บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1459: ความลับการเวียนวัฏของหวังเย่
ตอนที่ 1459: ความลับการเวียนวัฏของหวังเย่
วิหารกู่คำรามสะเทือนก้อง
ทันใดนั้น แสงมารสีแดงสดสายหนึ่งก็ทะยานขึ้น
เปรี้ยง!
ท้องนภาเคลื่อนสะท้านไหวเอนทั่วบรรพตมารหมางกู่ อาณาเขตสามพันลี้ในโลกหล้าพลันสะเทือนคลอนรุนแรง
บนท้องนภายามราตรี แสงมารสีแดงสาดรัดพันเป็นคู่ปีกสีเลือดปรกนภา!
ปีกคู่นั้นใหญ่ยิ่งดุจเมฆาเหนือท้องฟ้า ปกคลุมเวหาเหนือบรรพตมารหมางกู่ ลวดลายกฎเกณฑ์สีแดงดุจโลหิตปรากฏขึ้น
ขณะเดียวกัน แรงกดดันมหาศาลก็กวาดลงสู่โลกหล้า
“สวรรค์!”
เสียงหนึ่งอุทาน
เหล่าผู้แข็งแกร่งที่ถอยออกมาจากสนามเต๋าเมื่อกาลก่อนหาจากไปจริง ๆ ไม่ และเมื่อพวกเขาเห็นเช่นนี้ก็ต่างตกตะลึง หนาววูบวาบเยี่ยงอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง
“นี่คือ…”
ม่านตาของสตรีในอาภรณ์สีม่วงบีบรัดตัว หนึ่งคำลือพลันแล่นขึ้นในจิต
เมื่อนานมาแล้ว มีตำนานโบราณยิ่งใหญ่เรื่องหนึ่ง
กล่าวกันว่าบรรพชนผู้ก่อตั้งศาลมารหมื่นแดนดินเป็นมารกาสามขาอันก่อเกิดท่ามกลางทะเลโลหิตฮุ่นตุ้น เป็นสัตว์ร้ายปฐมสวรรค์ ดุร้ายไร้คู่เปรียบ กล่าวกันว่าสามารถกลืนกินดวงดาว ฉีกกระชากม่านนภาได้!
ยามนี้ เมื่อนางได้เห็นคู่ปีกสีเลือดปรกท้องนภา สตรีชุดม่วงก็อดตะลึงมิได้ หรือว่า… ปราณร้ายกาจนั้นจะมาจากบรรพชนผู้ก่อตั้งศาลมารหมื่นแดนดิน?!
ตุ้บ! ตุ้บ!
ชายในชุดขุนนางและผู้ฝึกตนมากมายล้วนทรุดลงนั่งแน่นิ่งกับพื้น ตะลึงหวาดผวาโดยสมบูรณ์
ตรงหน้าประตูตำหนัก ซูอี้ไพล่มือไว้เบื้องหลัง มองคู่ปีกลวงตาสีเลือดบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าสุขุม
ขณะนี้ แสงสีเลือดเคลื่อนออกนอกตำหนัก และทันใดนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นชายชราในอาภรณ์สีเทา ณ หน้าประตู สีหน้าถมึงทึง เส้นผมสยายรุงรัง
ด้วยการปรากฏตัวของเขา คู่ปีกสีเลือดคลุมนภาก็เลือนหายไป ฟ้าดินอันสะท้านสั่นเองก็ค่อย ๆ สงบลง
อำนาจกดดันร้ายกาจจางหายเยี่ยงกระแสน้ำ
“ท่าน… ท่านคือ…”
ชายชราในชุดสีเทามองซูอี้อย่างตกตะลึง
ซูอี้มองชายชราชุดเทาและกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ไม่คาดเลยว่าหลังกาลผ่านแสนนาน เจ้าจะยังอยู่ที่นี่อีก”
ชายชราในอาภรณ์สีเทาร่างสั่นสะท้าน ใบหน้าเย็นชาของเขามีความตื่นเต้น คะนึงถึงความเก่า และความปีติปรีดาก็พลุ่งพล่านเต็มไปหมด
จากนั้น ภายใต้สายตาตกตะลึงทุกคู่ ชายชราชุดเทาก็คุกเข่าลงผงกหัวหงึกหงัก กล่าวด้วยน้ำเสียงลึกล้ำ “ผู้น้อยอูเหมิงขอต้อนรับการกลับมาของนายเหนือหัวขอรับ!”
วาจานั้นดุจอสนีบาตฟาดลั่นกลางฟ้าดิน
อูเหมิง!
ไกลออกไป สตรีชุดม่วงตะลึงงันอยู่กับที่ราวกับถูกฟ้าผ่าใส่
นี่คือนามของบรรพชนผู้ก่อตั้งศาลมารหมื่นแดนดินอันลือลั่นทั่วภูมิเสวียนเหิงดุจตำนานไร้วันตาย สะเทือนทั่วโลกหล้าบรรพกาล!
