บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1457: ยันต์โองการหมื่นมาร
ตอนที่ 1457: ยันต์โองการหมื่นมาร
ซูอี้นั้นทุลักทุเลเล็กน้อย
ยามที่กำลังข้ามธารยาวแห่งมิติเวลา เขาถูกผลกระทบเล็กน้อยจากพายุมิติเวลา หากไม่ใช่เพราะโคจรอำนาจดาบเก้าคุมขังอย่างสุดกำลังในยามคับขันได้ เขาคงถูกอำนาจมิติเวลาอันเชี่ยวกรากฉีกร่างเป็นเสี่ยง ๆ ไปแล้ว
“การฝืนข้ามธารยาวแห่งมิติเวลาโดยยังไม่ได้บรรลุสู่วิถีเซียนนั้นอันตรายเกินไปจริง ๆ”
ซูอี้ลูบจมูกพลางเย้ยเยาะตนเองเล็กน้อย
โชคดีที่สุดท้าย เขาก็ยังมาถึงศักราชแห่งมารได้โดยสวัสดิภาพ
เขาถอนหายใจยาวขณะมองไปรอบ ๆ
มันเป็นยามกลางดึก บรรพตมารหมางกู่ปกคลุมด้วยความมืดห่างออกไป เทือกเขาใหญ่ขดตัวซ้อนกันเยี่ยงมังกรนิทราเหนือพื้นดิน
“ไม่รู้ว่า ‘ศาลมารหมื่นแดนดิน’ จะยังอยู่หรือไม่”
ซูอี้ทอดสายตามองบรรพตมารหมางกู่จากไกล ๆ ขณะครุ่นคิด
เมื่อนานมาแล้ว ยามหวังเย่สัญจรสู่ศักราชแห่งมาร เขาเคยใช้เวลาอยู่ในบรรพตมารโบราณลูกนี้เป็นช่วงเวลาหนึ่ง
เวลานั้น เพื่อสืบที่มาของอารยธรรมผู้ฝึกตนในศักราชแห่งมาร หวังเย่เคยให้ลูกน้องกลุ่มหนึ่งไปรวบรวมคัมภีร์โบราณในโลกหล้ามาเป็นการเฉพาะ
หนึ่งในเหล่าลูกน้องนั้นคือบรรพชนผู้ก่อตั้ง ‘ศาลมารหมื่นแดนดิน’!
และบรรพตมารหมางกู่ตรงหน้าเขาลูกนี้ก็คือสถานที่ตั้งของศาลมารหมื่นแดนดิน
การที่ซูอี้มาปรากฏกายขึ้นที่นี่หลังจากมาถึงศักราชแห่งมารนั้นหาใช่เรื่องบังเอิญไม่
เพราะพิกัดมิติที่หวังเย่ทิ้งไว้นั้น หวังเย่ระบุไว้เองยามเขาอยู่ในบรรพตมารหมางกู่
“กาลผ่านไปหลายแสนปี เหล่าลูกน้องเมื่อกาลก่อน… ไม่อาจรู้ได้ว่ายังอยู่หรือไม่…”
ขณะที่ซูอี้กำลังครุ่นคิดนั้นเอง จู่ ๆ เสียงแหวกอากาศก็ดังขึ้น
“เสียงผิดปกติเมื่อครู่มาจากที่นั่น!”
“หือ มีผู้มาถึงก่อนเราแฮะ”
…ขณะที่พวกเขาสนทนา กลุ่มแสงเจิดจรัสก็ปรากฏไกล ๆ บนท้องนภาราตรี
เป็นผู้ฝึกตนกลุ่มหนึ่ง
ผู้นำเป็นหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรี
ฝ่ายบุรุษประดับมงกุฎสูง สวมอาภรณ์ขุนนางราชวงศ์หมิง สีหน้าองอาจเฉยเมย
ฝ่ายสตรีรวบเรือนผมยาวขมวดเป็นมวย สวมอาภรณ์สีม่วง สง่างามสะกดสายตา
เพียงพริบตา กลุ่มผู้ฝึกตนก็ทะยานเข้ามาหา ทุกสายตาล้วนมองมายังซูอี้
“ปุถุชนไร้การฝึกฝน?”
