บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1460: ปรากฏร่าง
ตอนที่ 1460: ปรากฏร่าง
ตะวันอัสดงสาดแสง
เหนือซากปรักหักพังแห่งหนึ่ง
ซูอี้ยืนเงียบลำพัง
ซากปรักหักพังนั้นทอดยาว อาคารถล่มระเกะระกะทั่วทิศ เผยความรกร้างว่างเปล่า
ที่แห่งนี้มีร่องรอยแห่งมหาสงคราม ซากศพกลาดเกลื่อนทั่วแดน คราบเลือดเหือดแห้งแสนนานเปรอะเปื้อนดุจจุดหมึกสีเลือดสาดทับเละเทะ
ที่แห่งนี้คือที่ตั้งตระกูลเสิ่น!
ในความทรงจำของเสิ่นมู่ ที่แห่งนี้คือแดนศักดิ์สิทธิ์หุบเขาลือยามแห่งหนึ่ง มีศาลาอาคารตระการตามากมาย คนนับหมื่นจากสารพัดชนเผ่าร่วมอาศัย
มันยังจารึกความทรงจำดี ๆ ในยามเยาว์วัยของเสิ่นมู่ไว้มากมาย
ภาพความทรงจำต่าง ๆ ประดังเข้ามาในใจซูอี้
ความเมตตาของมารดา ความเข้มงวดของบิดา การประคบประหงมดูแลจากสมาชิกตระกูล การพร่ำสอนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของเหล่าญาติผู้ใหญ่…
ทว่ายามนี้ ทุกสิ่งล้วนพังทลาย!
เหล่าสมาชิกตระกูลล้มตายไม่รู้กี่คน!
ความรวดร้าวแผ่ซ่านทั่วร่างซูอี้
นี่คือความรู้สึกของเสิ่นมู่ เปี่ยมด้วยความโศกเศร้าและแค้นเคือง
ซูอี้นำหนึ่งไหสุราขึ้นยกดื่มเงียบ ๆ
ในหมู่กรรมวิถีอดีตชาติที่เขาหลอมรวมจนบัดนี้ เสิ่นมู่ผู้ถูกหนึ่งสตรีทำลายจิตนึกคิดสิ้นสลายดูโง่งมที่สุดโดยมิต้องสงสัย
ปฏิเสธไม่ได้ ว่าไม่ว่าจะเป็นหวังเย่ ทัศนาจารย์ หรือตัวเขาซูเสวียนจวิน ในด้านความสามารถและความเข้าใจหาดีเทียบเสิ่นมู่ได้ไม่
แต่ท้ายที่สุด เหตุที่เสิ่นมู่พ่ายด้วยมือของสตรีนั้นก็เป็นเพราะว่าหัวใจของเขาเรียบง่ายเกินไป
ขณะเดียวกัน เขาก็พบสตรีเยี่ยงเสวี่ยหลิวแต่ยังเยาว์ ซึ่งท้ายที่สุดก็นำสู่โศกอนาฏกรรม
ซูอี้หาโทษเสิ่นมู่ไม่
เขามิได้อยู่ในตำแหน่งจะโทษผู้ใดได้เช่นกัน
เหตุที่เขามาที่นี่นั้นก็เพื่อใช้ตาตนให้เสิ่นมู่ผู้สูญสิ้นจากโลกนี้แสนนานได้เห็น ว่าความหลงใหลเก่าก่อนของอีกฝ่ายไม่เพียงทำร้ายตนเอง แต่ยังรวมถึงคนตระกูลเสิ่นทุกผู้
“ความหลงใหลของเจ้ายังกลายเป็นมารในใจข้าด้วย แต่ไม่ว่าอย่างไร ท้ายที่สุดเจ้าและข้าก็เป็นคนผู้เดียวกัน และยามนี้ ข้าจะช่วยเจ้าสะบั้นมันให้หมด”
ซูอี้เชิดคางขึ้นดื่มสุราหมดไห
ภายใต้ท้องนภายามตะวันอัสดง ร่างผอมชราวัยของอูเหมิงเดินมาหา
“นายเหนือหัว จัดเตรียมทุกสิ่งไว้แล้วขอรับ”
อูเหมิงคำนับอย่างนอบน้อม
“ไปกัน ไปสำนักมารหกโลกีย์กันเถอะ”
ซูอี้ออกคำสั่ง
วูบ!
