บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1454: กระจ่างพอหรือไม่
ตอนที่ 1454: กระจ่างพอหรือไม่
เสียงพูดคุยของเหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าดังเซ็งแซ่
ไกลออกไป เมื่อได้ยินวาจาเหล่านี้ อวิ๋นฮว่าชิงและอวี่หนิงก็อดรู้สึกหลากหลายในใจมิได้
พวกเขามองไปยังทิศเดียวกันอย่างมิอาจห้าม
ไม่ห่างออกไปนั้น ซูอี้ผู้อยู่ในชุดเขียวกำลังพูดคุยกับปราชญ์หงอวิ๋นด้วยเสียงแผ่วเบา
ใครเล่าจะคิดว่าชายหนุ่มผู้เพิ่งก้าวสู่วิถีจุติสรวงจะเข้าไปสังหารทูตสวรรค์ในบรรพสถานอนุสรณ์ได้สำเร็จ?
ผู้ใดจะกล้าคิดว่าการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดในเขตหวงห้ามดาราหยกในวันนี้เกิดขึ้นด้วยฝีมือซูอี้ผู้เดียว?
แท่นศิลาต้องสาปเองก็หายไป
บรรพสถานอนุสรณ์หายไปจากโลกหล้า
จากนี้ไป เมื่อวิถีเซียนฟื้นคืน โลกมนุษย์นี้ก็จะแปรเปลี่ยนครั้งใหม่อีกหน!
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ผู้คนก็อดไม่ได้ที่จะตั้งใจเฝ้ารออย่างยินดี
……
“สหายเต๋ารู้ที่มาของข้าแล้วหรือไม่?”
ปราชญ์หงอวิ๋นลังเล ทว่าก็ยังถาม
ซูอี้พยักหน้า
ปราชญ์หงอวิ๋นนั้นแซ่หนิง!
ทายาทผู้หนึ่งของ ‘จอมเซียนหนานเสวียน’ ผู้กุมอำนาจอันดับแปดจากศาลเซียนรวมศูนย์
‘สกุลหนิงแห่งหนานเสวียน’ คือหนึ่งในตระกูลมหาเซียนโบราณอันเก่าแก่ที่สุดแห่งโลกเซียน!
จากความทรงจำของชาติที่หกหวังเย่ บรรพชนมากมายจากสกุลหนิงแห่งหนานเสวียนล้วนเป็นตัวตนสูงส่งอันแข็งแกร่งค้ำแดนดินจรดสรวง
ในหมู่พวกเขา จอมเซียนหนานเสวียนพิเศษที่สุด
“ไม่ใช่ว่าเจ้าเห็นเบาะแสมาบ้างแล้วหรือ?”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ
ปราชญ์หงอวิ๋นประหลาดใจ “เจ้า… คือร่างเวียนวัฏของคนคลั่งดาบจริง ๆ หรือ?”
คนคลั่งดาบ!
ผู้นำเดิมของสิบราชันย์เซียนแห่งศาลเซียนรวมศูนย์
เซียนวิถีดาบอันไร้ผู้เทียบในโลกเซียน!
เขาหมกมุ่นแต่กับดาบ บ้าอำนาจจิตเตลิด สังหารผู้คนมิยั้งคิดราวมารคลั่งแห่งวิถีดาบ ดังนั้น ตัวตนอาวุโสบางผู้จึงเรียกเขาว่า ‘คนคลั่งดาบ’
“คนคลั่งดาบ?”
