บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1456: มายังศักราชแห่งมาร
ตอนที่ 1456: มายังศักราชแห่งมาร
ตู้ม!
ร้านจำนำซึ่งเป็นอาคารไม้ไผ่สูงสองชั้นคำรามลั่น ก่อนจะหดตัวเหลือเก้าชุ่นและร่วงลงบนมือของซูอี้
เขารับปากจะพาเถ้าแก่เฒ่าและร้านจำนำไปยังศักราชแห่งมารด้วย
……
ณ วัดสรรพสุญตา
เมื่อซูอี้กลับมา เขาก็ไปถามคนขายของเก่าทันที “เจ้ามีสมบัติเกี่ยวกับมิติอยู่กับตัวหรือไม่?”
คนขายของเก่าว่า “มี!”
กล่าวจบ เพียงหนึ่งโบกแขนเสื้อ สมบัติเป็นโหล ๆ ซึ่งมีบรรยากาศโบราณก็ปรากฏขึ้น ทุกชิ้นล้วนมีกฎแห่งมิติวูบไหวอยู่
“ทั้งหมดนี้คือวัตถุโบราณที่ข้าสะสมไว้ในกาลก่อน พวกมันล้วนแต่เป็นซากทองแดงกองโลหะก่อนเกิดเหตุพลิกผันในโลกหล้า ทว่ายามนี้ สมบัติเหล่านี้ค่อย ๆ คืนอำนาจฟื้นพลัง กลายเป็นสิ่งเย้ายวนใจไปแล้ว และบางชิ้นยังเป็นสมบัติหนึ่งเดียวจากอดีตกาลด้วย เจ้าเลือกไปได้เลย”
คนขายของเก่าโบกมือ บรรยากาศดูยิ่งใหญ่สูงส่ง
หลวงจีนคงจ้าวพลันตำหนิ “เจ้าไก่โต้งเหล็กนี่ ไฉนเจ้าไม่เจียดเงินให้ข้าสักแดง แต่กลับใจกว้างกับสหายทัศนาจารย์เช่นนี้?”
คนขายของเก่ากล่าวว่า “เจ้าไม่เห็นหรือว่าเกิดบางอย่างขึ้นกับสหายทัศนาจารย์? หากข้าไม่ช่วยเขา จะบอกว่าเป็นพี่น้องต่างพ่อต่างแม่กันได้อย่างไร?”
“เขา… เกิดเรื่องขึ้นจริงหรือ?”
หลวงจีนคงจ้าวหันไปมองซูอี้
ทว่าชายหนุ่มกลับเมินเขาไป พินิจเล็กน้อยแล้วคว้าหยกหรูอี้สีเขียวชิ้นหนึ่ง ก่อนสีหน้าจะปรากฏเค้าความประหลาดใจ
หยกหรูอี้สีเขียวชิ้นนี้เป็นสมบัติเซียนขอบเขตสุญตา
ยิ่งกว่านั้น มันยังทำมาจาก ‘หยกเซียนแดนสุญตา’ ที่หายากที่สุด กล่าวได้ว่าเป็นสมบัติเซียนมิติชั้นหนึ่ง
“ชิ้นนี้แล้วกัน”
ซูอี้เก็บสมบัติเซียนนาม ‘หรูอี้จิตสุญตา’ ไป
“สหายเต๋าต้องการความช่วยเหลือหรือไม่?”
ปราชญ์หงอวิ๋นเดินมาหา
ซูอี้ส่ายหน้าพลางกล่าวสั้น ๆ ว่า เขาจะไปยังศักราชแห่งมาร
“ข้าจะไปแค่คนเดียวนี่แหละ”
ซูอี้กล่าว
เมื่อถูกซูอี้ปฏิเสธความช่วยเหลือ ปราชญ์หงอวิ๋นดูเสียศูนย์เล็กน้อย แต่ก็ยังพยักหน้า “สหายเต๋าอย่าห่วงไป ข้าจะพิทักษ์ภูเขาจันทร์กระจ่างจนกว่าเจ้าจะกลับมาเอง”
“หากเป็นไปได้ ช่วยข้าตั้งแท่นวิถีหน่อยเป็นไร?”
