บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1458: หวนเยือนแดนแห่งความหลัง ไต่ถามตัวตน
ตอนที่ 1458: หวนเยือนแดนแห่งความหลัง ไต่ถามตัวตน
………………..
ตอนที่ 1458: หวนเยือนแดนแห่งความหลัง ไต่ถามตัวตน
ซูอี้จำเรื่องต่าง ๆ ได้มากมาย
กาลก่อน หวังเย่เคยพลิกอ่านสารพัดคัมภีร์โบราณซึ่งสะสมจากโลกภูมิใหญ่ ๆ ทั่วศักราชแห่งมารในตำหนักแห่งนี้
เพียงเพื่อจะค้นหาที่มาของอารยธรรมผู้ฝึกตนในศักราชแห่งมารจากคัมภีร์เหล่านั้น
เมื่ออยู่ในระดับขอบเขตของหวังเย่ เขาก็เริ่มศึกษาการแปรเปลี่ยนยุคสมัยและอารยธรรมเพื่อค้นหาเคล็ดฝึกฝนที่เป็นแก่นแท้
ประสบการณ์ผ่านยุคสมัยนับไม่ถ้วนนี้เองที่ทำให้หวังเย่รู้ว่าธารสายยาวแห่งยุคสมัยนั้นลึกล้ำมากปริศนามากกว่าธารยาวแห่งมิติเวลา!
และเพราะเช่นนั้น จึงค้นหาวิถีแปรตนสู่เทพ!
โชคร้ายที่ในยามนั้น หวังเย่ถูกบัญญัติห้ามแห่งทวยเทพ ณ ธารยาวแห่งยุคสมัยคุกคามจนต้องหนีไปเสียก่อน
ยามนี้ รายละเอียดยิบย่อยในประสบการณ์ของหวังเย่เกี่ยวกับตำหนักแห่งนี้ผลิบานเยี่ยงมวลบุปผาในใจซูอี้
ทำให้ซูอี้รำพึงออกมา
ทุกครั้งที่เขาหลอมกรรมวิถีอดีตชาติ ทัศนคติและประสบการณ์ของเขาจะแปรเปลี่ยนอย่างสะเทือนแดนดินทุกคราไป
แม้จะถือกรรมวิถีของหวังเย่เป็นมารหัวใจ เขาก็ยังต้องยอมรับว่าชาติที่หกของเขา… ควรค่าเป็นตัวตน ณ จุดสูงสุดแห่งวิถีเซียนอย่างแท้จริง
ยิ่งใหญ่สยบแดนดินค้ำสวรรค์!
“หือ? พวกเจ้าดูสิ ไอ้หนูนั่นอยู่นี่!”
ไกลออกไป ชายในอาภรณ์ขุนนางพบเข้าซูอี้แล้วอดขมวดคิ้วไม่ได้
“แปลกจัง เขารอดมาถึงที่นี่ได้เช่นไร?”
บางผู้งุนงง
ชายในอาภรณ์ขุนนางแค่นยิ้ม “ปุถุชนอันใด ข้าเห็นตั้งนานแล้วว่าไอ้หนูนี่ไม่ใช่เรื่องดี เขาซ่อนปราณการฝึกตัวได้ ร้ายกาจยิ่งนัก!”
สตรีชุดม่วงขมวดคิ้วกล่าว “หรงเหวิน เจ้าพูดให้มันสุภาพกว่านี้มิได้หรือ?”
ขณะสนทนา ซูอี้ก็มุ่งหน้ามายังทะเลสาบศิลาหลอม
“เจ้านี่คิดจะบุกเข้าไปในตำหนักเทพหมื่นแดนดินหรือ? ใจร้อนไปหรือไม่?”
บางผู้ตะลึงงัน
หัวใจบางผู้เต้นกระตุกอย่างช่วยมิได้
อีกฝ่ายจัดทัพได้ทรงพลังยิ่งนัก ยามนี้พวกเขาทำได้เพียงแค่หลบซ่อน เลือกรอฉวยโอกาสอยู่ที่นี่
แต่ใครจะคิดว่าชายหนุ่มคนเดียวจะเลือกโถมตัวสู่ปลักโคลนโดยตรง แล้วจะมิให้ประหลาดใจได้อย่างไร?