อูเหมิง!
เหล่าผู้ฝึกตนจากไกล ๆ เองต่างหัวใจสั่นสะท้าน
พวกเขามาค้นหาโอกาสที่ตำหนักเทพหมื่นแดนดินยามนี้ ย่อมสืบเรื่องราวเกี่ยวกับศาลมารหมื่นแดนดินกันมาก่อน มีหรือจะไม่รู้ว่านามอูเหมิงหมายความเช่นไร?
เพียงแค่ว่าศาลมารหมื่นแดนดินนั้นหายไปจากโลกหล้าไม่รู้กี่ปี ไร้ผู้ใดคาดคิดว่าบรรพชนผู้ก่อตั้งจะยังคงมีชีวิต!!
ยิ่งกว่านั้น…
ตำนานวิถีมารผู้ห่างหายแสนนานกลับคุกเข่าลงผงกหัวหงึกหงักให้ชายหนุ่มผู้หนึ่ง ทั้งยังเรียกเขาเป็น ‘นายเหนือหัว’!!
ภาพนี้ทำให้จิตใจคนทุกผู้ว่างโล่ง แทบสงสัยว่าตนตกอยู่ใต้มนตร์มายาสะกดใจ และสิ่งที่เห็นตรงหน้าหาเป็นจริงไม่
“นายเหนือหัว…”
“ขอรับ!”
ชายชราชุดเทานามอูเหมิงลุกขึ้น
“แล้วก็ ส่งคนพวกนั้นไปจากที่นี่เเสีย”
ซูอี้สั่ง
ทันทีที่วาจาถูกกล่าว
ชายในอาภรณ์ขุนนางซึ่งนั่งอยู่บนพื้นไกล ๆ พลันคุกเข่ากล่าวอย่างหวาดผวา “ผู้อาวุโส ผู้น้อยมีตาไร้แววก่อนหน้านี้ โปรดไว้ชีวิตผู้น้อยด้วยเถิด!”
กล่าวจบ เขาก็โขกหัวคำนับกับพื้นไม่หยุด
ซูอี้ “…”
เจ้านี่คิดว่าเขาหมายเอาชีวิตอยู่หรือไร?
นัยน์ตาสีเลือดของอูเหมิงกวาดมอง แววตาของเขาคุกรุ่นด้วยจิตสังหารแรงกล้า ไอ้หนูนั่นเคยล่วงเกินนายเหนือหัวเขาหรือ?
เห็นเช่นนี้ หัวใจของสตรีชุดม่วงบีบตัว กล่าวอย่างกระวนกระวายทันที “ผู้อาวุโส ก่อนหน้านี้เรา…”
โดยไม่รีรอให้นางอธิบาย ซูอี้ก็โบกมือกล่าวขึ้นก่อน “ข้ามิสนใจจะปลิดชีพพวกเจ้า อูเหมิง ส่งพวกเขาออกไป”
“ขอรับ!”
อูเหมิงรับคำสั่ง
เขาก้าวออกมา นัยน์ตาสีเลือดกวาดมองคนทุกผู้จากไกล ๆ แล้วจึงสะบัดแขนเสื้อ
ตู้ม!
แสงสว่างสีเลือดเฉิดฉายไม่รู้จบ แปรเปลี่ยนเป็นพายุปกคลุมทั่วนภากวาดออกไป
คนทุกผู้ล้วนเหมือนใบหญ้าต้องพายุ หายวับไปในทันที
……
นอกบรรพตมารหมางกู่
ผู้ฝึกตนเหล่านั้นร่วงลงกองกับพื้นดุจกองเกี๊ยว ต่างฝ่ายต่างมึนงงวิงเวียน
ทว่าเมื่อพวกเขาพบว่าตนยังไม่ตาย พวกเขาก็แสนปรีดา โล่งใจที่พ้นหายนะมาได้
“เรา… มันเกิดอันใดขึ้นกัน?”
บางผู้ขมวดคิ้วกล่าวขึ้น
ทันทีที่วาจาเหล่านี้ถูกกล่าว คนทุกผู้ก็ล้วนชะงัก พยายามหวนระลึก ทว่าก็มิอาจจดจำเรื่องที่เกิด ณ บรรพตมารหมางกู่ก่อนหน้านี้ได้เลย
“ความทรงจำหลังเข้าสู่บรรพตมารหมางกู่ของเราถูกลบทิ้ง!”
บางผู้อุทาน
ชั่วขณะนั้น คนทุกผู้แปรสีหน้า
เมื่อมองไปยังบรรพตมารหมางกู่จากไกล ๆ เหล่าผู้ฝึกตนก็แสดงท่าทีหวาดกลัวอย่างลึกล้ำ
ที่แห่งนี้ประหลาดเกินไป!
