บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1452: กิริยาไร้ผู้เทียบ ตะลึงทั่วแดนมนุษย์
ตอนที่ 1452: กิริยาไร้ผู้เทียบ ตะลึงทั่วแดนมนุษย์
กระดูกมือข้างหนึ่ง?
หมีเจินพลันกล่าวเยาะ “ที่แท้นี่ก็คือไพ่ตายของเจ้า”
“สหายเต๋า ข้าคือฉินต่งซวีจากยุคมายา สำนักของข้าเคารพบูชา ‘เทพปีศาจราหู’ เมื่อนานมาแล้ว ข้าถูกหญิงผู้นั้นวางแผนผนึกในกระดูกมือของนาง ขอผู้อาวุโสช่วยชีวิตข้าด้วย!”
เสียงจากกล่องสำริดนั้นร้อนรนรีบเร่ง
ซูอี้หาได้หยุดยั้งมันไว้หรือเดือดเนื้อร้อนใจแต่ต้นจนจบไม่
ดุจมองละครปัญญาอ่อนอย่างเย็นชา
“ศิษย์ผู้หนึ่งของเทพปีศาจราหู…”
ดวงตาของหมีเจินวูบไหว “ได้ ข้าจะช่วยชีวิตเจ้า”
ตู้ม!
ปลายนิ้วของเขากดลงบนตะเกียงสีเขียว ปลดปล่อยเพลิงศักดิ์สิทธิ์เจิดจ้า อำนาจกฎเกณฑ์ปรากฏจากเพลิงศักดิ์สิทธิ์แข็งกล้ากว่าการโจมตีก่อนหน้าอย่างเทียบไม่ติด
เพียงพริบตา ‘กรงขัง’ ที่ซูอี้อยู่ดูจะลุกไหม้ เพลิงศักดิ์สิทธิ์ร้ายกาจทะลวงสู่ภายใน เข้าต่อสู้กับพิรุณแสงขาวโพลนจากกล่องสำริดอย่างดุดัน
เปรี้ยง!
พิรุณแสงกระจายพร่างพรม อำนาจกฎเกณฑ์กวาดผ่านทุกแห่งหน
พิรุณแสงพิสุทธิ์สีนั้นประหลาดอย่างยิ่ง มันดูสูงส่งเลือนราง ทว่าก็ขวางการโจมตีจากเพลิงแสงอันประดังเข้ามาได้
หมีเจินแค่นเสียงอย่างเย็นชา ก่อนจะเร่งตะเกียงสีเขียวในมืออย่างสุดกำลัง
ทันใดนั้น เพลิงแสงนับไม่ถ้วนก็ปะทุโชติช่วง กวาดทั่วธารยาวแห่งมิติเวลาเข้าสู่กรงที่ซูอี้อยู่
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
เสียงระเบิดดังขึ้นถี่รัว
แทบไม่อาจคงอยู่ได้ต่อ!
“ผู้อาวุโส อำนาจของกระดูกมือนั้นจะสลายไปแล้วขอรับ!”
เสียงของฉินต่งซวีตะโกนอย่างตื่นเต้นออกมาจากกล่องสำริด
หมีเจินทำเพียงแค่นเสียงเบา ๆ
เขาลงมือโจมตี ส่งทัณฑ์สวรรค์ออกจากตะเกียงสีเขียวในมืออย่างเต็มกำลัง ส่งเพลิงแสงศักดิ์สิทธิ์โชติช่วงโจมตีซูอี้ซึ่งติดอยู่ในกรงขัง
ซูอี้ทำเพียงยืนนิ่ง สงบเงียบเสมอมา หาได้เคลื่อนไหวใด ๆ ไม่
ทว่า ดวงตาของเขาทอดลงมองมือในกล่องสำริด
ในกล่องสำริดนี้มีกระดูกมือชิ้นหนึ่งอยู่จริง ๆ ซึ่งซูอี้ได้มันมาขณะอยู่ในแดนลี้ลับดึกดำบรรพ์
เจ้าของกระดูกมือนั้นเป็นสตรีลึกลับนามลั่วเหยา
และในกระดูกมือข้างนี้ยังมีเสี้ยววิญญาณนามฉินต่งซวีถูกผนึกอยู่
คนผู้นี้หาได้มาจากยุคสมัยปัจจุบันไม่ แต่มาจากมิติเวลานาม ‘ยุคมายา’
กาลก่อน ฉินต่งซวีได้ข้ามสายธารแห่งกาลเวลามาทำลายวิถีสู่สวรรค์ในภูมิดาราฟ้าดินด้วยอำนาจหายนะ!