ชายในอาภรณ์ขุนนางกล่าวขึ้น “เฮอะ เขามองหาที่ตายเอง มิเกี่ยวอันใดกับเรา”
มีเพียงสตรีในอาภรณ์ม่วงเท่านั้นที่ลังเลชั่วขณะ ทว่าก็ยังอดเตือนผ่านกระแสปราณมิได้อยู่ดี “สหายเต๋าต้องมิกระทำการหุนหันนะ แทนที่จะไปยามนี้ สู้ถอยมารอโอกาสสักครู่คงจะดีกว่า”
ซูอี้ซึ่งอยู่ไกลออกไปสะดุ้งก่อนจะโบกมือพลางกล่าว “สมบัติ ณ ที่นี้มีเจ้าของแล้ว พวกเจ้าควรไปโดยเร็วที่สุดจะดีกว่านะ”
คิ้วของสตรีชุดม่วงขมวดหากัน ดวงตาคู่งามเจือความเคลือบแคลง
กล่าวเช่นนี้หมายความเช่นไร?
หรือคนผู้นี้พอจะรู้เรื่องความลับภายในตำหนักเทพหมื่นแดนดินอยู่ก่อนแล้ว?
หากเป็นเช่นนั้น เขาคือใครกัน?
ไฉนจึงกล้ามาที่นี่โดยลำพัง?
ขณะที่สตรีชุดม่วงกำลังครุ่นคิด ซูอี้ก็เหยียบย่างบนทะเลสาบศิลาหลอมสู่สนามเต๋าแล้ว
ศึกยังคงดำเนินต่อไปอย่างดุเดือดยิ่ง
ผู้ฝึกตนทั้งหลายล้วนตาแดงฉาน
“ไอ้หนู เจ้ากล้าบุกเดี่ยวมาฉวยโอกาสหรือ? ไสหัวไปซะ!”
ชายชราผมขาวในอาภรณ์ดำผู้หนึ่งตะเบ็งเสียง
ผู้ฝึกตนอื่น ๆ ซึ่งกำลังโรมรันเองก็สังเกตเห็นการมาถึงของซูอี้เช่นกัน แต่เมื่อเห็นว่าเป็นชายหนุ่มผู้ไร้ปราณฝึกฝน พวกเขาก็เมินอีกฝ่ายไปทันใด
“เจ้าเด็กนั่นจบเห่แล้ว!”
เขาจำได้ว่าชายชราผมขาวในอาภรณ์ดำนั้นเป็นยอดคนขอบเขตรวมวิถี เป็นมารเฒ่าผู้ลือนามจากชายแดนทักษิณภูมิเสวียนเหิง ฆ่าคนไม่กะพริบตา มือเปรอะโลหิตเกินลบล้าง!
จริงตามนั้น ขณะที่วาจาของชายชราผมขาวในชุดดำยังคงดังไม่ห้วง เขาก็โบกฝ่ามือแหวกอากาศโจมตีใส่ซูอี้ทันที
ตู้ม!
อำนาจของฝ่ามือนั้นดุร้ายเยี่ยงอสนีบาต แสงสีเลือดจรัสจ้าและทรงพลัง
“ให้ข้าไสหัวไปหรือ?”
สายตาของซูอี้แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาไร้อารมณ์ ก่อนจะดีดนิ้วหนึ่งหน
เปรี้ยง!
อำนาจฝ่ามือที่ประดังเข้ามาระเบิดแหลก
ณ แดนดินที่อยู่ไกลออกไป หว่างคิ้วของชายชราผมขาวในชุดดำถูกทะลวงเป็นรูชุ่มเลือด
“เจ้า…” ดวงตาของชายชราผมขาวในชุดดำเบิกกว้าง จากนั้นร่างของเขาก็ระเบิดแหลก เลือดเนื้อสาดกระจายทั่วถิ่น
การตายอย่างสยดสยองของเขาทำให้เหล่าผู้ชมผงะโดยพลัน
“นี่…”
รอยยิ้มของชายในอาภรณ์ขุนนางที่อยู่ไกลออกไปชะงักค้าง ร่างแข็งทื่อ
“แข็งแกร่งยิ่งนัก!!”