ซูอี้นิ่งไป ก่อนจะส่ายหน้ากล่าว “ข้าไม่รู้จักคนผู้นี้”
นางพลันตระหนักว่าก่อนหน้านี้นางเดาผิด
“งั้น…”
ขณะที่นางกำลังจะถามอีกครั้งนั้นเอง
ซูอี้ก็กล่าวยิ้ม ๆ “เมื่อถึงกาล เจ้าจะรู้เองว่าในอดีต ข้าและตระกูลของเจ้าเคยมีสัมพันธ์กันมาก่อนจริง และข้าพอจะเข้าใจแล้วว่าไฉนสหายเต๋าจึงมองข้าต่างจากผู้อื่นยามแรกพบ และข้าจดจำน้ำใจนี้ไว้แล้ว”
ปราชญ์หงอวิ๋นพยักหน้ายิ้ม ๆ
ในเมื่อพูดเช่นนี้แล้ว หากถามอีกก็คงมิรู้กาลเทศะ
และหลังครุ่นคิดเล็กน้อย ปราชญ์หงอวิ๋นก็กล่าวว่า “ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าภายหน้า เขตแดนสมรภูมิจะหวนคืนสู่โลกมนุษย์”
“ถึงยามนั้น ไม่เพียงยอดคนจุติสรวงจากจักรดาราตงเสวียนจะมีโอกาสเข้าไปเยือน เหล่ายอดฝีมือจากภูมิดาราใหญ่อีกสามแห่งทั่วโลกหล้ายังเข้ามาได้เช่นกัน”
“บางผู้กำลังพยายามก่อเรื่องบางอย่าง”
“และยังมีบางผู้ที่เข้าร่วมศึกแรกเยือนเพื่อเสาะแสวงโอกาสไปฝึกฝน ณ โลกเซียนด้วย”
“กระทั่งหากยอดฝีมือขั้นสมบูรณ์แบบขอบเขตจุติมงคลคิดอยากไปยังโลกเซียน พวกเขาก็ทำได้เพียงต้องผ่านเขตแดนสมรภูมิก่อนเท่านั้น”
“แน่นอน ณ กาลต่อจากนี้ หากอำนาจกฎสวรรค์วิถีเซียนไม่ได้รับผลจาก ‘ด่านสะบั้นฟ้าดิน’ อีกต่อไป การจะเป็นเซียนในโลกมนุษย์ก็หายากไม่”
กล่าวถึงตรงนี้ ปราชญ์หงอวิ๋นก็เบนสายตามองซูอี้ “สหายเต๋าคิดจะไปยังเขตแดนสมรภูมิหรือไม่?”
ซูอี้ครุ่นคิดสักครู่ และกล่าวว่า “ไว้ค่อยคุยกันเมื่อถึงกาลดีกว่า”
เมื่อพูดถึงเขตแดนสมรภูมิ เขาก็จำเหตุการณ์ครั้งเก่าขึ้นได้มากมาย
เหมือนเช่นยามที่เขาอยู่ในมหาแดนดิน สตรีถือหอกลึกลับเคยกล่าวไว้ว่าเมื่อเขตแดนสมรภูมิหวนปรากฏ นางจะกลับมายังแดนมนุษย์นี้อีกหน
……
วันเดียวกันนั้น ซูอี้และปราชญ์หงอวิ๋นไปจากเขตหวงห้ามดาราหยกด้วยกัน
ส่วนอวิ๋นฮว่าชิงและอวี่หนิงเลือกอยู่ต่อ
หายนะสิ้นกฎเกณฑ์ในเขตหวงห้ามดาราหยกสลายไปแล้ว และที่นี่ก็ปรากฏสัญญาณแรกแห่งการฟื้นกฎเกณฑ์วิถีเซียน
สำหรับวิญญาณอาสัญเซียนแท้ขอบเขตสุญตาทั้งหลาย พวกเขาก็เหมือนหาทางรอดพบ เพียงอยู่ฝึกฝนในเขตหวงห้ามดาราหยก รอให้ฟ้าดินแปรเปลี่ยนเคลื่อนคล้อย พวกเขาก็จะมีโอกาสฟื้นร่างวิถีคืนสู่โลกเซียน
ไม่ต้องกังวลภัยคุกคามจากการถดถอยขอบเขตฝึกฝนตนล้มตายใด ๆ