สตรีชุดม่วงซึ่งนำทางมาตะลึงนิ่ง อดมองซูอี้อีกครั้งมิได้
ทว่าก็ค้นพบว่าชายหนุ่มชุดเขียวหามีความผันผวนแห่งปราณฝึกฝนไม่!
“ปุถุชน? ข้าว่าไม่”
ชายในอาภรณ์ขุนนางดวงตาวูบไหว “จะมีปุถุชนใดในโลกนี้กล้ามายังอาณาเขตบรรพตมารหมางกู่กลางค่ำกลางคืนเช่นนี้บ้าง?”
กล่าวจบ เขาก็เชิดคางจ้องมองซูอี้ “เจ้าหนู เมื่อครู่ที่นี่เกิดการเปลี่ยนแปลง มีพิรุณแสงเจิดจรัสบังเกิด เจ้าได้เห็นมันบ้างหรือไม่?”
ซูอี้เข้าใจทันทีว่าเหตุอุบัติยามเขามาถึงที่นี่เมื่อครู่โดดเด่นเกินไป จนดึงความสนใจของเหล่าผู้ฝึกตนกลุ่มนี้
“เจ้ามัวตะลึงอันใดอยู่ รีบตอบข้ามาเร็ว!”
ชายในชุดขุนนางกล่าวเร่ง
คิ้วของซูอี้เลิกขึ้นเล็กน้อย ขณะที่เขากำลังจะกล่าวบางอย่างนั้นเอง
สตรีชุดม่วงก็กล่าวขึ้นก่อนอย่างมิพอใจ “หรงเหวิน ระวังมารยาทด้วย แผลงอำนาจต่อหน้าปุถุชน มิรู้สึกหมิ่นเกียรติตนเองบ้างหรือไร?”
สีหน้าของชายในอาภรณ์ขุนนางชะงักค้าง อดกล่าวปกป้องตนเองมิได้ “เจ้าเด็กนี่ดูไม่เหมือนคนธรรมดาเลยสักนิดนะ หรือ… ข้าควรทดสอบเขาดู?”
“หากเขาเป็นปุถุชนดุจมดปลวกจริง ๆ เขาย่อมมิมีอันใดน่าสนใจ”
“แต่หากไม่ใช่ เขาจะต้องมีบางอย่างผิดปกติเป็นแน่!”
สตรีชุดม่วงขมวดคิ้ว ใบหน้างดงามของนางเย็นชาเยี่ยงน้ำค้างแข็ง ขณะกล่าวตำหนิว่า “พอแล้ว อย่าลืมจุดประสงค์ในการมาของเรา หยุดสร้างได้แล้ว!”
กล่าวจบ นางก็หันไปกล่าวกับซูอี้ว่า “พ่อหนุ่ม ที่แห่งนี้เป็นบริเวณของบรรพตมารหมางกู่ที่มีอันตรายร้ายแรง จะดีกว่าหากเจ้าจะไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุดนะ”
“ไปกันเถอะ”
ไร้การโอ้เอ้ สตรีชุดม่วงนำขบวนทะยานเข้าสู่ด้านในของบรรพตมารหมางกู่ในทันใด
ก่อนจาก ชายในอาภรณ์ขุนนางดูอิดออด ทว่าก็หากล้าผิดคำสั่งสตรีชุดม่วงไม่
ท้ายที่สุด เขาก็ถลึงตามองซูอี้อย่างเย็นชา ก่อนจะจากไปโดยมิเต็มใจ
“น่าเสียดาย…”
เมื่อเห็นกลุ่มคนเหล่านั้นจากไป ซูอี้ก็รำพึงเบา ๆ
“สหายน้อยเสียดายอันใดหรือ?”