สตรีชุดม่วงร่างสั่นอ้าปากค้าง
ผู้อื่นทั้งหลายล้วนตะลึงงัน ชะงักนิ่ง เกือบคิดว่าพวกตนตาฝาดไปเสียแล้ว
พวกเขารู้แล้วว่าซูอี้หาใช่คนธรรมดา แต่ไม่คาดคิดว่าชายหนุ่มผู้นี้จะร้ายกาจเพียงนี้
เพียงหนึ่งดีดนิ้ว เขาก็กวาดล้างมารเฒ่าในขอบเขตรวมวิถีลงได้!!
และในสนามเต๋านั้น เหล่าผู้ฝึกตนซึ่งกำลังรับมือหุ่นเชิดมารทั้งหลายเองก็ตะลึง สีหน้าแปรเปลี่ยน
“หือ! เจ้านี่มิธรรมดาเลย”
บางผู้ตกตะลึง
“มิคาดว่าจะมีผู้แข็งแกร่งเร้นกายอยู่!”
ดวงตาของบางผู้วูบไหว
“สหายเต๋าผู้นี้ เราร่วมมือกันปราบหุ่นเชิดมารที่นี่ลงก่อนดีหรือไม่ จากนั้นก็ไปแบ่งโอกาสในวิหารเทพหมื่นแดนดินด้วยกัน?”
ชายในอาภรณ์นักพรตเต๋าผู้หนึ่งกล่าวเสียงดัง ราวกับยอมรับความแข็งแกร่งของซูอี้และเอ่ยเชื้อเชิญ
ขณะสนทนา พวกเขาหาหยุดต่อสู้ไม่
ซูอี้เมินเรื่องทั้งหมดนี้ไปเสียสนิท
แม้ว่าจะอยู่ในสนามรบอันอื้ออึงอลหม่าน ทว่ากิริยาของเขากลับผ่อนคลายสุขุมราวเดินท่องสวนหลังบ้านตนเอง
สายตาของชายหนุ่มกวาดมองเหล่าหุ่นเชิดมารในสนาม มือประทับตราประหลาดกดลงบนอากาศ กล่าววาจาอันเกินฟังเข้าใจเบา ๆ
“ย้าก!”
สุรเสียงก้องสะเทือนทั่วทิศ
ภายใต้สายตาที่ไม่อยากเชื่อของผู้คน เหล่าหุ่นเชิดมารซึ่งกำลังต่อสู้กับผู้ฝึกตนอย่างดุเดือดพลันมลายหายไปดุจอากาศธาตุ
แต่ละฝั่งสนามเต๋าปรากฏแถวรูปสลักศิลามากขึ้น
พวกมันแปลงมาจากหุ่นเชิดมารเหล่านั้น!
เพียงแค่ว่ายามนี้ เหล่ารูปปั้นศิลาล้วนนิ่งไม่ไหวติง ถูกผนึกไปโดยสิ้นเชิง
เหล่าผู้ชมล้วนเงียบกริบดุจป่าช้า
เหล่าผู้ฝึกตนซึ่งกำลังต่อสู้รากเลือดเมื่อครู่ล้วนตะลึงมองหน้ากัน
ชายในอาภรณ์ขุนนางกับสตรีชุดม่วงซึ่งอยู่ไกลออกไปเองก็ล้วนตกตะลึง คนผู้นี้ผนึกหุ่นเชิดมารเหล่านั้นได้เพียงพลิกฝ่ามือหรือ!?
จากนั้นทุกสายตาก็มองไปทางซูอี้เป็นตาเดียว!