และที่มาของลั่วเหยาก็ลึกลับยิ่งกว่า
สตรีผู้นี้พิทักษ์วัฏสงสาร ณ ภูมิมืดมิดมาแสนนาน มิมีผู้ใดรู้ว่านางอยู่ที่นั่นเพื่อการใด
กระทั่งท่านมหาเทพหงและมหาเทพมืดมิดผู้ดูแลกรมหกวิถีแห่งภูมิมืดมิดเมื่อกาลก่อนยังมิอาจทราบที่มาของสตรีผู้นี้
ยามเมื่อฉินต่งซวีข้ามธารแห่งกาลสู่ภูมิดาราฟ้าดิน ลั่วเหยานี่เองที่ลงมือปราบ ‘ฉินต่งซวี’ ในท้ายที่สุด!
และมือของลั่วเหยาข้างหนึ่งก็สะบั้นลง ณ ศึกนั้น
จากคำกล่าวของท่านมหาเทพหง ยามนั้นลั่วเหยาถูกผลกระทบจากสายธารแห่งกาลเวลา คาดว่าถูกอำนาจร้ายกาจมืดดำบางอย่างหมายหัว ทำให้นางต้องหลบลี้ไปโดยเร็วที่สุดหลังปราบฉินต่งซวีได้
ก่อนจากจร นางทิ้งมือที่ถูกสะบั้นข้างนั้นไว้ และบอกท่านมหาเทพหงว่านางจะกลับมารับมือข้างนั้นในภายหน้า
มือข้างนั้น ณ ยามนี้ก็คือกระดูกมือเรียวขาวซึ่งถูกผนึกอยู่ในกล่องสำริดนี้เอง
จนเมื่อซูอี้เข้ามาเลื่อนขอบเขตในเขตต้องห้ามเซียนอับโชค กล่องสำริดและกระดูกมือนี้จึงมาอยู่ในมือซูอี้
นอกจากนั้น ท่านมหาเทพหงขณะนั้นยังกล่าวว่า
แม้ว่าโบราณกาล มหาเทพมืดมิดจะสามารถควบวัฏสงสารได้ ทว่าเขาก็ถูกจำกัดและมิเคยเปิดวิถีเวียนวัฏได้โดยแท้จริงสักหน!
เหตุผลของมันนั้นคาดว่าจะเกี่ยวพันกับพันธสัญญาแห่งทวยเทพ และยังต้องสงสัยจะเกี่ยวกับสตรีลึกลับลั่วเหยาด้วย!
ยามนั้นเองที่ซูอี้ได้รู้ ว่านับแต่เริ่มต้นประวัติการณ์จวบยามนี้ มีเพียงเขาเท่านั้นที่เปิดวิถีวัฏสงสารเวียนวัฏฝึกฝนใหม่ได้!
จวบภายหลัง ซูอี้จึงได้รู้ว่าเหตุผลที่ลั่วเหยา สตรีผู้มีที่มาลึกลับใช้กระดูกมือของนางผนึกเสี้ยววิญญาณของฉินต่งซวีไว้ นั่นก็เพื่อที่นางจะไปยังยุคมายาในภายหน้า!
เจตจำนงเสี้ยวหนึ่งของลั่วเหยายังบอกซูอี้อีกว่า ร่างจริงของนางจะหวนคืนมาในอีกสามปี!
และยังขอให้ซูอี้เก็บกระดูกมือนี้ของนางไว้ ยามนางหวนคืน นางจะมอบรางวัลอันมิคาดคิดให้แก่ซูอี้!