คู่เนตรกระจ่างเปี่ยมจิตวิญญาณของปราชญ์หงอวิ๋นเรืองประกาย พลันกล่าวอย่างร่าเริงทันที “แสนยินดีเลยล่ะ”
……
กลางดึก
ปราชญ์หงอวิ๋นตั้งแท่นวิถีภายใต้คำชี้แนะของซูอี้
บนแท่นนั้นปกคลุมด้วยค่ายกลลวดลายวิถีประหลาดเกินเข้าใจ เพียงปราณที่แผ่ออกมาก็ทำให้เกิดวงคลื่นมิติกระเพื่อมไหว
ค่ายกลมหาสุญญะไร้พรมแดน!
ค่ายกลโบราณวิถีเซียนซึ่งใช้กฎแห่งมิติ สามารถเบิกประตูมิติเวลาเข้าสู่ธารสายยาวแห่งมิติเวลาได้โดยง่าย!
ซูอี้ก้าวขึ้นไปบนแท่นในทันที
ปราชญ์หงอวิ๋นอดกล่าวมิได้ว่า “สหายเต๋า การข้ามธารสายยาวแห่งมิติเวลาเป็นเรื่องอันตรายมาก ระวังตัวด้วย”
ซูอี้พยักหน้า
พูดให้ถูก ‘ธารสายยาวแห่งมิติเวลา’ ที่ว่านี้ก็คือคลื่นมิติเวลาอันไหลผ่านโลกภูมิใหญ่แห่งสวรรค์ เกี่ยวพันกับกฎมิติเวลาอันสูงส่งและเข้าใจยากที่สุด
เหมือนยามที่ซูอี้ถูกพาไปยังธารสายยาวแห่งมิติเวลายามอยู่ในเขตหวงห้ามดาราหยก
ทว่าต่างกรรมต่างวาระ
ธารสายยาวแห่งมิติเวลานั้นทอดยาวไร้สิ้นสุด พาดผ่านแดนดินแห่งสวรรค์ แตกแขนงเกินคณานับ
นี่ยังหมายความว่า ไม่ว่าผู้ใดอยากจะข้ามธารสายยาวแห่งมิติเวลา หากไม่มี ‘พิกัดมิติ’ ที่แน่นอน พวกเขาจะหลงทางและไม่อาจหาต้นเที่ยวปลายทางได้โดยสิ้นเชิง!
กระทั่งยักษ์ใหญ่ในวิถีเซียน ยามข้ามธารสายยาวแห่งมิติเวลายังต้องเตรียมตัวพร้อมสรรพ มิกล้าบุกเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะหากไม่ระวัง พวกเขาจะได้เข้าไปยังโลกภูมิที่ไม่คุ้นเคยแทน กระทั่งอาจถูกพายุแห่งมิติเวลาฉีกร่างเป็นเสี่ยง!
ทว่า ซูอี้นั้นมิต้องกังวลเรื่องเหล่านี้เลยสักนิด
เพราะหวังเย่ผู้เป็นชาติที่หกของเขาเคยข้ามธารสายยาวแห่งมิติเวลา ท่องยุคสมัยแดนดินมามากมาย
ศักราชแห่งมารก็รวมอยู่ในนั้นด้วย!
นอกจากนั้น ความทรงจำของเสิ่นมู่ยังรวมทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับศักราชแห่งมารเอาไว้
“อย่างมากก็หนึ่งเดือน ข้าจะหวนกลับมา”
ซูอี้กล่าวพลางสั่งปราชญ์หงอวิ๋นให้เปิดค่ายกลบนแท่นวิถี
เกิดเสียงคำรามขึ้น แล้วพิรุณแสงมิติก็จรัสจ้า อาบร่างของซูอี้หายไปในพริบตา
“หนึ่งเดือน มินานเกินไป”
หงอวิ๋นพึมพำ
……
เปรี้ยง!