บรรยากาศเงียบอึมครึมอย่างยิ่ง
ซูอี้ดูจะไม่รู้ตัว เขานำไหสุราหนึ่งออกมากระดกดื่ม แล้วจึงกล่าวว่า “ไปเสียตอนนี้ แล้วข้าจะให้โอกาสพวกเจ้ารอดชีวิต”
กล่าวจบ เขาก็เมินทุกคนแล้วเดินไปยังตำหนัก
ผู้คนป่วนปั่น เหล่าผู้ฝึกตนตะลึงอึ้ง
บางผู้อดกล่าวมิได้ “เจ้า… ผนึกหุ่นเชิดเหล่านั้นหรือ?”
ซูอี้หาสนใจไม่
“ผู้อาวุโสคิดครองสมบัติเหล่านั้นผู้เดียว? มิเกินไปหน่อยหรือ?”
สีหน้าของบางผู้บิดเบี้ยว
ซูอี้ยังคงมิสนใจ
การกระทำเฉยเมยของเขาทำให้สีหน้าของหลายผู้คนถมึงตึง
“หากเจ้ามิแถลงไขให้ชัดเจน ก็เท่ากับเจ้าคิดครองสมบัติไว้ผู้เดียว เรามิยอมหรอกนะ!”
ทันใดนั้น ตัวตนกลุ่มหนึ่งก็เคลื่อนเข้ามาขวางทางตรงหน้าซูอี้ไว้ แต่ละคนดูดุดันมาดร้าย
ผู้ฝึกตนอื่น ๆ ที่นี่ต่างจับตามองซูอี้อย่างใกล้ชิด เตรียมตัวเคลื่อนไหว ราวกับเพียงซูอี้เผยช่องแม้เล็กน้อย พวกเขาก็จะรี่เข้าไป!
ซูอี้ชะงัก เบนสายตามองเหล่าผู้ฝึกตนขวางทางแล้วขมวดคิ้ว “ข้าพยายามคุมตัวเองแทบแย่แล้ว ไฉน… พวกเจ้าต้องมารนหาที่ด้วย?”
น้ำเสียงของเขาแฝงด้วยความจนใจ
เขาสะกดกลั้นจิตสังหารไว้ในใจอยู่จริง ๆ
นั่นคือเจตนาสังหารของชาติที่หก อหังการไร้อารมณ์ คิดเข่นฆ่าไร้ใส่ใจ หากไม่ใช่เพราะซูอี้สะกดกลั้นไว้ เขาคงฆ่าทุกผู้ไปนับแต่ก้าวสู่สนามเต๋านี้แล้ว!
“ทุกท่าน เขาบอกเรามาหาที่ตายว่ะ ฮ่า ๆๆ!”
ชายชราผมขาวผู้หนึ่งหัวเราะร่า
เมื่อเห็นเช่นนี้ ซูอี้พลันหยุดกลั้นอารมณ์
หรือก็คือ ความคิดของเขากับชาติที่หก ณ ขณะนี้เป็นหนึ่งเดียวกัน
ตู้ม!
ซูอี้โบกแขนเสื้อ ปราณดาบสายหนึ่งทะยานผ่านเวหา
เปรี้ยง!
ร่างของชายชราผู้กำลังหัวเราะร่าพลันเปลี่ยนเป็นเศษซากหายลับไป
แทบจะในยามเดียวกันนั้น เหล่าผู้ฝึกตนที่ขวางทางตรงหน้าเขาก็ระเบิดแหลกเยี่ยงดอกไม้ไฟปะทุ โลหิตไหลรินดุจวารีแดงฉาน
เพียงพริบตา เจ็ดตัวตนวิถีมารผู้อยู่ในวิถีจุติสรวงก็ถูกสังหารลงอย่างสยดสยอง
ภาพสะเทือนขวัญนี้กระตุ้นให้ผู้อื่นหวาดผวา
เพียงหนึ่งการโจมตี!
หากกล่าวให้ละมุนหน่อยก็คือ สรรพศัตรูตรงหน้าล้วนถูกกวาดล้าง!