ยามนี้ ซูอี้ได้รับกล่องสำริดมาสองปีกว่าแล้ว
และเมื่อครู่ หลังหมีเจินปรากฏขึ้นใน ‘บรรพสถานอนุสรณ์’ กล่องสำริดนี้พลันแปรเปลี่ยน ดึงความสนใจของซูอี้ไป
ต้องพูดว่าซูอี้เองก็ประหลาดใจ ไม่คาดเลยว่าอำนาจในกระดูกมือจะสามารถประชันกับอำนาจแห่งเทพได้!
แต่ก็เท่านั้นแหละ
ซูอี้หาฝากความหวังรอดชีวิตไว้กับกระดูกมือไม่
เหตุผลที่เขาไม่ได้ลงมือก่อนหน้านี้ก็เพราะต้องการรู้ว่ากระดูกมือนี้แปรเปลี่ยนไปเพราะเหตุใด
และยามนี้ เมื่อเห็นว่าอำนาจของกระดูกมือมิอาจทนต่อได้ ซูอี้ก็สิ้นลังเล
หรืออันที่จริง เขาแทบสะกดอำนาจดาบเก้าคุมขังในห้วงความนึกคิดไว้ไม่อยู่แล้ว!
นับแต่เผชิญหน้ากับหมีเจิน ดาบเก้าคุมขังก็แปรเปลี่ยนหงุดหงิดงุ่นง่านเป็นพิเศษราวถูกปลุกกระตุ้น ส่งวจีเดือดดาลมาดร้ายอยู่ในห้วงความนึกคิดของเขา
นี่คือการเปลี่ยนแปลงซึ่งเขามิเคยพบพานมาก่อน!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าดาบเก้าคุมขังน่าจะสัมผัสพลังแห่งเทพได้ และเดือดดาลขึ้นมา
ไกลออกไป หมีเจินกล่าวยิ้ม ๆ “แต่อย่าห่วงเลย ข้าจะไม่ฆ่าเจ้าเช่นที่ลั่นวาจา แต่จะขังเจ้าและส่งไปยังคุกแห่งทวยเทพ!”
เขาใช้ตะเกียงสีเขียวราวผู้ดำเนินทัณฑ์สวรรค์ เตรียมกำราบอำนาจกระดูกมือนั้นโดยสมบูรณ์!
ซูอี้เองก็แย้มยิ้ม
ประกายเย็นเฉียบแผ่พุ่ง ณ ส่วนลึกในแววตา เตรียมตัวลงมือ
ทว่ายามนี้ เขาดูจะสังเกตเห็นบางอย่าง และเงยหน้าขึ้นมองไปไกล
ขณะเดียวกัน เสียงเย็นชาของสตรีผู้หนึ่งพลันดังขึ้น
“เป็นแค่สุนัขรับใช้ตัวเล็กจ้อย แต่วาจากำแหงเสียยิ่งกว่าเทพ!”
ตู้ม!
พร้อมกันนั้น ธารสายยาวแห่งมิติเวลาก็สะเทือนไหวรุนแรง เกลียวคลื่นสาดกระโชก
ร่างผอมบางร่างหนึ่งทะยานเยี่ยงเส้นแสงออกจากส่วนลึกแห่งธารสายยาวท่ามกลางคลื่นลม
ร่างของนางปกคลุมด้วยรัศมีเรืองรองสีขาวกระจ่างเยี่ยงภาพฝัน
ขณะนั้น บัญญัติกฎเกณฑ์บนธารสายยาวแห่งมิติเวลาล้วนเคลื่อนระห่ำคลั่ง ทว่ากลับถูกนางเหยียบย่ำใต้เท้าแหลกสลายเยี่ยงฟองคลื่น!
ภาพนี้ทำให้ซูอี้รู้สึกเหลือเชื่อ
หนึ่งสตรีผ่าวายุล้อเกลียวคลื่นผ่านธารสายยาวแห่งมิติเวลา เพียงกิริยาก็แข็งแกร่งไร้ผู้ใดเทียบ!
“หือ?”
