บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1464: เทวรูป
ตอนที่ 1464: เทวรูป
ซูอี้ย่อมรู้ว่าช่างเสื้อมิได้โง่งม
ทว่าหลังจากหลอมรวมกรรมวิถีกับชาติที่หก ประสบการณ์และมุมมองของเขาก็แปรเปลี่ยนไปจากกาลก่อนแล้ว!
เพราะถึงอย่างไร เมื่อตัดสินจากความสูงส่งของวิถีเซียนขั้นสูงสุดของหวังเย่ อย่าว่าแต่ช่างเสื้อตรงหน้าเขาเลย กระทั่งตัวตนยิ่งใหญ่ในวิถีเซียนยังไร้ค่าให้กล่าวถึง
ดังนั้น เมื่อเผชิญคำถามของช่างเสื้อ ซูอี้จึงคร้านจะอธิบาย
เขากล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ในเมื่อเจ้ากระทำเรื่องให้ทวยเทพ ไฉนจึงมิเคยเผยตัวตนของข้ามาตลอดเลยเล่า?”
นั่นก็เพราะช่างเสื้อรู้อยู่แล้วว่าเสิ่นมู่ยังไม่ตาย และเขาก็คาดเดาไว้แล้วว่าทัศนาจารย์คือร่างเวียนวัฏของเสิ่นมู่
ทว่าหลังจากกาลเวลาผ่านมานมนาน เหล่าเทพเบื้องหลังช่างเสื้อก็ยังมิโผล่มา ซึ่งผิดปกติโดยมิต้องสงสัย
ช่างเสื้อกล่าว “ทวยเทพเองก็ต้องทำตามบัญญัติกฎเกณฑ์ ไม่อาจเข้าแทรกแซงเรื่องในโลกหล้า พวกท่านจึงต้องการทูตสวรรค์เช่นข้ากระทำการต่าง ๆ แทน และที่สำคัญที่สุดคือ…”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ดวงตาของช่างเสื้อก็ซับซ้อนขึ้น “แล้วก็มิใช่เทพทุกท่านจะคิดทำลายวัฏสงสาร”
ซูอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย “เทพเบื้องหลังเจ้าต้องการครอบครองวัฏสงสารหรือ?”
ช่างเสื้อกล่าวโดยมิปฏิเสธ “ทัศนาจารย์ หากเจ้ายอมหยุดเรื่องลงที่นี่ ข้าจะแนะนำเจ้าต่อท่านเทพ ให้เจ้าเป็นทูตสวรรค์เช่นกันได้นะ!”
หลังจากเว้นช่วงเล็กน้อย เขาก็กวาดสายตามองไปรอบ ๆ พลางกล่าว “แต่หากเจ้ายังดึงดันจะฆ่าข้า งั้น… พวกเจ้าและข้าก็จะต้องตายด้วยกันวันนี้แหละ!”
กล่าวจบ มือขวาของช่างเสื้อก็แบออก ยันต์สีดำซึ่งถูกผนึกไว้ปรากฏขึ้น
“ในยันต์นี้มีอำนาจบัญญัติแห่งเทพอยู่!”
สีหน้าของช่างเสื้อปรากฏความคลั่งไคล้ กล่าวชัดทีละคำ “ข้ารับประกันได้ว่าพวกเจ้าหยุดการโจมตีนี้มิได้แน่นอน”
พวกอูเหมิงหันมามองเป็นตาเดียว
เมื่อสายตาของพวกเขาหยุดลงบนยันต์สีดำแผ่นนั้น เหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าผู้ก้าวสู่วิถีเซียนแสนนานล้วนสัมผัสได้ถึงปราณอันตรายถึงชีวิต สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
“นายเหนือหัว คนผู้นี้ดูไม่เหมือนว่ากำลังโกหกนะขอรับ”
อูเหมิงกระซิบ
ช่างเสื้ออดยิ้มมิได้ “ข้าไม่เคยเอาชีวิตตัวมาล้อเล่น”
เขากล่าวกับซูอี้ “แน่นอน เจ้าจะเลือกหยุดเสียยามนี้ก็ได้ ปล่อยมันไปเท่านี้ น้ำบ่อมิยุ่งน้ำคลองเถอะ”
ตู้ม!
ดาบแห่งโลกาปรากฏขึ้นในมือซูอี้
สีหน้าของช่างเสื้อพลันแปรเปลี่ยน คิ้วขมวดเข้าหากัน “ทัศนาจารย์ เจ้าจะทำอันใด?”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยชา “อย่าโทษข้าที่มิให้โอกาสเจ้านะ ยามนี้เจ้าใช้ยันต์นั่นได้แล้ว”
ช่างเสื้อกล่าวด้วยสีหน้าอัปลักษณ์ “เจ้าเต็มใจจะเผาหยกไปกับศิลาหรือ?”