……
ตรงหน้าตำหนัก
ชายชราชุดเทาอูเหมิงกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “นายเหนือหัว ผู้น้อยลบความทรงจำหลังเข้าสู่บรรพตมารหมางกู่ของพวกเขาแล้วขอรับ”
ซูอี้นิ่งไป และกล่าวว่า “เจ้าทำเกินไปนะ”
อูเหมิงพลันก้มหัวลงพูดอย่างพรั่นพรึง “ขอนายเหนือหัวสงบโทสะด้วย!”
บรรพชนผู้ก่อตั้งศาลมารหมื่นแดนดิน ตัวตนร้ายกาจผู้ก้าวสู่วิถีเซียนค้ำภูมิเสวียนเหิงมาแสนนานผู้นี้กำลังกระวนกระวายเยี่ยงบ่าวรับใช้กระทำผิดพลาด
ซูอี้อดรำพันยิ้ม ๆ มิได้ “ข้าถึงได้บอกว่าเจ้ามันหัวทึ่ม จวบยามนี้ก็ยังไม่แปรเปลี่ยน ช่างเถอะ อย่าพูดเรื่องนี้เลย”
อูเหมิงเกาหัวแย้มยิ้ม “มีแต่ยามอยู่ต่อหน้านายเหนือหัวนี่แหละขอรับ หัวข้าน้อย… เลยดูทึ่มไปหน่อย”
“ไปกันเถอะ”
ซูอี้เดินเข้าไปในตำหนัก
อูเหมิงรีบร้อนก้าวนำทาง หลังค้อมเล็กน้อยอย่างนอบน้อมดุจบริวารผู้ซื่อสัตย์
……
คบเพลิงนิรันดร์ภายในตำหนักแขวนสูง
พื้นปูด้วยศิลาเซียนลายเมฆา เสาศิลาสลักหงส์มังกร
บรรยากาศโอ่อ่าตระการ
สุดโถงหลักมีชั้นหนังสือวางเรียงแถว วางม้วนหยก ม้วนคัมภีร์หนังสัตว์ สาส์นลับ แท่นจารึกและอื่น ๆ เจิดจ้าเรียงรายหนาแน่น
ตรงหน้าชั้นหนังสือมีโต๊ะใหญ่และเก้าอี้อย่างละตัว
บนโต๊ะนั้นมีพู่กัน หมึก กระดาษ และม้วนคัมภีร์โบราณซึ่งกางอยู่เล่มหนึ่ง
นอกจากนั้น ทั้งโถงก็ไร้สิ่งอื่นใด
เมื่อซูอี้มาถึงโต๊ะตัวนั้น ภาพความทรงจำหนึ่งอันคุ้นเคยซึ่งสลักไว้ในจิตก็ปรากฏขึ้นในใจ
เขาค่อย ๆ นั่งลงที่หน้าโต๊ะ สายตากวาดมอง หยุดลงที่ม้วนคัมภีร์โบราณซึ่งเปิดอยู่ด้วยแววตาซับซ้อน
ไม่ต้องมองเขาก็รู้ ว่าชื่อของคัมภีร์โบราณนี้คือ ‘จดหมายเหตุสายเลือดมารเหง้านิลกาฬ’!
คัมภีร์โบราณเล่มนี้ยังเป็นคัมภีร์โบราณเล่มสุดท้ายที่หวังเย่ศึกษาก่อนจากที่นี่ไป
“นับแต่ยามนั้น ที่นี่ก็หาเปลี่ยนไปไม่”
ซูอี้กล่าว
ด้านข้าง อูเหมิงกล่าวด้วยสีหน้าเปี่ยมอารมณ์ “ยามนายเหนือหัวจากไป ท่านเคยกล่าวว่าจะหวนกลับมาในภายหน้า ผู้น้อยจึงรักษาที่นี่ไว้ในสภาพเดิมเสมอขอรับ”
ซูอี้นำไหสุราหนึ่งออกมาจิบ และกล่าวกับอูเหมิงว่า
“ไฉนศาลมารหมื่นแดนดินที่เจ้าสร้างกับมือจึงหายไปได้?”
“เรียนนายเหนือหัว เป็นผู้น้อยเองที่สลายศาลมารหมื่นแดนดินขอรับ!”
อูเหมิงกล่าว “กาลก่อน ราวสามพันปีหลังท่านจากไป ตัวตนร้ายกาจกลุ่มหนึ่งจากโลกเซียนเข้ามาในศักราชแห่งมาร ค้นหาเบาะแสเกี่ยวกับท่านไปทั่วโลกหล้าขอรับ!”
“คนจากโลกเซียนหรือ?”
ซูอี้ขมวดคิ้วน้อย ๆ “เจ้ารู้ตัวตนของพวกเขาหรือไม่?”
อูเหมิงกล่าว “ความแข็งแกร่งของตัวตนจากโลกเซียนเหล่านั้นร้ายกาจไม่แพ้กัน มิอาจเทียบกับเซียนทั่วไปได้แม้แต่น้อย ผู้น้อยจำได้เพียงว่าหนึ่งในหมู่พวกเขาถูกเรียกว่า ‘จอมจักรพรรดิเซวี่ยเซียว’ ขอรับ”
เจ้าเซวียจื่อ!