ทันใดนั้น ท่ามกลางรัตติกาลที่อยู่ห่างออกไปก็ปรากฏร่างผอมแห้งของชายชราผู้หนึ่งขึ้น เขาสวมอาภรณ์ลินิน ดวงตาเขียวเรืองรอง เปี่ยมด้วยปราณวิญญาณพลิ้ววน
เขาก้าวมาหาซูอี้ช้า ๆ ดวงตาสีเขียวจับจ้องซูอี้ด้วยแววตาเย็นชาเยาะเย้า ให้ความรู้สึกราวอสรพิษร้ายแลบลิ้นแฉกชวนให้ผู้มองขนลุกขนพอง
ซูอี้กล่าวกับชายชราอาภรณ์ลินินตามตรง “หากเมื่อครู่พวกเขาลงมือ ข้าก็สามารถจับพวกเขาค้นวิญญาณได้ทีละคนโดยมิตะขิดตะขวงใจ บางทีข้าอาจจะได้ข้อมูลที่อยากทราบก็เป็นได้ น่าเสียดายที่พวกเขาหาเคลื่อนไหวไม่”
ชายชราในอาภรณ์ลินิน “???”
นี่คือ… สิ่งที่คนธรรมดากล้าพูดด้วยหรือ?
ฝีเท้าของเขาหยุดชะงักลง ใบหน้าชราวัยตะลึงงัน “สหายน้อย… มิได้หยอกเล่นจริง ๆ หรือ?”
ซูอี้ถามลอย ๆ “เจ้าคิดเช่นไรเล่า?”
ชายชราในอาภรณ์ลินินไอแห้ง ๆ “ข้าว่าข้าไปดีกว่า ขอตัวล่ะ!”
ร่างของเขาวูบไหวไปทางบรรพตมารหมางกู่รวดเร็วเยี่ยงหล่อน้ำมันไว้ใต้ฝ่าเท้า
รวดเร็วเหลือเชื่อ!
ทว่าไม่ทันไร เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นในโสตของชายชราอาภรณ์ลินิน
“หากปล่อยไปอีก มิน่าเสียดายแย่หรือ?”
ชายชราในอาภรณ์ลินินตะโกนด้วยเสียงตื่นตระหนก “ข้า…”
ทว่าก่อนจะได้เอ่ยวจีใด หัตถ์ใหญ่ข้างหนึ่งก็รวบคอเขาจากเบื้องหลัง!
ร่างของเขาถูกยกขึ้นราวกับไก่
ทันใดนั้น ร่างของชายชราก็ระเบิดเป็นเปลวเพลิง สันหลังเย็นเฉียบ เหงื่อกาฬหลั่งอาบหน้าผาก
เขากล่าวด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย “ผู้อาวุโส ตาเฒ่าผู้น้อยหามีเจตนาล่วงเกินไม่ ขอได้โปรดเมตตาผู้น้อยด้วย!”
ยามนี้ มีหรือเขาจะไม่รู้ว่าเจอตอเข้าให้แล้ว?
“เมื่อครู่เจ้ามาโดยมีเจตนาร้ายชัดเจน แม้จะชาญฉลาดหาลงมือไม่ แต่ถึงอย่างไร เจตนาก็ไม่ได้บริสุทธิ์”
ซูอี้กล่าวพร้อมกับแย้มยิ้ม “หากเป็นเช่นนี้ หลังค้นวิญญาณเจ้าเสร็จ ข้าจะให้โอกาสรอดชีวิตแก่เจ้าว่าอย่างไรเล่า?”
ชายชราคนนั้นกล่าวอย่างขมขื่นด้วยท่าทางเหี่ยวเฉา “ผู้อาวุโสกล่าวเช่นนี้ ตาเฒ่าผู้น้อยมีหรือจะกล้าปฏิเสธ?”
สองเค่อต่อมา
ซูอี้ก็ปล่อยชายชราในอาภรณ์ผ้าลินินไปโดยมิผิดวาจา
เขาได้รู้ข่าวบางอย่างจากการสืบวิญญาณแล้ว
เดิมที ‘ศาลมารหมื่นแดนดิน’ ซึ่งเคยตั้งอยู่ในบรรพตมารหมางกู่นี้คือขุมกำลังสูงสุดแห่งภูมิเสวียนเหิง หรือเป็นจ้าวผู้ครองแดนดินแห่งนี้!