ซูอี้กล่าวทั้งรอยยิ้ม “เปล่า ข้าจะให้เจ้าเห็นว่าอำนาจแห่งเทพที่ว่านั่นหาเพียบพร้อมสมบูรณ์แบบไม่”
กล่าวจบ เขาก็ฟาดฟันดาบเข้าใส่โดยไร้ลังเล
ช่างเสื้อเดือดดาลเคี้ยวฟันแทบแหลก คำรามอย่างสิ้นกังวลในทุกสิ่ง “งั้นก็ตายกันให้หมด!”
ทันทีที่วาจาถูกกล่าว ยันต์สีดำในมือของเขาก็ถูกแผดเผา
ตู้ม!
ฟ้าดินพลันหม่นแสงดุจตกสู่รัตติกาลนิรันดร์
คลื่นอำนาจกฎเกณฑ์ร้ายกาจเกินคาดฝันปรากฏขึ้นจากยันต์สีดำที่แผดแสงจ้านั้น
ดำสนิทเยี่ยงหมึก ก่อตัวเป็นเงาร่างอันแทบจางหายเป็นมายา
นางเป็นสตรีผู้หนึ่ง บนศีรษะสวมมงกุฎหยก สวมอาภรณ์ลึกล้ำเยี่ยงรัตติกาล ในมือขวาถือขวดสมบัติสีดำ
เพลิงศักดิ์สิทธิ์สีดำแห่งกฎเกณฑ์คดเคี้ยวเป็นตะวันสีทมิฬอยู่เบื้องหลังนาง!
รูปลักษณ์ของนางเลือนรางยิ่ง ดูบิดเบี้ยวไม่แน่ชัด ทว่าปราณจากร่างของนางร้ายกาจจนเกินหยั่งคาด
แดนดินทั่วทศทิศระเบิดแหลก ฟ้าดินดูจะตกสู่อนันตรัตติกาล
“นี่…”
อูเหมิง ไป๋ท่า และคณะล้วนตัวสั่นด้วยความขนลุก
ในฐานะตัวตนผู้อยู่ในวิถีเซียน เมื่อต้องเผชิญกับเงาร่างของสตรีผู้นี้ พวกเขากลับมิอาจซุกซ่อนความไร้กำลัง เล็กจ้อยเยี่ยงมดตัวหนึ่งได้!
เปรี้ยง!
ปราณดาบที่ซูอี้ฟันออกสลายไปกลางทาง
ขณะนี้ จิตวิญญาณของช่างเสื้อดูราวกับถูกสูบแห้ง!
ร่างของเขาดูชราในบัดดล ผิวกร้านไร้ชีวิตชีวา รอยยับย่นปรากฏขึ้นทั่วไปหมด
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการใช้ยันต์สีดำชิ้นนั้นแลกมาด้วยมูลค่ามหาศาล!
ทว่าเขากลับเพิกเฉย คุกเข่าหมอบกราบกับพื้นและกล่าวด้วยศรัทธาอันแรงกล้าทันที “บ่าวขอกราบคารวะท่านเทพรัตติกาลดับวจี และวิงวอนให้ท่านเทพโปรดสังหารทุกคนที่นี่ด้วยเถิด!”
ตู้ม!
ยังไม่ทันสิ้นเสียงของช่างเสื้อ ซูอี้ก็ลงมือแล้ว
เขาทะยานสู่ท้องนภา ดาบแห่งโลกาในมือเผยแดนมืดมิดแห่งวัฏสงสารอันเกินเข้าใจ ปราณดาบเก้าคุมขังประโคมคำราม
อูเหมิง ไป๋ท่า และคณะต่างมองอย่างเทิดทูน…
ช่างเสื้อเองก็ตกตะลึงจนตาค้าง
ไฉนคนผู้นี้จึงโอหังเพียงนี้!?
นั่นคืออำนาจบัญญัติแห่งเทพ เพียงพอเขย่าสวรรค์ดับความหวังของเหล่าเซียน!
“วัฏสงสาร?”
เสียงทุ้มต่ำอันเย็นเยียบดังออกมาจากปากสตรีผู้เลือนราง
ตู้ม!
ตะวันทมิฬที่อยู่เบื้องหลังนางอันเกิดจากเพลิงทิพย์อำนาจกฎเกณฑ์ทะยานสู่เวหา สกัดการโจมตีอย่างดุเดือดของซูอี้ไว้
ยามนั้นบังเกิดคลื่นอำนาจร้ายกาจพัดกระหน่ำ ทั่วฟ้าดินดูราวถูกบดขยี้ให้ราบ
อูเหมิง ไป๋ท่า และคณะล้วนตื่นตะลึง หัวใจจุกอยู่ในลำคอ
ทว่ายามนี้ ดาบที่ฟาดฟันลงมาของซูอี้ได้ผ่าแยกดวงตะวันทมิฬทันที
ท่ามกลางคลื่นกฎเกณฑ์เพลิงศักดิ์สิทธิ์คลุ้มคลั่ง ร่างของซูอี้ยังคงทะยานผ่านนภาโดยไร้อุปสรรค
ฉับ!