ดังนั้น มิใช่เพียงอวิ๋นฮว่าชิงและอวี่หนิง แต่เซียนแท้ขอบเขตสุญตาทั้งหลายซึ่งเข้ามายังเขตหวงห้ามดาราหยกก็เลือกอยู่ต่อเช่นกัน
……
ภูเขาจันทร์กระจ่าง วัดสรรพสุญตา
หลังซูอี้และปราชญ์หงอวิ๋นกลับมาด้วยกัน เขาก็เอาแต่นอนนิ่งเหมือนปลาเค็มตากแห้งบนเก้าอี้หวาย คร้านเสียจนแม้แต่นิ้วก็ไม่อยากกระดิก
ทำเช่นไรได้ เขาล้าเกินไปแล้ว
นี่เป็นความล้าของจิตใจ
ระหว่างเดินทางสู่เขตหวงห้ามดาราหยกนี้ เขาและชาติที่หกดวลกันอยู่ในใจ ทำให้ต้องตรวจสอบตนเองเป็นระยะ
จนเมื่อเข้าสู่บรรพสถานอนุสรณ์ เขาก็พบเรื่องราวเกินทำนายมากมาย
ก้าวเดินบนวิถีหมื่นมหันตภัย ช่วยเหลือปราชญ์หงอวิ๋น ต่อสู้กับเหล่าเทพ ติดอยู่ในธารสายยาวแห่งมิติเวลา…
สารพัดเหตุพลิกผันระทึกจิต
ทุกหนยามเผชิญอันตราย ไม่เพียงต้องระวังศัตรูภายนอก เขายังต้องปกป้องหัวใจวิถีมิให้ชาติที่หกฉวยโอกาสแทรกแซงด้วย
เหตุเช่นนี้ทำให้คนเช่นซูอี้ผู้แสนหนักแน่นเยี่ยงเหล็กเผชิญแรงกดดันยิ่งกว่าหนใด
จนกระทั่งเมื่อเขาผ่อนคลายลงได้เสียที ความล้าจากหัวใจพลันประดังเข้าทั่วร่างเยี่ยงคลื่นถาโถม
เขาทิ้งความคิดฟุ้งซ่านไปโดยสิ้นเชิง
มิคิดสิ่งใด มิทำสิ่งใด เหม่อลอยปล่อยจิต
“อย่าไปกวนเขา”
ปราชญ์หงอวิ๋นกล่าวเตือนและจากไปกับคนอื่น ๆ ปล่อยซูอี้ใจลอยลำพังบนเก้าอี้หวาย
“ผู้อาวุโส อาจารย์ของข้ามิเป็นอันใดใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
ชิงถังกังวลเล็กน้อย
หลวงจีนคงจ้าว เฒ่าเว่ยขาเดี้ยง ดาบพุทธะสรรพสุญตาและเซียนดาบชิงซื่อล้วนหันมองปราชญ์หงอวิ๋น
นี่คือครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นซูอี้กลับมาอย่างเหนื่อยล้าเช่นนี้
ปราชญ์หงอวิ๋นครุ่นคิดสักพัก และกล่าวว่า “สหายเต๋าซูน่าจะกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่ในจิตใจ ยามนี้เขาถูกขัดเกลากดดันมามากเกินไป เมื่อเขาฟื้นตัว จิตใจของเขาก็น่าจะแปรเปลี่ยนไปจากกาลก่อนโดยสิ้นเชิง”
ทุกผู้ล้วนถอนใจโล่งอก
“ตระกูลม่อของพวกเจ้ากลับไปเขตหวงห้ามเซียนละล่องได้แล้วล่ะ”
ปราชญ์หงอวิ๋นเบนสายตาไปสั่งม่อซิงหลินด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เมื่อกลับไป ถ่ายทอดวาจาให้ข้าที ว่าจากนี้ไป ผู้ใดเป็นศัตรูกับสหายเต๋าซู ข้าผู้นี้จะลงทัณฑ์ด้วยตนเอง!”
หัวใจของม่อซิงหลินสั่นสะท้าน รับคำสั่งด้วยสีหน้าจริงจัง “ขอรับ!”