ร่างของอูเหมิงวูบไหว แปรเปลี่ยนเป็นมารกาสามขาขนาดยักษ์ คู่ปีกสีเลือดไพศาลยาวร้อยจั้ง
และนี่ยังเป็นการหดร่างโดยจงใจ
หากเผยร่างจริงสุดกำลัง เพียงปีกคู่นั้นก็ปกคลุมแดนดินสามพันลี้ได้!
ซูอี้ก้าวขึ้นหลังมารอีกาสามขาซึ่งแปรเปลี่ยนจากอูเหมิง คู่ปีกสีเลือดสยายออกทะยานสู่เก้าชั้นสรวงในพริบตา
……
ภูเขาศักดิ์สิทธิ์พันวังวน
สถานที่ตั้งของสำนักมารหกโลกีย์
ขุนเขาตระหง่านเรียงรายใหญ่โต ปกคลุมโดยแสงศักดิ์สิทธิ์ตลอดทั้งปี เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นหนึ่งแห่งภูมิเสวียนเหิง
ยามนี้ ในตำหนักแห่งหนึ่ง
เสวี่ยหลิวจัดงานเลี้ยงรับรองเหล่าผู้ทรงอำนาจจากสำนักมารอีกเจ็ดแห่ง
ภูมิเสวียนเหิงทุกวันนี้เรียกกลุ่มเต๋าสูงสุดว่า ‘แปดสำนักมหามาร’
ในหมู่พวกเขา สำนักมารหกโลกีย์เป็นกลุ่มเต๋าสูงสุดในภูมิเสวียนเหิง ดุจนายเหนือผู้ปกครองทั่วด้าวแดน แข็งแกร่งเหนือเจ็ดสำนักมารอื่น ๆ
“การที่ทุกท่านมาช่วยในหนนี้ ข้าผู้นี้ขอดื่มฉลองให้ก่อน”
บนบัลลังก์ประธาน เสวี่ยหลิวผู้เป็นเจ้าสำนักยกจอกของนางขึ้นพลางกล่าวเบา ๆ
วันนี้นางสวมชุดยาวแขนเสื้อกว้างสีดำ เรือนผมยาวรวบสูง ใบหน้าหยกเย็นชางดงาม เปี่ยมความยิ่งใหญ่ทรงพลัง
ทุกผู้ในงานเลี้ยงต่างดื่มฉลองเสสรวลกัน
ขณะนี้ สำนักมารทั้งเจ็ดล้วนส่งผู้ทรงอำนาจในขอบเขตจุติมงคลมารวมตัวกันฝ่ายละเก้า
เมื่อรวมเป็นหนึ่ง การจัดทัพก็พิเศษยิ่งนัก
ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับเสวี่ยหลิวผู้นั่งบนบัลลังก์สูงสุด ตัวตนขอบเขตจุติมงคลเหล่านี้ก็ดูหวาดหวั่นไม่มากก็น้อย
ในภูมิเสวียนเหิง ทุกผู้ต่างรู้ว่าเจ้าสำนักหญิงแห่งสำนักมารหกโลกีย์นี้ปกครองเปี่ยมอำนาจ เย็นชาอหังการเยี่ยงบุรุษ
ทันใดนั้น ชายชราผู้หนึ่งก็เอ่ยปากถาม “ข้าอยากทราบว่าสหายเต๋าเสวี่ยหลิวกำลังจะจัดการผู้ยิ่งใหญ่จากหนใดหรือ?”
ทันทีที่วาจาถูกกล่าว ทุกผู้ก็เงียบฟัง
พวกเขายังคงงุนงงจวบยามนี้
เสวี่ยหลิววางจอกสุราในมือลงช้า ๆ และกล่าวว่า “เป็นคนผู้หนึ่งนามซูอี้ ถือได้ว่าเป็นศัตรูเก่าของข้า”
“ศัตรูมีเพียงหนึ่งหรือ?”