คมดาบตวัดผ่าน ร่างสตรีผู้เลือนรางพลันแยกเป็นสี่ส่วน และกลายเป็นพิรุณแสงพร่างพรม
ฟ้าดินถล่มสิ้น ทั่วทิศสะเทือนสั่น
ปราณแห่งเทพยังคงคุกรุ่น ทว่ากลับไร้วจีใดราวป่าช้า
ทุกผู้ต่างตะลึงงัน
หนึ่งดาบแยกตะวันสังหารเทพ!
ภาพการทำลายล้างอันชวนสะเทือนใจนั้นทำให้ทุกผู้นิ่งค้าง
อำนาจบัญญัติที่เทพทิ้งไว้ถูกทำลายไปเช่นนี้?
“ไม่ เป็นไปมิได้… ท่านเทพ… ไฉนจึงถูกผู้ฝึกตนมนุษย์เอาชนะลงได้?”
ช่างเสื้อร้องเสียงหลง
เขาหมอบคลานอยู่บนพื้น กายาเหี่ยวย่น เนื่องจากต้องจ่ายค่าตอบแทนหนักหนาในการปลดปล่อยอำนาจศักดิ์สิทธิ์จากยันต์สีดำแผ่นนั้น
แต่ไม่คาดเลยว่าอำนาจของเทพจะปราชัยด้วยหนึ่งการโจมตี!!
ทั้งหมดนี้ทำให้ช่างเสื้อสิ้นสติโดยสมบูรณ์
ตู้ม!
ซูอี้เก็บดาบแห่งโลกา ก้มมองไปยังช่างเสื้อ และกล่าวว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าไฉนเหล่าเทพจึงไม่ยอมให้มีวัฏสงสารอยู่? เพราะพวกเขากลัวไงเล่า!”
“กลัวหรือ?”
ดวงตาของช่างเสื้อเลื่อนลอย “เทพ… ก็กลัวได้เหมือนกันหรือ?”
ซูอี้กล่าว “เทพที่ว่าพวกนั้นอาจดูสูงส่งเหนือสวรรค์ แต่พวกเขาก็แค่ผู้แสวงหาวิถีอันสูงกว่า ไม่มีทางเป็นนิรันดร์และกลัวไม่เป็น หาไม่ ไฉนพวกเขาต้องทำพันธสัญญาแห่งทวยเทพเพื่อหยุดยั้งวัฏสงสารด้วย?”
วาจาเหล่านั้นสะท้อนทั่วฟ้าดิน
อูเหมิง ไป๋ท่า และคณะมองร่างสูงใหญ่ของซูอี้อย่างตกตะลึง ดวงตาค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นคลั่งไคล้ สีหน้าเปี่ยมด้วยความเลื่อมใส
นี่คือนายเหนือหัว!
บางทีการฝึกฝนของเขาอาจทรงพลังน้อยกว่ายามก่อน
ทว่าเขากลับกล้าดูหมิ่นทวยเทพเหนือสวรรค์ ถล่มอำนาจบัญญัติเทพสลายไป ณ ยามนี้!
“ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าไม่นานมานี้ ข้าได้เห็นอำนาจเทพมากับตา และย่อมรู้ว่าพวกเขาเป็นตัวตนเช่นไร”
ซูอี้กระซิบ
ไม่นานมานี้ ณ ธารสายยาวแห่งกาลเวลา เขาเคยรบกับทูตสวรรค์ ‘หมีเจิน’ มาก่อน แต่เรื่องน่าขันก็คือหมีเจินผู้นั้นหากล้าต่อสู้กับเขาตรง ๆ ไม่ และใช้เพียงอำนาจของพุทธเจ้าเผาตะเกียงเข้าโจมตี!
เหตุผลนั้นก็เพราะวัฏสงสาร!
เทียบกันแล้ว อำนาจบัญญัติที่ช่างเสื้อเรียก ‘ท่านเทพรัตติกาลดับวจี’ นั้นปวกเปียกกว่าอำนาจบัญญัติของพุทธเจ้าเผาตะเกียงก่อนหน้านี้มาก
และยังเข้าใจได้ง่ายด้วย
ช่างเสื้ออาจจะตั้งตนเป็นทูตสวรรค์ แต่อย่างมากก็แค่ข้ารับใช้เทพเดินดินเท่านั้น
อำนาจของท่านเทพรัตติกาลดับวจีที่เขาใช้ได้นั้นย่อมมีจำกัด!