ดวงตาของซูอี้หรี่ลงเล็กน้อย บรรยากาศพลันแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาไร้อารมณ์
นี่เป็นศัตรูร้ายไร้ผู้เปรียบผู้หนึ่งที่หวังเย่มีก่อนตาย!
ณ โลกเซียน หวังเย่ผู้อยู่บนจุดสูงสุดนั้นไม่ได้เวียนวัฏเพราะมิอาจหาวิถีอันสูงกว่า
แต่เป็นเพราะระหว่างเก็บตัวฝึกฝน เขาถูกลอบโจมตีโดยกลุ่มขุมอำนาจร้ายกาจ ณ จุดสูงสุดแห่งวิถีเซียนต่างหาก!
เนื่องจากเหตุนั้นเกิดขึ้นกะทันหันเกินไป และหวังเย่กำลังเก็บตัวฝึกฝนถึงช่วงสำคัญ เขาจึงถูกโจมตีโดยมิอาจตั้งตัว
ท้ายที่สุด แม้หวังเย่จะสังหารศัตรูร้ายละเลงโลหิตนองเป็นธารได้ ทว่าเขาเองก็บาดเจ็บสาหัสเกินไป พื้นฐานวิถีเซียนของเขาเสียหายเกินซ่อมแซม จึงทำได้เพียงเลือกเวียนวัฏฝึกฝนใหม่ด้วยอำนาจดาบเก้าคุมขัง
เซวี่ยเซียวจื่อเองก็เป็นหนึ่งในขุมกำลังร้ายกาจที่ลอบโจมตีเขา ณ ยามนั้น!
ในโลกเซียน เจ้านภาโลหิตถูกยกย่องเป็น ‘จอมจักรพรรดิเซวี่ยเซียว’!
นี่คือสัตว์ประหลาดเฒ่าจากสำนักวิถีแห่งหนึ่ง เนิ่นนานก่อนที่หวังเย่จะก้าวสู่วิถีเซียน เซวี่ยเซียวจื่อก็เป็นหนึ่งในผู้ทรงอำนาจไร้ผู้เทียบไม่กี่คน ณ จุดสูงสุดแห่งวิถีเซียนแล้ว
แน่นอนว่ากาลก่อน หากเผชิญหน้าลำพังกับหวังเย่ขณะมีวิถีเต๋าสูงสุดในวิถีเซียน การฆ่าเซวี่ยเซียวจื่อก็ทำได้ง่ายดาย
“หลังหวังเย่ออกจากศักราชแห่งมาร เขาเดินทางสู่โลกภูมิต่างยุคสมัยอยู่เกือบพันปีก่อนหวนคืนสู่โลกเซียน จากนั้น ไม่ถึงสามร้อยปีต่อมา เขาก็ถูกลอบสังหารจนต้องเวียนวัฏฝึกฝนใหม่…”
ซูอี้ลอบคิดในใจ ‘และจากวาจาของอูเหมิง เซวี่ยเซียวจื่อมายังศักราชแห่งมาร 1,700 ปีหลังหวังเย่เวียนวัฏ’
“แปลกแท้ หรือจะบอกว่า… เซวี่ยเซียวจื่อและศัตรูร้ายเหล่านั้นรู้อยู่แล้วหรือว่าหวังเย่มิได้ตายลงจริง ๆ?”
“หาไม่ ไฉนต้องมาหาเบาะแสเกี่ยวกับหวังเย่ที่ศักราชแห่งมารหลังหวังเย่เวียนวัฏไปพันกว่าปีแล้วด้วย?”
“หรือพวกเขาจะพบว่าหวังเย่มาเวียนวัฏในศักราชแห่งมารนี้กัน?”
ร่างเวียนวัฏของหวังเย่คือเสิ่นมู่
และเสิ่นมู่ก็เกิดขึ้นในศักราชแห่งมาร!
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าไฉนเซวี่ยเซียวจื่อจึงมาหาข้าที่ศักราชแห่งมาร?”