หนึ่งธารสายยาวแห่งมิติเวลาเคลื่อนผ่าน กระแสเชี่ยวกราก เสียงคำรามเลื่อนลั่นเยี่ยงสายฟ้า
เมื่อร่างของซูอี้ปรากฏขึ้น ในมือเขาก็มีหยกหรูอี้สีเขียวชิ้นหนึ่ง
หรูอี้จิตสุญตา!
สมบัติชิ้นนี้ปลดปล่อยม่านแสงโอบล้อมร่างของซูอี้ไว้ เลี่ยงอันตรายที่จะถูกกระทบจากธารสายยาวแห่งมิติเวลาไป
‘ศักราชแห่งมารทุกวันนี้ ข้ามิรู้เลยว่าจะเปลี่ยนไปมากเพียงใด…’
ซูอี้กล่าวกับตนเองในใจ
เนิ่นนานกาลก่อน หวังเย่นั้นอยู่ในจุดสูงสุดแห่งวิถีเซียน ใช้ชีวิตยาวนานถึงหนึ่งแสนหกหมื่นปีเต็ม
ชาติที่เจ็ดเสิ่นมู่มีชีวิตอยู่เพียงยี่สิบเจ็ดปี
ชาติที่แปดทัศนาจารย์ฝึกฝนอยู่หนึ่งแสนหกหมื่นปี
ยามซูอี้เป็นปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน เขาก็มีชีวิตอยู่หนึ่งแสนแปดพันปีเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ ศักราชแห่งมารที่หวังเย่เคยไปเยือนเมื่อกาลก่อนจึงแตกต่างจากศักราชแห่งมารที่เสิ่นมู่รู้จัก
เรื่องนี้ซูอี้สรุปได้ยามเปรียบเทียบความทรงจำของทั้งสองชาติ
เมื่ออ้างอิงจากเรื่องนี้ จึงอนุมานได้เช่นกันว่าศักราชแห่งมารทุกวันนี้จะแตกต่างจากศักราชแห่งมารในความทรงจำของทั้งสองชาติโดยสิ้นเชิง!
เพราะถึงอย่างไร เสิ่นมู่ก็ตายไปหลายแสนปีแล้ว
กาลผ่านเนิ่นนาน เพียงพอจะเปลี่ยนเรื่องราวมากมาย!
“ข้าหวังเพียงว่าบุคคลและสิ่งที่เสิ่นมู่ใส่ใจคุ้นชินจะยังคงอยู่ที่นั่นนะ”
ยามซูอี้ครุ่นคิด จากนั้นปลายนิ้วของเขาก็กดลง
ฟิ้ว!
‘พิกัดมิติ’ อันแปลกประหลาดเกินเข้าใจจุดหนึ่งก็ปรากฏขึ้น
นี่หาใช่พิกัดมิติที่เสวี่ยหลิวบันทึกในยันต์นั้นไม่ แต่เป็นพิกัดมิติที่หวังเย่บันทึกไว้ยามสัญจรสู่ศักราชแห่งมารเมื่อนานมาแล้ว!
ทั้งสองจุดพาไปสู่ศักราชแห่งมารเช่นกัน แต่เมื่อพิกัดมิติต่างกันจึงมุ่งไปยังสถานที่ที่แตกต่างกัน
ซูอี้มิต้องคิดก็รู้ว่า ‘พิกัดมิติ’ ที่เสวี่ยหลิวทิ้งไว้จะเอื้อประโยชน์แก่ตัวเองที่สุด และเต็มไปด้วยแผนสังหาร!
เมื่อเดินทางไป เขาน่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องตั้งรับฝ่ายเดียวแน่
ซูอี้ย่อมไม่โง่พอจะพาตนเองมาติดกับเช่นนั้น
โดยไม่รีรอ ซูอี้สัมผัสปราณของ ‘พิกัดมิติ’ บนปลายนิ้วแล้วเคลื่อนไหวบนธารสายยาวแห่งมิติเวลา
“เจอแล้ว!”