ซูอี้มิจำเป็นต้องพูดซ้ำ เหล่าผู้ฝึกตนที่เหลือก็ล้วนตระหนกจนหันหลังเผ่นหนีไป
เพียงพริบตา ก็เหลือซูอี้อยู่บนสนามเต๋าเพียงผู้เดียว
เมื่อเห็นเรื่องทั้งหมดนี้ ชายในอาภรณ์ขุนนางก็ร่างสั่น เข่าอ่อนยวบแทบทรุดลงกับพื้น
ยามนี้เอง เขาจึงตระหนักว่าหากลงมือกับซูอี้ยามแรกพบ ตนคงมิรอดชีวิตจวบยามนี้!
สตรีชุดม่วงเองก็ตกตะลึง หนังศีรษะชายิบ นิ่งอยู่กับที่
ใครเล่าจะกล้าคาดคิดว่าชายหนุ่มผู้ดูไร้การฝึกฝนจะแข็งแกร่งร้ายกาจจนไม่น่าเชื่อเช่นนี้?
ทุกผู้ในบริเวณนั้นเองก็เสียขวัญโดยสิ้นเชิง
ซูอี้เมินทุกสิ่งไป และก้าวสู่ตำหนัก
ประตูตำหนักปิดอยู่ สลักลวดลายมารลึกลับอันโบราณเอาไว้บนนั้น
โดยไม่รีรอให้ซูอี้ผลักประตู
ประตูที่ปิดอยู่ก็เปิดออกเอง!
ขณะเดียวกัน เสียงหนึ่งก็ดังออกมาจากภายในตำหนัก
“พ่อหนุ่ม เจ้าผ่านบททดสอบตำหนักเทพหมื่นแดนดินแล้ว แต่น่าเสียดายที่เจ้ามาช้าไป สำนักข้าเลิกรับศิษย์มาเนิ่นนาน ในโลกนี้… สิ้นศาลมารหมื่นแดนดินไปนานแล้ว”
“หากเจ้ามาที่นี่เพียงเพื่อสมบัติ เจ้าก็เลือกนำคัมภีร์จากตำหนักนี้ไปเล่มหนึ่งได้”
น้ำเสียงนั้นสูงส่งทรงพลัง แฝงความรู้สึกเฉยเมยดุจนายเหนือเก้าสวรรค์เอ่ยโองการ
ทันใดนั้น ทุกสายตาก็มองมายังจุดเดียวด้วยสีหน้าเปี่ยมความตกตะลึง
ยังมีคนอยู่ในตำหนักเทพหมื่นแดนดินหรือ!?
นอกประตูตำหนัก ซูอี้กล่าวด้วยแววตาซับซ้อน “ข้ามิได้มาเพื่อสมบัติหรอก”
“หรือเจ้าจะมีสิ่งอื่นที่ต้องการเอ่ยขอหรือ?”
น้ำเสียงยิ่งใหญ่สูงส่งนั้นดังขึ้นอีกครั้ง
ซูอี้ส่ายหัวว่า “ข้าไม่ได้ต้องการสิ่งใด มันก็แค่การหวนเยือนแดนแห่งความหลังเท่านั้น แต่ข้ามิคาดเลยว่าที่นี่จะกลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว…”
เขากล่าวจบก็ถอนหายใจเบา ๆ
“หวนเยือนแดนแห่งความหลัง?”
น้ำเสียงยิ่งใหญ่ทรงพลังนั้นดูตกตะลึง “เจ้า… เป็นใครกันแน่? ในเมื่อเจ้าเคยมาที่นี่ ไฉนข้าจะมิเคยพบเจ้ามาก่อน?”
ซูอี้จิบสุราพลางกล่าว “ข้าน่ะนะ เคยอ่านมรดกวิถีแห่งโลกหล้า คุ้ยค้นหาเคล็ดฝึกตนในโลกนี้อยู่สิบปี”
“แน่นอน ข้ายังเคยชี้แนะเจ้าหัวทึ่มเช่นเจ้าอยู่ก่อนด้วย”
เพิ่งสิ้นคำ ตู้ม!
ตำหนักสะเทือนสั่น ปราณอันน่าสะพรึงกลัวฟื้นขึ้นภายในตำหนัก!
………………..