ขณะเดียวกัน ม่านตาของหมีเจินหดตัวเล็กน้อย และลงมือโดยไร้ลังเล
ตะเกียงสีเขียวในมือของเขาพลันจ้าจรัสด้วยรัศมีแสงไร้ประมาณ ส่งเพลิงศักดิ์สิทธิ์แห่งบัญญัติกฎเกณฑ์เข้าถาโถมใส่สตรีผู้นั้น
“บนธารสายยาวแห่งมิติเวลานี้ ‘บัญญัติตรึงแสง’ ของพุทธเจ้าแผดตะเกียง ณ กาลก่อนทำอันใดข้าไม่ได้หรอก”
ร่างของสตรีผู้ปรากฏขึ้นไกล ๆ นั้นหาหยุดฝีเท้าไม่ นางยังคงก้าวเข้ามา
จนกระทั่งเมื่อเพลิงศักดิ์สิทธิ์แห่งสวรรค์กวาดเข้าหา นางก็ยกมือซ้ายขึ้นวาดในอากาศ
เพลิงแสงศักดิ์สิทธิ์นั้นสลายหายไป
สีหน้าของหมีเจินพลันแปรเปลี่ยน ดวงตาวูบไหวด้วยความไม่อยากเชื่อ “นั่น… เจ้าจริง ๆ หรือ? เป็นไปได้เช่นไร มิใช่ว่าเจ้าถูกเหล่าเทพฆ่าไปเนิ่นนานแล้วหรือ?!”
เห็นได้ชัดว่าเขารู้ตัวตนของสตรีผู้นี้ และมิอาจสงบใจลงได้
สตรีผู้นั้นเยื้องกรายมาเบื้องหน้า และมาปรากฏหน้ากรงขังของซูอี้ในพริบตา
นางเมินหมีเจินเสียสนิท ดวงตาของนางจ้องซูอี้ผู้ดูเหมือนเชลยพ่ายศึก และกล่าวเบา ๆ ด้วยสีหน้าเจือการขออภัย “พี่ชายร่วมวิถี… ข้ามาช้าไปหนึ่งก้าว ทำให้เจ้าตกที่นั่งลำบากแล้ว”
พี่ชายร่วมวิถี?
ซูอี้นิ่งไป
ร่างของสตรีผู้นั้นอรชร สวมชุดคลุมยาวเรียบง่ายสีขาว เส้นผมสยายยาวเยี่ยงน้ำตก ผิวพรรณขาวผ่อง ใบหน้างดงามไร้ที่ติ
สิ่งที่สะดุดตาเป็นพิเศษนั้นคือ นางมีปานสีแดงเล็กจ้อยอยู่ ณ หว่างคิ้ว นัยน์ตาสีดำขลับเปี่ยมจิตวิญญาณเยี่ยงสมุทรกว้างไร้ขอบเขต ลึกลับและงดงาม
อาภรณ์ของนางเรียบง่ายขาวกระจ่าง ถือดาบโลหิตยาวสี่ฉื่อ กิริยาไร้ผู้ใดเทียบ ตะลึงทั่วแดนมนุษย์
ยามนางเผชิญหน้าซูอี้ ศีรษะของนางคล้อยตกเล็กน้อย ใบหน้างดงามดูรู้สึกผิด และยังเจือเค้าความสงสารอย่างมิอาจบรรยาย
แม้ซูอี้จะงุนงง แต่เขาก็จำได้แล้วว่าสตรีผู้นี้… คือลั่วเหยา!
สตรีลึกลับเจ้าของกระดูกมือข้างนั้นผู้พิทักษ์ภูมิมืดมิด ณ ยุคดึกดำบรรพ์ ถูกมหาเทพมืดมิดเรียกเป็น ‘ผู้อาวุโส’ ผู้หนึ่ง!
“เป็นเจ้า!!”
ในกล่องสำริด เสียงอันเปี่ยมโทสะของฉินต่งซวีก็ดังออกมาเช่นกัน
“ตาย!”