ดวงตาของซูอี้เป็นประกาย ร่างโผทะยานเข้าไปในคลื่นมิติเวลาอันไพศาล หายวับไปในพริบตา
……
ศักราชแห่งมาร
อารยธรรมฝึกตนโบราณแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่บนแดนดินในมิติเวลาที่ต่างออกไป
ณ ภูมิเสวียนเหิง สำนักมารหกโลกีย์
เสวี่ยหลิวในอาภรณ์ขาวงดงามเย็นชา นั่งบนบัลลังก์ซึ่งเป็นตำแหน่งประธานภายในตำหนัก แววตาเย็นชาไร้อารมณ์เปี่ยมด้วยอำนาจ
“เรื่องที่ข้าอธิบายไป จัดการเสียให้ลุล่วงด้วย”
เสวี่ยหลิวกล่าว น้ำเสียงของนางกระจายทั่วทั้งโถง
ในโถงหลักมีกลุ่มตัวตนทรงอำนาจจากสำนักมารหกโลกีย์อยู่
ยามนี้ ชายชราผมขาวผู้หนึ่งซึ่งอยู่ด้านหน้ากล่าวขึ้นอย่างเคร่งขรึม “เรียนเจ้าสำนัก ทั่วทั้งภูเขาจิตดาราถูกเราผนึกไว้นานแล้ว และยังส่งผู้อาวุโสสามสิบเก้าคนในขอบเขตจุติมงคลกับจิตมารปฐมสวรรค์อีกร้อยกว่าไปประจำอยู่ในบริเวณภูเขาจิตดาราตามคำสั่งท่านเรียบร้อยแล้วขอรับ!”
ภูเขาจิตดารา!
เป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งซึ่งห่างจากสำนักมารหกโลกีย์เพียงสามร้อยลี้
จากการร้อยเรียงของเสวี่ยหลิว เมื่อซูอี้มาถึงศักราชแห่งมารตามพิกัดมิติในยันต์กระดูกนั่น จุดที่เขาจะปรากฏขึ้นก็เป็นบริเวณใกล้เตียงภูเขาจิตดารา!
“ดี คืนนี้เป็นต้นไป ให้บรรพชนหมิงเซียวไปประจำที่ภูเขาจิตดาราด้วยตนเองด้วย”
เสวี่ยหลิว ณ บัลลังก์ประธานพยักหน้าน้อย ๆ
บรรพชนหมิงเซียว!
หนึ่งในตัวตนบรรพกาลลายครามอันน้อยนิดในสำนักมารหกโลกีย์ และยังเป็นมารสวรรค์ผู้ก้าวสู่วิถีเซียนเมื่อนานมาแล้ว!
ยามนี้ ชายชุดม่วงอีกคนยืนขึ้นคำนับ “เรียนเจ้าสำนัก คนสกุลเสิ่นทั้งหมดถูกส่งไปยัง ‘คุกใต้บาดาล’ หมดแล้วขอรับ ขอเพียงสั่งการ พวกเขาจะเป็นจะตายเช่นไรก็ได้!”
ทันใดหลังจากนั้น อีกคนหนึ่งก็ลุกขึ้นก้มหัวคำนับ ก่อนจะกล่าวว่า “เรียนเจ้าสำนัก สำนักมารใหญ่อีกเจ็ดแห่งล้วนตอบรับแล้ว และในสามวัน แต่ละสำนักจะส่งตัวตนขอบเขตจุติมงคลเก้าคนมาตามบัญชาขอรับ!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เสวี่ยหลิวก็พยักหน้าอย่างเฉยเมย “พวกเจ้ากลับไปได้”
เหล่าผู้ทรงอำนาจล้วนคำนับอย่างเคร่งขรึม ก่อนจะหันหลังจากไป
ในโถงอันว่างเปล่าเหลือเพียงเสวี่ยหลิวผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน สำนักมารหกโลกีย์ได้กลายเป็นขุมกำลังอันดับหนึ่งในภูมิเสวียนเหิง ปกครองทั่วทิศดุจเจ้าโลกามาแสนนาน
และเสวี่ยหลิวที่กาลก่อนเป็นเพียงศิษย์สำนักมารหกโลกีย์ ยามนี้ทะยานสู่บัลลังก์เจ้าสำนัก กอบกุมอำนาจยิ่งใหญ่!