ทว่าขุมกำลังใหญ่นี้กลับหายไปจากโลกหล้าตั้งนานแล้ว!
เนื่องจากกาลเวลาผ่านไปเนิ่นนาน แทบไม่มีผู้ใดในทุกวันนี้รู้ว่าเมื่อครานั้น ศาลมารหมื่นแดนดินหายไปได้อย่างไร
ทุกวันนี้ แดนพำนักของศาลมารหมื่นแดนดินได้แปรเปลี่ยนเป็นซากปรักหักพังไปนานแล้ว
ทว่า จากความทรงจำของชายชราในอาภรณ์ลินิน ซูอี้ได้เรียนรู้ว่า เหล่าผู้ฝึกตนในปัจจุบันได้ค้นพบโอกาสบางอย่างจากบรรพตมารหมางกู่หลายอย่าง เช่นสมบัติวิถี คัมภีร์โบราณและอื่น ๆ
ดังนั้น บรรพตมารหมางกู่ทุกวันนี้จึงกลายเป็นแดนสมบัติให้เหล่าผู้ฝึกตนในโลกหล้ามาแสวงหาโชค
แน่นอนว่ามีอันตรายมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในภูเขาลูกนี้ ผู้ฝึกตนทั่วไปหากล้าเข้าไปที่นั่นง่าย ๆ ไม่
เมื่อรู้เช่นนี้ ซูอี้ก็พลันเข้าใจว่าผู้ฝึกตนกลุ่มเมื่อครู่ก็น่าจะมาแสวงโชคในบรรพตมารหมางกู่ด้วย
“ยุคสมัยแปรเปลี่ยน แดนดินเดิมแต่ต่างผู้คน”
ซูอี้รำพึงเบา ๆ จากนั้นเขาก็นำยันต์ลับชิ้นหนึ่งออกมาสลักอย่างระมัดระวัง
หลังจากนั้นเนิ่นนาน ลวดลายลับประหลาดในวิถีมารก็ปรากฏขึ้นบนยันต์ลับอย่างเงียบงัน
ลวดลายลับนี้มีนามว่า ‘ยันต์โองการหมื่นมาร!’
กาลก่อน หวังเย่ใช้โองการนี้รวบรวมและเรียกใช้เหล่าสมุน!
“เอาล่ะ ลำดับแรกก็ไปหาเบาะแสที่บรรพตมารหมางกู่กันก่อน แล้วจากนั้นค่อยใช้ยันต์นี้ก็ยังมิสาย”
หลังครุ่นคิดครู่หนึ่ง ซูอี้ก็เก็บยันต์ลับไปแล้วทะยานสู่บรรพตมารหมางกู่
……
ภายในบรรพตมารหมางกู่
“ฆ่า!”
ศึกอันดุเดือดกำลังดำเนิน
รัศมีสมบัติเฉิดฉายท่ามกลางฟ้าดิน แสงศักดิ์สิทธิ์ทะลักไหลเยี่ยงคลื่นวารีแผ่ไกล
ผู้ฝึกตนนับร้อยโผทะยานสู่ตำหนักโบราณอันโอ่อ่าแห่งหนึ่ง
ตำหนักนั้นลอยเหนือทะเลสาบกว้าง ทั่วอาคารดูราวสร้างจากทองเทวะ เคร่งขรึมศักดิ์สิทธิ์
ตรงหน้าตำหนักนั้นมีสนามเต๋ากว้างใหญ่ มีรูปสลักศิลาโบราณเรียงรายเป็นแถวในแต่ละฝั่ง
ชั่วขณะนั้น เหล่ารูปสลักศิลาดูจะคืนชีวิตชีวา แปรเปลี่ยนเป็นร่างอันทรงพลังเข้าต่อสู้กับเหล่าผู้ฝึกตนเพื่อขวางไม่ให้เข้าไปในตำหนักตาม ๆ กัน
เปรี้ยง!