หมีเจินพลันโจมตี ตะเกียงสีเขียวในมือเขาแหวกผ่านนภา สาดเพลิงศักดิ์สิทธิ์โชติช่วงพร่างพรม
ธารสายยาวแห่งมิติเวลารวนเรกระฉอกคลั่ง อำนาจร้ายกาจชวนสะพรึงโหมกระหน่ำ
สตรีผู้นั้นทำเพียงยืนนิ่ง หันหลังให้เรื่องทั้งหมดนี้โดยมิเหลียวมอง
ชั่วขณะนั้น รัศมีสีเลือดไร้สิ้นสุดจ้าจรัสทั่วทศทิศ ปราณฆ่าฟันคลั่งโลหิตชวนขนหัวลุกระเบิดออกย้อมธารสายยาวแห่งมิติเวลาเป็นสีแดงฉาน
และยามดาบนี้วูบไหว
ตู้มมม!
เพลิงแสงสารพันสลายหาย ดับมอดไปเยี่ยงดอกไม้ไฟ
ทันใดนั้น ตะเกียงสีเขียวอันก่อร่างจากอำนาจบัญญัติกฎเกณฑ์นับไม่ถ้วนก็ถูกดีดกระเด็นไปพร้อมเสียงกัมปนาท
ดาบโลหิตนั้นดุร้ายเกินไป มันมีอำนาจทำลายสรรพสิ่ง กวาดล้างมิเหลือซาก!
หมีเจินแปรสีหน้าอย่างตกตะลึง ก่อนจะกล่าวอย่างเดือดดาล “เหตุวันนี้ พุทธเจ้าแผดตะเกียงและเหล่าทวยเทพร่วมมือกันวางแผน เจ้า… ไม่กลัวถูกเหล่าเทพลงทัณฑ์เอาหรือไร!?”
สตรีผู้นั้นยกมือซ้ายขึ้น
เปรี๊ยะ!
และยังปล่อยซูอี้ออกจากพันธนาการ!
“พี่ชายร่วมวิถี เวลาเหลือไม่มาก ร่างจริงของข้ากำลังสู้กับสหายเต๋าของพวกเขาอยู่ใน ‘สมรภูมิไร้ขอบเขต’ ข้าจะฆ่าลิ่วล้อนี่ก่อนและพาเจ้าออกไปนะ”
สตรีผู้นั้นว่า ก่อนจะหันหลังกลับไป
นัยน์ตาสีเข้มอันลึกล้ำงดงามของนางแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงสดเยี่ยงโลหิต
บรรยากาศจากร่างของนางก็แปรเปลี่ยนไปเช่นกัน
ตู้ม!
บัญญัติกฎเกณฑ์สีแดงสดเยี่ยงกระแสวารีก่อเกี่ยวเป็นธารเรืองรองแห่งสวรรค์ห้อมล้อมร่างของนาง สะท้อนภาพสุญญะถล่มจม สารพันวาระพิภพดับสูญ บรรพตซากศพธารโลหิตล่มสลาย
“เจ้า…”
หมีเจินเดือดดาล ใช้ตะเกียงสีเขียวอย่างสุดกำลังโดยไร้ลังเล
ยามนี้ ธารสายยาวแห่งมิติเวลาบิดเบี้ยว มีสัญญาณการถูกสยบฉีกกระชาก
และสตรีผู้นั้นก็โจมตี
ดาบโลหิตยาวสี่ฉื่อวาดผ่านนภาดุจแสงสีเลือดทะลวงชั่วกาลนิรันดร์
เปรี้ยง!!!
ร่างมายาของพุทธองค์นั้นเพิ่งปรากฏ ทว่าก็ถูกดาบโลหิตนั้นบดขยี้ไปพร้อมกับตะเกียงสีเขียวเสียแล้ว
เพลิงแสงศักดิ์สิทธิ์มหาศาลกลับกลายเป็นแหลกสลายหายเช่นฟองคลื่นอันถูกค้อนยักษ์ทุบตี
หมีเจินหวาดผวา หันหลังเผ่นหนี
ทว่าไม่ทันไร เขาก็ถูกสยบไว้โดยม่านแสงสีเลือดอย่างง่ายดาย!
………………..