้เจ็บแปลบจนต้องหรี่ลง
นี่หาใช่สมบัติไม่ แต่เป็นตราประทับเร้นลับต้องห้ามอันถูกก่อขึ้นโดยอำนาจบัญญัติกฎเกณฑ์ เห็นได้ชัดว่าเป็นฝีมือของเหล่าเทพ!
ทันใดนั้น หมีเจินก็ตวาดลั่น
ตู้ม!
เขาเอื้อมมือออกไปคว้าตะเกียงสีเขียวนั้น
ชั่วขณะนั้น หมีเจินดูจะกลายเป็นเทพผู้ลงทัณฑ์เหนือสวรรค์ อำนาจของเขาทะยานสูงอีกหน ปราณร้ายกาจชวนสะพรึง
“นี่คืออำนาจแห่งเทพ!”
ดวงตาของหมีเจินดุจมหาตะวัน น้ำเสียงเลื่อนลั่นดุจอสนีกึกก้องทั่วธารสายยาวแห่งมิติเวลา เกลียวคลื่นสั่นระรัว อำนาจบัญญัติกฎเกณฑ์กระเพื่อมสั่นวน
เขามองซูอี้ด้วยสีหน้าเปี่ยมอำนาจยิ่งใหญ่ “ยามนี้ เจ้ายังยิ้มออกอยู่หรือ?”
เขาถามคำถามนี้มากกว่าหนใด
ดูเหมือนจะเป็นการพยายามทำลายสภาพจิตใจของซูอี้ด้วยอยากเห็นสภาพโกรธแค้นบ้าคลั่งของซูอี้
น่าเสียดาย…
ที่หมีเจินต้องผิดหวัง
ซูอี้ผู้ยืนอยู่ใน ‘กรงขัง’ นั้นไม่เพียงยังยิ้ม แต่ยังเผยความเย้ยเยาะเย้าหยอกอีกด้วย
ชั่วขณะนั้น ดวงตาของหมีเจินเย็นเยียบอย่างยิ่ง สัมผัสว่าเกียรติของตนกำลังถูกท้าทายอย่างมหันต์
เขาลงมือโดยไร้ลังเล
“สยบ!”
เพียงหนึ่งงอนิ้ว แสงอันเจิดจรัสสว่างจ้าก็ปรากฏจากตะเกียง แปรเปลี่ยนเป็นกลีบบุปผาจากอำนาจกฎเกณฑ์ลึกลับเกินเข้าใจปกคลุม ‘กรง’ ที่ขังซูอี้ไว้จนมิด
ตู้ม!
ทั่วทั้งกรงถูกผนึกแน่นหนา
และพิรุณแสงจากกลีบบุปผากฎเกณฑ์เหล่านั้นก็พุ่งเข้าใส่ซูอี้ใน ‘กรง’
ยามนี้ นัยน์ตาของหมีเจินเรืองรองด้วยความตื่นเต้นอย่างมิอาจปิดบัง
เมื่อนานมาแล้ว เขาได้พบเห็นว่าผู้ถือครองวัฏสงสารนี้ถูกทวยเทพร่วมมือประหารมาสองหน!
และย่อมรู้ว่าผู้ถือครองวัฏสงสารนั้นเดิมแข็งแกร่งร้ายกาจเพียงไร เขาถึงกับบีบให้ทวยเทพร่วมมือ และทุ่มเทยอมเสียสารพัดสิ่งเพื่อฆ่าเขา!
และยามนี้ เขาในฐานะผู้ผดุงวิถีแห่งเทพจะสานเจตจำนงแห่งเทพ ทำลายวัฏสงสารและผนึกผู้ครองวัฏสงสารไว้ มีหรือในใจจะมิตื่นเต้น?
ทว่าเพียงพริบตา ความตื่นเต้นก็มลายจากสายตาของหมีเจิน สีหน้าของเขาพลันแปรเปลี่ยน
เพราะในกรงนั้น ร่างของซูอี้พลันเรืองรัศมีสีขาวกระจ่างเยี่ยงหิมะชั้นหนึ่ง บดขยี้พิรุณแสงอันกระจายออกจากกลีบบุปผาบัญญัติกฎเกณฑ์ทั้งหลายสลายสิ้นทันที!
ตู้ม!
ตัวกรงถูกกระเทือนรุนแรงจนสั่นสะเทือนโยกไหว
“ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว แต่ดูเหมือน… เจ้าจะไม่รู้จักใช้มัน”
ซูอี้กล่าว
มิอาจทราบได้ว่ามีกล่องสำริดลึกลับกล่องหนึ่งปรากฏในมือของเขาแต่ยามใด
รัศมีลึกลับอันขาวกระจ่างเยี่ยงหิมะแผ่ออกมาจากกล่องสำริดนี้เอง
พิรุณแสงลึกลับนี้ประหลาดอย่างยิ่ง เพียงปราณที่หลุดลอดออกมาก็ทำให้กรงขังซูอี้คร่ำครวญสะเทือนสั่นรุนแรง!
“ต้นกำเนิดพลังนั่น!?”
หมีเจินดูจะรู้จักมันและเผยสีหน้าไม่อยากเชื่อ “นาง… ไม่ใช่ว่าถูกทวยเทพฆ่าไปแล้วหรือ ไฉนเป็นเช่นนี้…”
ก่อนเขาจะทันพูดจบ หนึ่งเสียงก็ดังออกมาจากกล่องสำริดในมือซูอี้
“ผู้อาวุโส นี่เป็นเพียงกระดูกมือข้างเดียวของนางผู้นั้นขอรับ! อย่าถูกไอ้เด็กนั่นหลอกนะขอรับ!”