“เจ้า… ได้พบกับเทพมาจริง ๆ…”
ช่างเสื้อกล่าวเสียงแหบ “น่าเสียดาย แม้ข้าจะรับใช้ท่านเทพรัตติกาลดับวจีมาชั่วกาล แต่ก็ไม่เคยได้พานพบร่างจริงของนางเลย…”
น้ำเสียงนั้นสิ้นปัญญา ดูโศกเศร้าและขมขื่น
จากนั้นช่างเสื้อก็เงยหน้าขึ้นมองซูอี้อย่างยากเย็น รอยยิ้มที่เหมือนคนบ้าปรากฏขึ้นบนใบหน้า ก่อนจะสูดหายใจเฮือกและกล่าวว่า
“ก่อนจะตาย จู่ ๆ ข้าก็คิดว่าหากสักวัน เจ้าสามารถฆ่าเหล่าทวยเทพสูงส่งเหล่านั้นได้ มันต้อง… มันต้องน่าสนุกมากแน่ ๆ!”
ก่อนหน้านี้ ช่างเสื้อแลกชีวิตของตนเพื่อเรียกใช้ยันต์สีดำ และยามนี้เมื่อพลังชีวิตมอดดับลง เขาก็ทำได้เพียงต้องสิ้นสูญไป
“น่าสนุกจริง ๆ นั่นแหละ แต่น่าเสียดายที่เจ้าไม่ทันได้เห็น”
ซูอี้นำสุราออกมาเทลงพื้นจนหมดไห “ไปกันเถอะ”
เขาต่อสู้กับช่างเสื้อมานาน และมิเคยเห็นเฒ่าชั่วร้ายผู้กล้าเพียงซ่อนตัวหลังฉากนี้อยู่ในสายตาเลย
แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็มิอาจปฏิเสธได้ว่าทัศนาจารย์ยามสมบูรณ์พร้อมมิอาจสังหารช่างเสื้อลงได้
นี่คือศัตรูผู้มากอุบายจนน่ารังเกียจ และยังเป็นผู้ควรค่าแก่การประชัน
เมื่อช่างเสื้อก็ตายลงในที่สุด ซูอี้ก็อดมีความรู้สึกหลากหลายในใจไม่ได้
หากมีศัตรูในโลกหล้า ยามนั้นจึงมิโดดเดี่ยว
ยามหนึ่งศัตรูร้ายสิ้นใจ มีหรือจะมิชวนทอดถอนใจ
แน่นอนว่ามันก็แค่ความรู้สึก
ต่อให้เขาได้หวนกลับไปอีกหน เขาก็ยังฆ่าช่างเสื้อโดยไม่ลังเลอยู่ดี
“นายเหนือหัว โปรดดูนี่สิขอรับ”
อูเหมิงหยิบรูปสลักสีดำที่มีขนาดราวฝ่ามือออกมาจากจุดที่ช่างเสื้อสิ้นใจ
มันเป็นเทวรูปของสตรีผู้หนึ่งเหยียบย่างอยู่บนธารยาว สวมอาภรณ์ยาวเยี่ยงรัตติกาลนิรันดร์ ถือขวดหยกในมือข้างหนึ่ง และมีรัศมีเทพทมิฬกลมเกลี้ยงปรากฏขึ้นเบื้องหลังเยี่ยงตะวันทมิฬ ทว่าใบหน้าของเทวรูปกลับว่างเปล่า
ทว่าซูอี้มองปราดเดียวก็เห็นว่ารูปลักษณ์ของเทวรูปองค์นี้เหมือนภาพพร่ามัวของสตรีผู้ปรากฏเมื่อครู่อย่างไร้ผิดเพี้ยน
นั่นก็คือ ‘ท่านเทพรัตติกาลดับวจี’ ที่ช่างเสื้อว่า!
อูเหมิงเอื้อมมือขึ้นเหนือเทวรูป แล้วเขาพลันส่งเสียงอู้อี้ในลำคอ ทั่วทั้งร่างนิ่งค้าง สีหน้านิ่งงัน
เทวรูปในมือของเขาแผ่รัศมีดำสนิทเยี่ยงรัตติกาล ประหลาดลึกลับ
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย และใช้มือฉวยเทวรูปมา
อูเหมิงพลันฟื้นสติดุจตื่นจากฝัน ใบหน้าปรากฏเค้าความหวาดผวา
เมื่อเขาเห็นซูอี้รับเทวรูปไป เขาก็ตะโกนทันที “นายเหนือหัวโปรดระวังด้วย!”
 
                                         
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
         
		 
		 
		 
		