ซูอี้เอ่ยถาม
อูเหมิงส่ายหน้ากล่าว “ผู้น้อยไม่รู้กระจ่างชัดขอรับ”
ซูอี้นวดหว่างคิ้วและออกคำสั่ง “เจ้าเล่าต่อสิ”
อูเหมิงกล่าว “ยามนั้น เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้น้อยรับรู้ถึงวิกฤติ เป็นกังวลว่าศิษย์ศาลมารหมื่นแดนดินจะได้รับผลกระทบไปด้วย จึงยุบสำนักโดยเร็วที่สุดขอรับ”
“จากนั้น ผู้น้อยเองก็จำศีลกบดานเงียบ ๆ ตั้งใจจะเก็บข้อมูลอย่างลับ ๆ พยายามสืบหาประสงค์แท้จริงของเหล่าตัวตนวิถีเซียนเหล่านั้น”
“น่าเสียดายที่ไร้ผล”
“ผู้ทรงพลังวิถีเซียนเหล่านั้นล้วนมีที่มาสูงส่ง มิอาจเข้าใกล้ได้แม้เพียงน้อย ไร้ผู้ใดในโลกนี้เคยเข้าใกล้ได้มาก่อนเลยขอรับ”
“ทว่าผู้น้อยก็แน่ใจว่าท้ายที่สุด พวกเขาก็ไม่อาจหาเบาะแสเกี่ยวกับนายเหนือหัวได้เลย”
กล่าวถึงตรงนี้ ดวงตาของอูเหมิงก็ฉายประกายแตกต่าง
ชั่วขณะนั้น นายเหนือหัวนั้นเหนือผู้ใดในโลกหล้า นอกจากเหล่าบริวารแล้วก็แทบไร้ผู้ใดในหล้ารู้ถึงการมีอยู่ของนายเหนือหัว
นอกจากนั้น นายเหนือหัวยังอุทิศตนเองไปกับการศึกษาสารพัดคัมภีร์ ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวในโลกหล้า!
“จนร้อยปีต่อมา เหล่าตัวตนร้ายกาจจากโลกเซียนก็ออกไปจากศักราชแห่งมารขอรับ”
อูเหมิงว่า “ยามนั้น ผู้น้อยไร้กะจิตกะใจจะสร้างสำนักขึ้นมาใหม่ จึงกบดานเงียบที่นี่จวบยามนี้ขอรับ”
ซูอี้จิบสุรากล่าว “แล้วคนอื่น ๆ เล่า?”
กาลก่อน เพื่อรวบรวมคัมภีร์โบราณในศักราชแห่งมาร ซูอี้จึงรับลูกน้องมารับใช้เขาสิบกว่าคน
อูเหมิงคือหนึ่งในนั้น
“ผู้น้อยมิได้ติดต่อพวกเขามาเนิ่นนานแล้วขอรับ ทว่า…”
อูเหมิงเผยท่าทีกระตือรือร้น “ผู้น้อยเชื่อว่าขอเพียงพวกเขารู้ข่าวการหวนคืนของนายเหนือหัว พวกเขาจะมาพบโดยเร็วที่สุดขอรับ!”
ซูอี้ครุ่นคิดสักพัก และกล่าวว่า “หนนี้ข้ามาที่นี่เพื่อสะสางเรื่องบางอย่าง แต่ข้าอยากให้พวกเจ้าช่วยรวบรวมเบาะแสบางอย่างด้วยจริง ๆ”
อูเหมิงคำนับอย่างเคร่งขรึม “ขอนายเหนือหัวบัญชามาเถิด!”
ซูอี้กล่าวด้วยแววตาล้ำลึก “สืบอำนาจของสำนักมารหกโลกีย์”
เขาแจ้งจุดประสงค์ของตนโดยสังเขป
จากนั้น เขาก็นำยันต์โองการหมื่นมารออกจากในแขนเสื้อยื่นให้อูเหมิง “นำสิ่งนี้ไปรวบรวมคนอื่น ๆ มา”
“ขอรับ!”
อูเหมิงรับยันต์โองการหมื่นมารด้วยสองมือ หัวใจเต้นระรัว ผ่านไปเนิ่นนานเพียงไรแล้วหนอ และยามนี้ ในที่สุดเขาก็สามารถกระทำการรับใช้นายเหนือหัวได้อีกครา!
สำนักมารหกโลกีย์?
เฮอะ!
บังอาจล่วงเกินนายเหนือหัว มันก็ต้องถูกลบหายจากโลกหล้า!
……
ตกดึก
อูเหมิงนั่งขัดสมาธิ เรียกใช้ยันต์โองการหมื่นมาร
วูบ!
ยันต์โองการหมื่นมารเปี่ยมด้วยแสงเงาประหลาดเกินเข้าใจ ทำให้สุญญะกระเพื่อมเป็นวง
“นายเหนือหัวหวนคืนแล้ว รีบมาพบข้าเร็วเข้า!”
อูเหมิงประทับเจตจำนงเสี้ยวหนึ่งของเขาลงในยันต์โองการหมื่นมาร
จากนั้น ชิ้นยันต์ก็พลันแผดเผา แปรเปลี่ยนเป็นแสงเจิดจรัสทะยานผ่านเวหา
เมืองอันคลาคล่ำด้วยผู้คนแห่งหนึ่ง
กลางดึก
กองโจรร้ายกลุ่มหนึ่งบุกเข้าปล้นบ่อน
เมื่อเผชิญกับการข่มขู่เอาชีวิต เหล่านักพนันจึงได้แต่ยอมส่งทรัพย์สินให้แต่โดยดี
“ตาเจ้าแล้ว”
กระบี่ยาวลอยเด่นตรงหน้าชายชราผู้หนึ่ง
ชายชราผู้นั้นแต่งกายมอซอ เส้นผมกระเซิง ใบหน้ายับย่น ดวงตาหมองมัว
คนทุกผู้ในบ่อนต่างรู้ว่าชายชราผู้นี้คือนักพนันเฒ่า ขอเพียงมีเงิน เขาก็จะรี่มายังบ่อนโดยเร็วที่สุด และเสียทุกอย่างไปอย่างหมดจดทุกครา
ชายชราหดคออย่างพรั่นพรึง กล่าวเสียงเบาว่า “ข้า… เสียทุกอย่างไปหมดแล้ว”
เปรี้ยง!