“ที่สูงช่างหนาวเหน็บ แต่ใครจะรู้ว่าเพราะเจ้าเสิ่นมู่ จิตใจของข้าจึงบกพร่อง ไม่อาจก้าวเท้าสู่วิถีเซียนได้จนยามนี้?”
ดวงตาเย็นชาของเสวี่ยหลิวเปี่ยมความแค้นอย่างมิปิดบัง
“ไม่ว่าสกุลเสิ่นของเจ้าจะทรงพลังเพียงไร ยามนี้มันก็ถูกข้าเหยียบย่ำใต้เท้าได้ และไอ้แก่งั่งมู่เจี้ยนฉืออาจารย์เจ้าก็ตายด้วยมืออาจารย์อาช่างเสื้อของข้านานแล้ว กระทั่งศิษย์น้องหญิงมู่จื่อจินของเจ้า…”
“ก็กลายมาเป็นเชลยของข้า!”
“ยามนี้เหลือเพียงเจ้าแล้ว ขอเพียงข้าฆ่าเจ้าได้ จิตใจของข้าก็จะไร้รอยด่างพร้อย เข้าสู่วิถีเซียนได้ดั่งหวัง!”
เสวี่ยหลิวลุกจากบัลลังก์ ร่างเพรียวบางองอาจสะท้อนรัศมีแห่งตำหนักเยี่ยงเทพรานีผู้ปกครองเก้าสรวงทั่วแดน ทรงอำนาจเปี่ยมพลัง
“เสิ่นมู่… ไม่สิ ซูอี้ ข้ารอคอยวันที่เจ้าจะมาอยู่นะ!”
นอกโถงหลัก ในเงามืดแห่งรัตติกาล
ชายชราผู้หนึ่งสวมหมวกกลมสีดำ ร่างผอมแห้งยืนยิ่งเงียบ คู่เนตรเฉิดฉายลึกล้ำ
คนผู้นี้คือช่างเสื้อ!
“ทัศนาจารย์ ขอเพียงเจ้ากล้ามา ข้าจะให้เจ้าตายโดยไร้ที่ฝัง!”
หัวใจของช่างเสื้อพลุ่งพล่านด้วยจิตสังหาร
……
ในฐานะอารยธรรมของผู้ฝึกตน ศักราชแห่งมารนั้นประกอบด้วยโลกภูมิแห่งผู้ฝึกตนหลายพันหมื่น
ในหมู่พวกมันมีโลกภูมิฝึกตนสูงสุดเพียงไม่กี่แห่ง
หนึ่งในนั้นคือภูมิเสวียนเหิง
ณ ชายแดนทักษิณแห่งภูมิเสวียนเหิง รอบนอกของบรรพตมารหมางกู่
ดวงดาราเหนือนภากระจ่างชัด หมอกราตรีพรมอยู่เหนือแดนดิน
ตู้ม!
สุญญะแห่งหนึ่งพลันปริร้าว และท่ามกลางพิรุณแสงแห่งมิติ ร่างสูงร่างหนึ่งก็โซเซออกมาด้วยสภาพทุลักทุเล
เพียงพริบตา รอยแตกมิตินั้นก็หายไป ทุกสิ่งหวนคืนสู่สภาพปกติ
และหลังจากร่างสูงใหญ่นั้นตั้งหลักได้ เขาก็อดส่ายหน้าแย้มยิ้มเจื่อนมิได้ “การฝึกฝนก็ยังอ่อนแอเกินไป…”
คนผู้นั้นมิใช่ใดอื่นนอกเสียจากซูอี้!
………………..