วันเดียวกันนั้น ม่อซิงหลินพาม่อชิงโฉวและสมาชิกตระกูลม่อทั้งหมดจากไป
“อีกไม่นาน เขตแดนสมรภูมิจะหวนคืนสู่โลกหล้า และพวกเจ้าก็ต้องเตรียมตัวไว้ด้วย”
ปราชญ์หงอวิ๋นนำม้วนหยกสองชิ้นส่งให้ดาบพุทธะสรรพสุญตากับเซียนดาบชิงซื่อ “ในม้วนหยกทั้งสองนี้มีมรดกวิถีเซียนอยู่ ถือเป็นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ จากข้า”
ดาบพุทธะสรรพสุญตากับเซียนดาบชิงซื่อแสนปรีดา ทั้งคู่ล้วนคำนับ
ต่อมา ปราชญ์หงอวิ๋นก็กระทำการต่อติดกัน
นางสั่งให้สุนัขพื้นเมืองช่วยสอนสั่งชี้ทางฝึกฝนแก่หลวงจีนคงจ้าว เฒ่าเว่ยและคนอื่น ๆ อย่างสุดความสามารถก่อนที่เขตแดนสมรภูมิจะหวนคืน
ขณะเดียวกัน นางก็นำทรัพยากรฝึกตนหายากส่วนหนึ่งออกมาและอาศัยในวัดสรรพสุญตา
นอกจากนั้น ปราชญ์หงอวิ๋นยังลงมือตั้งค่ายกลครอบคลุมทั่วภูเขาจันทร์กระจ่าง ซึ่งสามารถสังหารวิญญาณอาสัญวิถีเซียนได้ด้วยตนเอง
เย็นวันนั้น นางลงมือปรุงสำรับอาหาร ถือไหสุราหนึ่งไหส่งไปให้ซูอี้
นางไม่หันหลังกลับจนกระทั่งเห็นซูอี้ลุกขึ้นมากินดื่มแล้วเท่านั้น
“เจ้านายข้า หลังกลับจากเขตหวงห้ามดาราหยกยามนี้… ไฉนจู่ ๆ นางก็ดูจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเช่นนี้หนอ…”
เมื่อเปรียบเทียบปราชญ์หงอวิ๋นก่อนและหลังการเดินทาง สุนัขพื้นเมืองก็รู้สึกเกินจริงไปเล็กน้อย
ในที่สุด สุนัขพื้นเมืองก็ยั้งปากไม่ได้ มันฉวยโอกาสถามขึ้นยามปราชญ์หงอวิ๋นมีเวลา “เจ้านาย ไฉนท่าน…”
ปราชญ์หงอวิ๋นกล่าวลอย ๆ “เจ้ารู้สึกว่าข้าดูเหมือนบ่าวรับใช้หรือ?”
สุนัขพื้นเมืองรีบส่ายหน้า
ปราชญ์หงอวิ๋นนั่งลงใต้พฤกษาใหญ่ มองดวงดาวเจิดจรัสใต้นภาและกล่าวรำพันเบา ๆ “เขาเหนื่อยเกินไป ข้า…ข้าแค่อยากทำสิ่งที่ทำได้เพื่อเขา อย่างน้อย… ก็ไม่อยากให้เขาถูกรบกวนด้วยเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้”
“ที่สำคัญที่สุดคือเขาช่วยชีวิตข้าไว้ นี่เป็นครั้งแรกตราบเกิดมา… ที่ข้าละอายต่อความไร้สามารถตน”
กล่าวเช่นนี้ ริมฝีปากของนางก็ยกยิ้มเย้ยตนเอง “ก่อนหน้านี้ ข้าคิดว่าข้าคุ้มครองสหายเต๋าซูได้เสียอีก”
สุนัขพื้นเมืองพลันตะลึง หัวใจเรรวน กล่าวขึ้นด้วยเสียงเบา “เจ้านาย นั่นเพราะวิถีเต๋าของท่านถูกทำลายมากเกินไปในหายนะสิ้นกฎเกณฑ์ต่างหาก หากท่านสมบูรณ์พร้อม…”
ปราชญ์หงอวิ๋นส่ายหน้าน้อย ๆ และกล่าวขัด “เจ้ามิเข้าใจหรอก”
เรื่องกาลก่อนที่บรรพสถานอนุสรณ์นั้นเกี่ยวเนื่องกับพลังแห่งเทพ อย่าว่าแต่นางยามนี้ ต่อให้ผู้เผชิญแผนสังหารแห่งทวยเทพคือนางยามสมบูรณ์พร้อม นางก็ยังไร้กำลังจะขัดขืน
สุนัขพื้นเมืองเองก็เงียบไป
มันเห็นได้ว่าการเดินทางสู่เขตหวงห้ามดาราหยกหนนี้ส่งผลสะเทือนนายของมันอย่างรุนแรง และยังทำให้ทัศนคติของนายมันต่อซูอี้แปรเปลี่ยนไปอย่างมหาศาล!