บางผู้ประหลาดใจ
เสวี่ยหลิวพยักหน้ากล่าว “ถูกต้อง หากไร้สิ่งอื่นใด คนผู้นี้น่าจะก้าวสู่วิถีจุติสรวง อยู่ในขอบเขตจิตทารกแล้ว”
ทุกผู้ผงะมองหน้ากัน แทบเชื่อหูตนไม่ลง
เป็นเพียงหนึ่งตัวตนเล็กจ้อยในขอบเขตจิตทารก ไฉนสำนักมารหกโลกีย์จึงตื่นตูมไปเช่นนี้?
ไฉนเจ็ดสำนักมารของพวกเขาจึงต้องส่งพวกตน ตัวตนในขอบเขตจุติมงคลมาช่วยด้วย?
แค่หนึ่งตัวตนในขอบเขตรวมวิถีก็ฆ่าได้ง่าย ๆ แล้ว!
บรรยากาศในโถงพลันอึมครึมอย่างประหลาดไปชั่วขณะ
“พวกท่านรู้สึกว่ามันน่าขันหรือไม่?”
เสวี่ยหลิวกล่าว
ชายชราผู้หนึ่งไอแห้ง ๆ และกล่าวว่า “ตอบสหายเต๋าตามตรง มันก็ประหลาดยากเกินเข้าใจจริง ๆ”
“อย่าได้ประเมินคนผู้นี้ต่ำ”
เสวี่ยหลิวกล่าว “หากเป็นตัวตนทั่วไป คงมิต้องให้พวกเจ้าทั้งหลายมาช่วยกันหรอก”
“แน่นอน เช่นที่รู้ คนผู้นี้ท้ายที่สุดก็เป็นเพียงผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตทารก และสำนักข้าก็เตรียมตาข่ายฟ้าดินไว้แล้ว รอเพียงยามที่เขาโยนตัวเองสู่กับดักเท่านั้น”
แม้จะกล่าวเช่นนั้น ทุกผู้ก็ยังรู้สึกเกินจริงไปเล็กน้อย
ใครเล่าจะกล้าคาดคิดว่าสำนักมารหกโลกีย์ ขุมกำลังอันดับหนึ่งแห่งภูมิเสวียนเหิงจะทุ่มเทกำลังเคลื่อนพลเพียงเพื่อจัดการหนึ่งตัวตนในขอบเขตจิตทารก?
ช่างบ้าคลั่งนัก!
เสวี่ยหลิวเหลือบมองสีหน้าของคนทุกผู้ในโถง
นางไม่ได้อธิบายใด ๆ กล่าวเพียงว่า “ความระมัดระวังต่อชีวิตยืนยาว ข้าหวังว่าคงเป็นการดีที่สุดหากจะฆ่าซูอี้ผู้นั้นได้โดยง่าย ทุกผู้จะได้ไม่ต้องลำบากเปลืองแรง”
ทันทีที่นางกล่าวเช่นนี้ เสียงโรยราเสียงหนึ่งก็แว่วมาจากไกล ๆ นอกโถง
“นายเหนือหัวของข้ามาเยือนแล้ว เจ้าสำนักมารหกโลกีย์มุดหัวอยู่หนใด ไฉนยังไม่ออกมาคารวะนายเหนือหัวข้าอีก?”
เสียงนั้นแพร่ไปทั่วทศทิศ สะท้อนก้องทั่วภูเขาศักดิ์สิทธิ์พันวังวน
ทุกผู้ในโถงล้วนตะลึงนิ่งประหลาดใจ ใครกันที่กินหัวใจหมีดีเสือดาว หาญกล้าบุกมาโวยวายในถิ่นสำนักมารหกโลกีย์?
ณ บัลลังก์ประธาน คิ้วงามของเสวี่ยหลิวย่นเล็กน้อย
หากซูอี้ข้ามธารสายยาวแห่งมิติเวลามา เขาก็น่าจะปรากฏตัวที่ภูเขาจิตดารา ณ ขณะนี้
เพราะ ‘พิกัดมิติ’ ที่นางให้เขานำมาสู่เขาจิตดารา
และในบริเวณภูเขาจิตดารานั้นถูกกางตาข่ายฟ้าดินดักไว้นานแล้ว!