โจรผู้หนึ่งถีบร่างชายชราออกไป ขณะที่เขากำลังจะค้นตัวอีกฝ่ายนั้นเอง โจรอีกคนก็หยุดเขาไว้ “ดูสภาพมอซอของเจ้านั่นสิ มีหรือจะมีเงิน? ถูกบ่อนนี่รีดหมดตัวไปแล้วมากกว่า!”
ไม่นานนัก เหล่าโจรก็ปล้นทรัพย์สินเงินทองครบถ้วน เตรียมจะหวนคืนรัง
แต่ก่อนจะทันได้จาก ร่างหนึ่งก็พลันขวางหน้าประตูบ่อนไว้
เขาคือชายชราผู้มีเส้นผมกระเซอะกระเซิง
“ไอ้แก่ อยากตายหรือไร? เปิดทาง!”
โจรผรุสวาทอย่างดุร้าย
ชายชราดูละอาย เขาก้มหัวลงนำถุงเงินถุงหนึ่งออกมาส่งให้ด้วยสองมือ
“ท่านผู้นี้ ข้าขออภัยด้วย ข้ามิควรโกหก อันที่จริงข้าพอมีเบี้ยเฟื้องติดตัวบ้าง โปรดรับไว้เถิด”
เหล่าโจรอึ้งตะลึงมองหน้ากัน
“เจ้าแก่นี่ซื่อดีนะ!”
โจรผู้หนึ่งก้าวเข้ามาฉวยถุงเงินไป
ชายชราดูละอายยิ่งกว่าเดิม กล่าวขึ้นด้วยใบหน้าแดงเรื่อ “ท่านผู้นี้ ข้ายังต้องขออภัยอีก ที่จริงแล้ว… ข้าหาใช่ปุถุชนไม่”
เหล่าโจรตะลึงไปอีกหน
หนึ่งในกองโจรก่นด่าขำ ๆ “เจ้าหาใช่ปุถุชนไม่ แล้วเจ้าจะเป็นเซียนได้หรือไร? รีบไสหัวให้พ้นทางเสีย!”
กล่าวจบ เขาก็ยกมือขึ้นผลักร่างชายชรา
เปรี้ยง!
ร่างของโจรผู้นั้นพลันระเบิดกลายเป็นละอองเลือด
ภาพอันสยองขวัญนั้นทำให้เหล่าโจรที่เหลือตะลึงงัน เหงื่อกาฬผุดขึ้นเต็มหน้าผาก
ชายชรากล่าวอย่างดูละอาย “ข้าขออภัยจริง ๆ ข้า… เป็นเซียนจริง ๆ แหละ”
เสียงยังไม่ทันสร่าง โจรทั้งหลายก็ระเบิดตายกลายเป็นกองเลือด
วูบ!
ขณะนั้นเอง ปรากฏคลื่นกระเพื่อมแห่งมิติขึ้น
ชายชราสะดุ้งตกใจ ยกมือขึ้นคว้ากลางอากาศ
ทว่าจู่ ๆ เสียงโรยราเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“นายเหนือหัวหวนคืนแล้ว รีบมาพบข้าเร็วเข้า!”
ชายชราพลันตื่นเต้น ตบเข่าฉาดเสสรวลอย่างปรีดา “ในที่สุดนายเหนือหัวก็กลับมาแล้ว กลับมาแล้ว!!”
เขาหันหลังหายลับรัตติกาลไพศาลไปอย่างรวดเร็ว
……
กลางดึก พฤกษาเก่าแก่เหี่ยวเฉา ฝูงกาขับขาน
ณ สุสานอันรกร้างแห่งหนึ่ง
กลุ่มโจรปล้นสุสานกำลังขุดสุสานหนึ่ง
“ออกมาแล้ว! เป็นโลงทองที่ใหญ่ยิ่งนัก!”
เมื่อพวกเขาพบโลงทองปรากฏขึ้นในสุสาน เหล่าโจรปล้นสุสานก็อดชะงักไปมิได้ ราวกับมิคาดว่าจะขุดพบมหาสมบัติเช่นนี้
“พี่น้องทั้งหลาย พวกเรารวย… รวยเละ!!”