สนามเต๋าเกิดความโกลาหล ศึกดำเนินไปอย่างดุเดือดยิ่ง มีผู้ฝึกตนหลั่งเลือดล้มตายเป็นครั้งคราว โลหิตเปรอะเปื้อนพื้น ย้อมสนามเต๋าเป็นสระเลือดแดงฉาน
ทว่าเหล่าผู้ฝึกตนหากลัวความตายไม่ พวกเขาต่างทะยานเข้ามาราวบ้าคลั่ง
สตรีชุดม่วงและชายในอาภรณ์ขุนนางก็มาเยือนเช่นกัน
เมื่อพวกเขาเห็นภาพเหล่านี้จากไกล ๆ ก็อดแสดงสีหน้าเคร่งขรึมมิได้
“พวกเรามาสายไป…”
ชายในอาภรณ์ขุนนางกระซิบด้วยสีหน้าบูดเบี้ยว
“ช้าหรือ ไม่เห็นหรือไรว่าเจ้าเฒ่าพวกนั้นหามีผู้ใดเข้าไปยังตำหนักได้ไม่?”
สตรีชุดม่วงกระซิบ
มหาศึกนี้สะเทือนใจเสียจนนางขวัญผวา สันหลังหนาวยะเยือก
“รูปสลักศิลาพิทักษ์สนามเต๋าเหล่านั้นลือกันว่าเป็นหุ่นเชิดมารที่เหล่าตัวตนทรงอำนาจจากศาลมารหมื่นแดนดินสร้างขึ้นมา อำนาจร้ายกาจชวนสะพรึง ยามสมบูรณ์พร้อม พวกมันสามารถเผชิญกับตัวตนในขอบเขตจุติมงคลได้สบาย ๆ!”
ชายในอาภรณ์ขุนนางดูมืดหมอง “แม้กาลเวลาจะผ่านไปเนิ่นนาน หุ่นเชิดมารเหล่านี้อ่อนกำลังลงอย่างร้ายแรง แต่ตัวตนวิถีจุติสรวงเข้าไปก็ยังมิใช่คู่ต่อกรของพวกมันอยู่ดี”
เขาเห็นได้ว่ามีเจ้าเฒ่าวิถีจุติสรวงมากมายตกตายลงอย่างอนาถ ณ สนามเต๋า!
ส่วนหุ่นเชิดมารเหล่านั้นจวบยามนี้ ก็ถูกทำลายไปเพียงสาม!
สตรีชุดม่วงกล่าวว่า “บางทีเราอาจรอกอบโกยผลประโยชน์ในภายหลังได้ เมื่อคนเหล่านี้ปราบหุ่นเชิดมารทั้งหมดลง พวกเขาจะบุกเข้าสู่ตำหนักเป็นแน่”
วาจาเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนจากทั้งกลุ่มทันใด
ชายในอาภรณ์ขุนนางอดเสสรวลกล่าวมิได้ “ใช่ ๆ หากทำเช่นนี้ เราก็ดูเหมือนมาช้า ทว่ากลับได้ของดีไปง่าย ๆ!”
ดวงตาของเขาร้อนรุ่ม
ตำหนักนี้มีนามว่าตำหนักเทพหมื่นแดนดิน!
จากคำร่ำลือ ในวิหารนี้มีสมบัติทั้งหมดของศาลมารหมื่นแดนดินบรรจุอยู่ รวมถึงสมบัติโบราณ คัมภีร์วิถีลึกลับนับไม่ถ้วน และโอสถเซียนสมบัติศักดิ์สิทธิ์!
ตำหนักนี้ผุดขึ้นจากทะเลสาบศิลาหลอมได้เพียงไม่นาน ดังนั้นจึงนับได้ว่าพวกเขาเป็นคนกลุ่มแรกที่มาแสวงโชค ณ ที่นี้!
ขณะเดียวกัน ซูอี้ก็ได้พบกับตำหนักกลางทะเลสาบศิลาหลอม รวมถึงศึกดุเดือดที่เกิดขึ้นจากระยะไกล
ดวงตาของซูอี้ฉายประกายหวนรำลึก
มิคาดเลยว่าแม้กาลจะผ่านแสนนาน ทว่าตำหนักนี้… ยังอยู่ที่เดิม!