ทว่ายามนี้กลับมีผู้มาตะโกนนอกแดนพำนัก เรียกนางให้ไปพบนายเหนือหัว กำเริบเสียนี่กระไร!?
“มีคนมา ไปดูสิว่าข้างนอกเกิดอันใด”
เสวี่ยหลิวออกคำสั่งเนิบ ๆ ด้วยท่าทีสุขุม
“ขอรับ!”
บ่าวเฒ่าผู้หนึ่งรีบร้อนจากไป
“ท่านทั้งหลาย เราฉลองกันต่อเถิด”
เสวี่ยหลิวแย้มยิ้มดื่มฉลอง
ทุกการใหญ่ต้องสุขุมเยือกเย็น
ในฐานะผู้นำสำนักมารหกโลกีย์ เสวี่ยหลิวจะมิรวนเรเพียงเพราะหนึ่งเสียงตะโกน
ทว่าก่อนนางจะทันดื่มสุราหมดจอก เปรี้ยง!
เสียงคำรามสะเทือนแดนดินพลันดังมาจากไกล ๆ นอกสถานพำนัก
เจือมาด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวน
คนทุกผู้ในโถงมองหน้ากัน อดหันไปมองเสวี่ยหลิวผู้นั่งบนบัลลังก์ประธานมิได้
สีหน้าของเสวี่ยหลิวแปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ
อย่าว่าแต่มายั่วยุถึงหน้าถิ่น กระทั่งลงมือยังกล้าหรือ?
วอนตายโดยแท้!!
“สหายเต๋า ไฉนเรามิออกไปด้วยกันเล่า?”
“ให้พวกท่านหัวเราะขำเอาเสียแล้ว”
เสวี่ยหลิวลุกขึ้น “นั่น… ไปดูกันเถิดว่าคนบ้ามิรู้จักตายนี่มาจากหนใด”
กล่าวจบ นางก็ก้าวไปข้างนอก
เหล่าตัวตนทรงอำนาจในขอบเขตจุติมงคล ณ โถงหลักล้วนตามไปครบถ้วน
……
นอกภูเขาศักดิ์สิทธิ์พันวังวน
ซูอี้ไพล่มือไว้เบื้องหลัง ยืนนิ่งอยู่ไกล ๆ
เมื่อครู่ เพียงอูเหมิงตบฝ่ามือบนอากาศ เขาก็แทบบดขยี้แดนพำนักสำนักมารหกโลกีย์ลงสิ้น
เหล่ายอดฝีมือจากสำนักมารหกโลกีย์ผู้พิทักษ์แดนสำนักถูกฟาดตายด้วยฝ่ามือของเขาไปแล้ว!
ยามนี้ ค่ายกลทั่วภูเขาศักดิ์สิทธิ์พันวังวนกู่คำราม เพลิงแสงประสานก่อเกิดเป็นร่างมากมายทะยานออกมาจากแดนพำนัก
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหล่าผู้ทรงอำนาจ ณ สำนักมารหกโลกีย์ล้วนรับรู้โดยทั่วกัน!
“นายเหนือหัว โปรดให้ผู้น้อยไปเบิกทางให้ท่านด้วยเถิด!”
อูเหมิงเข้ามาหาซูอี้พลางกล่าวอย่างนอบน้อม
บรรพชนผู้ก่อตั้งศาลมารหมื่นแดนดินผู้นี้แสนนอบน้อมถ่อมตนตรงหน้าซูอี้ แต่เห็นได้ชัดว่าเขาหามีสำนักมารหกโลกีย์ในสายตาไม่
ซูอี้ส่ายหน้าน้อย ๆ และกล่าวอย่างเฉยชา “อย่ารีบร้อนไป รอให้ข้าสะบั้นมารในใจทิ้งก่อน”
“ขอรับ!”