โจรปล้นสุสานผู้หนึ่งตื่นเต้นจนเสียงสั่น หอบหายใจถี่กระชั้น
“เปิดโลง! ในโลงนั่นต้องมีสมบัติอันน่าเหลือเชื่อกว่าอยู่แน่!”
บางผู้กระซิบ
ทว่ายามนี้เอง หนึ่งเสียงพลันดังออกมาจากโลงทองอย่างเปี่ยมความประหลาดใจ
“นายเหนือหัวกลับมาแล้วหรือ?”
กลุ่มโจรปล้นสุสานตกใจเสียจนแทบปัสสาวะราด
อึดใจต่อมา โลงทองก็ลอยขึ้นสูง แปรเปลี่ยนเป็นเส้นแสงทะยานหายสู่ส่วนลึกของนภายามราตรี
ณ ที่แห่งนั้นเหลือเพียงกลุ่มโจรปล้นสุสานผู้ตื่นเตลิดเละเทะมิต่างกันอยู่กลุ่มหนึ่ง
……
ขุนเขาใหญ่ ณ ส่วนลึกสุดแห่งสมุทรกว้างพลันสั่นคลอน ส่งคลื่นปั่นป่วนรุนแรงในท้องสมุทรกินรัศมีหลายพันลี้
จากนั้น สาวน้อยน่ารักผู้หนึ่งก็เดินออกมาจากใต้ขุนเขา เรือนผมยาวสีขาวดุจหิมะของนางเรืองประกายเงินยวงราวภาพฝันในทะเล
“นายเหนือหัว… นางบ่าวผู้นี้รอคอยวันนี้… มาเนิ่นนานแล้วเจ้าค่ะ…”
หญิงสาวงดงามอรชร ดูประพฤติดีน่ารัก ทว่าส่วนลึกในดวงตาของนางกลับมีอสนีบาตสีเงินประหลาดชวนสะพรึงพลุ่งพล่าน
เหตุการณ์ลักษณะเดียวกันเกิดขึ้นในค่ำคืนนี้หลายต่อหลายหน
หนึ่งชายร่างใหญ่ยักษ์กำยำแบกหอกศึกทะยานออกจากสนามรบโบราณ
หนึ่งชายชุดขาวผู้นั่งขัดสมาธิบนหนึ่งดารากลางจักรวาลพร่างดาวแหวกผ่านนภา
พวกเขาล้วนมุ่งหน้าไปยังจุดเดียวกัน
บรรพตมารหมางกู่!
……
“อูเหมิง นายเหนือหัวอยู่หนใด?”
กลุ่มตัวตนร้ายกาจยืนเรียงรายในวิหารเทพหมื่นแดนดิน มองไปทางอูเหมิงเป็นตาเดียว
ตัวตนเหล่านี้มีทั้งนักพนันเฒ่าในอาภรณ์มอซอ ชายวัยกลางคนชุดดำแบกโลงทองยาวสามฉื่อ ชายชุดขาวถือพัดหยก หญิงสาวผู้มีเส้นผมขาวดุจหิมะ ชายร่างยักษ์ผู้พาดหอกศึกสีเลือดบนบ่า…
เมื่อรวมอูเหมิง ทั้งหมดก็มีเจ็ดคน
“กาลก่อน พวกเราทั้งสิบแปดรับใช้ใต้บัญชานายเหนือหัวด้วยกัน ทว่ายามนี้พวกเราเหลือกันเพียงเท่าที่เห็น”
อูเหมิงรำพึงเบา ๆ
ผู้อื่นหายไปไหนกัน?
มิต้องคิดก็รู้ว่าตายตกกันไปหมดแล้ว
หาไม่ ก็ไม่ได้อยู่ในภูมิเสวียนเหิงอีกต่อไป
ด้วยหากไม่เป็นเช่นนั้น ขอเพียงได้รับคำเรียกจากยันต์โองการหมื่นมาร พวกเขาก็จะต้องมาโดยเร็วที่สุด!
ทุกผู้เงียบไปชั่วขณะ รำพึงอยู่ในใจ
“ข้าเชิญพวกเจ้ามาครานี้ก็เพื่อให้ช่วยกระทำการบางอย่างให้นายเหนือหัว”
อูเหมิงกล่าวด้วยน้ำเสียงลึกล้ำ “ต่อจากนี้ ข้าจะไล่เรียงงานให้พวกเจ้าทำแยกกัน มีเพียงคำขอเดียวเท่านั้น คือขอให้งานลุล่วงอย่างสวยงาม!”
สตรีผมขาวเอ่ยถาม “นายเหนือหัวเล่า?”
“นายเหนือหัวก้าวไปล่วงหน้าแล้ว”
อูเหมิงเหลือบมองสตรีผมขาว “หากเจ้าอยากพบนายเหนือหัว ก็กระทำงานให้ลุล่วงโดยดีก่อนเถิด”
สตรีผมขาวยิ้มหวานกล่าวว่า “อย่าห่วงเลย ขอเพียงเป็นการทำเพื่อนายเหนือหัว ข้าละเอียดอ่อนตั้งใจยิ่งกว่าตาแก่เช่นพวกเจ้าเยอะ!”