ปราชญ์หงอวิ๋นพลันกล่าวว่า “ซิงเชวีย เมื่อเขตแดนสมรภูมิปรากฏ เรา… กลับบ้านกันเถอะ”
“ขอรับ!”
สุนัขพื้นเมืองตอบตกลงโดยไม่คิด
หลังลังเลเล็กน้อย ปราชญ์หงอวิ๋นก็กล่าวเบา ๆ “แต่ยามนั้น ข้าจะถามความเห็นสหายเต๋าซูอีกหนด้วย”
สุนัขพื้นเมือง “…”
แค่เรื่องกลับบ้าน ไฉนท่านต้องถามไอ้หนูนั่นด้วยล่ะขอรับ!?
หาไม่ ไฉนท่านจึงเอาแต่คิดถึงเด็กนั่นทุกคราไป?
ชั่วขณะนั้น สุนัขพื้นเมืองกังวลอย่างลึกล้ำ
เท่าที่มันรู้ นายมันมิเคยผูกพันกับชายใดเพียงนี้ตราบชั่วชีวิต!
……
คืนเดียวกันนั้น
ซูอี้ค่อย ๆ ฟื้นจากสภาวะใจลอย
เขานอนแผ่ไม่กระดุกกระดิกบนเก้าอี้หวาย นัยน์ตาลึกล้ำกระจ่างสะท้อนดวงดารากลางฟ้าราตรี
“ข้ารู้สึกเหนื่อย แล้วไฉนเลยเจ้าจะมิเป็นเช่นนั้น?”
ซูอี้กล่าวกับตนเองในใจ “ยามได้เห็นอำนาจแห่งเทพและเห็นอำนาจสูงส่งของลั่วเหยา เจ้าเองก็รู้สึกกดดันยิ่ง ใช่หรือไม่?”
“เพราะถึงอย่างไร ‘พุทธเจ้าแผดตะเกียง’ นั่นก็เป็นเทพโดยแท้จริง และหมีเจินก็เป็นทูตสวรรค์ ทว่าลั่วเหยาข้ามธารสายยาวแห่งมิติเวลามาฆ่าหมีเจิน ลบอำนาจกฎเกณฑ์ของพุทธเจ้าแผดตะเกียงได้ นี่ร้ายกาจเพียงไรกัน?”
“นี่… ก็เป็นอำนาจที่เจ้าไม่อาจถือครองยามแรกก้าวถึงจุดสูงสุดแห่งวิถีเซียน”
“หาไม่ เมื่อยามเจ้าสัญจรในธารสายยาวแห่งยุคสมัย เผชิญกับการคุกคามจากบัญญัติห้ามแห่งทวยเทพ ไฉนเจ้าต้องชิงหนีไปก่อนด้วย?”
ซูอี้รำพึงเบา ๆ ในใจ “มิน่าเล่า หลังข้าหวนคืนจากเขตหวงห้ามดาราหยก หัวใจข้าจึงหนักอึ้งนัก ข้ากระทั่งรู้สึกหดหู่อึดอัดใจเล็กน้อย ที่แท้ที่ว่ามานี้ล้วนมาจากเจ้า”
“แน่นอน ข้าก็เป็นเช่นกัน”
“บางทีอาจกล่าวได้ว่าผู้ร่วมชะตามักเห็นใจกัน ดังนั้น… ข้าจึงไม่ได้อยู่ในจุดจะหัวเราะเยาะเจ้าได้”
“ทว่า…”
ดวงตาลึกล้ำกระจ่างของซูอี้แปรเปลี่ยนเป็นหนักแน่น เขากระซิบว่า “สิ่งที่เจ้ามิอาจทำ ข้าจะทำมันในภายหน้า!”
“ศัตรูที่เจ้ามิอาจฆ่า ข้าจะฆ่าเสีย!”
“กล่าวคือ ไม่ช้าก็เร็ว ข้าซูอี้จะนำกรรมวิถีเก้าชาติภพ จบเหล่าเทพ ฆ่าศัตรูร้าย ก้าวข้ามชาติภพทั้งเก้าเถลิงสู่วิถีดาบอันสูงสุดเหนือใคร!”
“กระจ่างพอหรือไม่?”