อูเหมิงพยักหน้า
ไม่นานนัก เสวี่ยหลิวและกลุ่มยอดฝีมือก็ปรากฏในแดนพำนัก เป็นกลุ่มใหญ่ร้อยกว่าคน
นอกจากยอดฝีมือขอบเขตจุติมงคลหกสิบสามคนจากเจ็ดสำนักมาร ยังมีกลุ่มตัวตนทรงอำนาจของสำนักมารหกโลกีย์รวมอยู่ด้วย
เพียงการรวมตัวเช่นนี้ก็ช่างน่าสะพรึงกลัวจนทำให้ขุมกำลังฝึกตนใด ๆ ในโลกหวาดกลัวสิ้นหวังได้!
ไกลออกไป เมื่อเหล่าผู้ทรงอำนาจเห็นซูอี้และอูเหมิงยืนอยู่นอกแดนพำนัก พวกเขาก็ผงะไป
“สองคน!?”
บางผู้อุทาน “พวกเขา… บ้าไปแล้วหรือ?”
คนทุกผู้ก็รู้สึกน่าขันเกินจริง
ใครเล่าจะกล้าคาดคิดว่าวันนี้ที่นี่ จะมีบุคคลเพียงสองที่กล้ามาหาเรื่องสำนักมารหกโลกีย์ถึงถิ่นฐาน?
และเมื่อเสวี่ยหลิวพบซูอี้ นัยน์ตาเย็นชาของนางก็ชะงัก ตระหนักแล้วว่าบางอย่างผิดปกติ
“ผู้อาวุโสสูงสุด เกิดการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในภูเขาจิตดาราหรือไม่?”
นางรีบถาม
ชายชราชุดแดงผู้หนึ่งข้างกายนางส่ายหน้า “ไม่มีขอรับ! ตาเฒ่าไร้ค่าผู้นี้แน่ใจว่าทางฝั่งภูเขาจิตดาราไร้การเปลี่ยนแปลง หาไม่ ตาเฒ่าไร้ค่าผู้นี้ต้องได้รู้ก่อนเป็นแน่แท้”
เสวี่ยหลิวตัดสินใจทันที “แพร่ข่าวบอกพวกเขา กลับสำนักทันที!”
“ขอรับ!”
ชายชราชุดแดงรับคำสั่ง
จากนั้น เสวี่ยหลิวก็ก้าวขึ้นมายืนเหนือเวหา “ซูอี้ ยามเจ้ามายังศักราชแห่งมาร เจ้าไม่ได้ใช้พิกัดมิติที่ข้าให้ไว้หรือ?”
ซูอี้!!
ที่แท้ก็เป็นเขา!
เมื่อนามถูกขาน ทุกผู้ก็เข้าใจ
ทว่าคนทุกผู้ก็ยิ่งยากจะกระจ่างชัดไปใหญ่ ทว่าไฉนคนผู้นี้จึงกล้าเผยตัววอนตายถึงที่?
มิรู้หรือว่าสำนักมารหกโลกีย์วางตาข่ายฟ้าดินดักไว้แล้ว?
นอกแดนพำนัก
ซูอี้มองเสวี่ยหลิวผู้ยืนกลางอากาศและกล่าวอย่างเฉยชา “หากมีสมองแม้สักนิด เกรงว่าคงมิโง่พอโยนตนเองลงร่างแหหรอก”
เสวี่ยหลิวอดยิ้มมิได้ รอยยิ้มของนาง ณ ขณะนี้เป็นดั่งบุปผาแรกแย้มหลังพิรุณโปรย งดงามกระจ่างใสสะกดใจให้เต้นระรัว
นางกล่าวยิ้ม ๆ “แต่เจ้าในยามนี้ต่างอันใดกับการโยนตัวลงร่างแหเล่า? ไม่ใช่สิ่งที่คนมีสมองเขาทำกันเลยนะ”
ทันทีที่วาจาถูกกล่าว เหล่าผู้ฟังก็ระเบิดหัวเราะ
ไกลออกไป อูเหมิงขมวดคิ้ว หันมองซูอี้โดยเผลอไผล
ซูอี้ยืนนิ่ง สีหน้าเยือกเย็นเช่นกาลก่อน นัยน์ตาเฉยชาดุจบ่อน้ำโบราณดูราวกำลังมองคนตายกลุ่มหนึ่ง
………………..