อูเหมิงยกมือส่งม้วนหยกให้ทุกผู้คนละชิ้น “นี่คืองานของพวกเจ้า อ่านแล้วลงมือได้”
……
สำนักมารหกโลกีย์
ในคุกอันมืดมิดแห่งหนึ่ง
“มู่จื่อจิน เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าหากเสิ่นมู่ยังอยู่ ต่อให้เขามาเห็นเจ้าในสภาพสะบักสะบอมเช่นนี้ เขาก็ยังดุด่าข้าไม่ลงหรอก”
เสวี่ยหลิวยืนบนบันไดศิลายกสูง นัยน์ตาเย็นชาเจือเค้าความสงสาร
คุกนั้นเปียกชื้นเหม็นอับ กลิ่นศพเน่าคละคลุ้ง
มู่จื่อจินสวมอาภรณ์แหว่งวิ่น ขดตัวอยู่ ณ มุมหนึ่งของผนัง
เส้นผมของนางสยายยุ่ง เปรอะด้วยโลหิตและดินโคลน ผิวกายที่เคยขาวกระจ่างบัดนี้มีบาดแผลชุ่มเลือด
ใบหน้าหยกอันงดงามบัดนี้ซีดขาวอย่างน่าสงสาร
ตรวนทมิฬเส้นหนึ่งลากผ่านบ่า พันธนาการรอบร่างของนาง เปรอะเปื้อนโลหิตเก่าแห้งกรัง
คุกนั้นเต็มไปด้วยคราบน้ำโสมม หมอกน้ำสกปรกลอยเอื่อย ทำให้ผิวกายของนางส่งกลิ่นมิน่าพิศมัย ดูซอมซ่ออัปยศเสียยิ่งกว่าขอทานตามถนนเสียอีก
มู่จื่อจินดูจะไม่ตระหนักถึงเสียงของเสวี่ยหลิวซึ่งสะท้อนอยู่ในคุก ดวงตาของนางเหม่อลอยว่างเปล่า สีหน้าแข็งทื่อราวสิ้นวิญญาณ
นางคือธิดาของมู่เจี้ยนฉือ ผู้ฝึกดาบอันลือนามในภูมิเสวียนเหิง ศิษย์น้องของเสิ่นมู่ และธิดาแห่งสวรรค์อันน่าภาคภูมิ ผู้คนทั่วโลกหล้าทำได้เพียงแหงนมองนางเท่านั้น
ทว่ายามนี้ นางกลับกลายเป็นผู้ถูกเหยียบย่ำ… เป็นเชลย
“อย่าเศร้าไป ข้าไม่ได้ตั้งใจจะรังแกเจ้า อันที่จริง แมลงน้อยเช่นเจ้าไร้คุณสมบัติแม้แต่จะให้ข้าเหยียบด้วยซ้ำ”
ดวงตาของเสวี่ยหลิวเต็มไปด้วยความแค้น “ข้าแค่อยากบอกเจ้าว่าแม้เสิ่นมู่จะตาย เขาก็ไม่ได้ตายสนิท และครั้งนี้ ข้าจะฆ่าเขาให้สิ้นฉาก มิให้เหลือกระทั่งเศษธุลี!”
กล่าวจบ นางก็หันหลังจากไป
ทว่าทันใดนั้น น้ำเสียงแหบพร่าอ่อนแรงของมู่จื่อจินก็ดังมาจากด้านหลัง “ให้ข้า… เห็นด้วยตนเองได้หรือไม่?”
เสวี่ยหลิวหันไปมองลงยันร่างของมู่จื่อจิน ณ มุมห้องขัง “อยากเห็นการตายร่างเวียนวัฏของเสิ่นมู่หรือ?”
มู่จื่อจินพยักหน้ากล่าว “ถ้าสุดท้าย… ผู้ตายเป็นเจ้าเล่า?”
เสวี่ยหลิวชะงักไป นางอดหัวเราะมิได้ “ได้ เมื่อเขามา ข้าจะให้เจ้าเห็นว่าศิษย์พี่เสิ่นที่เจ้ารักนักหนาถูกข้าเข่นฆ่าเยี่ยงสุนัขเช่นไร!”
กล่าวจบ นางก็หันหลังจากไป
ณ มุมห้องขัง มู่จื่อจินผู้เส้นผมเกรอะกรังด้วยโลหิตนิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะพึมพำเบา ๆ “ศิษย์พี่เสิ่นที่ข้ารักนั้นมิมีอยู่อีกต่อไป…”
“ยามนี้เขาคือซูเสวียนจวิน เป็น… นักดาบซึ่งจะไม่ถูกความรักกักขังอีก!”
ท้ายที่สุด ส่วนลึกในดวงตาว่างเปล่าของนางก็ดูจะเรืองประกายขึ้นจาง ๆ
………………..