บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1468: บุปผากุมชะตา
ตอนที่ 1468: บุปผากุมชะตา
ฉึก!
ดาบไม้สีดำแทงทะลุคอของชายชุดน้ำเงิน ส่งสายโลหิตไหลย้อย
เพียงชั่วพริบตา หนึ่งราชันเซียนขอบเขตศักดิ์สิทธิ์ก็ถูกหนึ่งดาบทะลวงคอ!
เหตุนี้กะทันหันเกินไป ทุกผู้ที่อยู่ระยะไกลล้วนตะลึงงัน
ผู้ลงมือคือชายในชุดลินินซึ่งติดตามชายชุดน้ำเงินมา
คนผู้นี้นิ่งเงียบมาตั้งแต่กาลก่อน ปราณของเขานิ่งสงบเยี่ยงขุนเขา สะพายดาบไม้สีดำไว้เบื้องหลัง แม้จะไม่กล่าววาจาใด แต่ก็ให้ความรู้สึกกดดันทรงพลังยิ่งกว่าชายชุดน้ำเงินหลายขุม
ทว่ายามนี้ ชายในชุดผ้าลินินผู้อยู่ข้างหลังกลับใช้ดาบไม้ทะลวงคอชายชุดน้ำเงิน!
“เจ้า… ไฉนจึงทรยศใต้เท้าเซวี่ยเซียว?”
น้ำเสียงของชายชุดน้ำเงินแหบพร่าติดขัด สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ
เขาไม่กล้าหันหัว เพราะดาบไม้ยังคงเสียบคาลำคอ ขอเพียงขยับศีรษะ เขาก็รังแต่จะตายเร็วขึ้น
“ข้าไม่เคยสวามิภักดิ์ต่อเซวี่ยเซียวโดยแท้จริง”
ชายในอาภรณ์ผ้าลินินกล่าวอย่างเฉยชา พลางออกแรงเคลื่อนดาบไม้สีดำ
เปรี้ยง!!
ร่างของชายชุดน้ำเงินแหลกเป็นเสี่ยง ถูกสังหารลงอย่างอนาถในทันที
โคมทองของเขาถูกชายในอาภรณ์ผ้าลินินรับไว้
หนึ่งราชันเซียนขอบเขตศักดิ์สิทธิ์ตายลงที่นี่!
และชายในชุดผ้าลินินก็เก็บดาบไม้สีดำไป เขาพลันคุกเข่าลง ใบหน้าเย็นชาเฉียบขาดพลันปรากฏความจริงจังเกรงขาม ก้มหัวลงโขกหัวให้ซูอี้จากไกล ๆ
“ทายาทตระกูลมู่แห่งชิงซาง มู่จิ้งขอกราบคารวะใต้เท้าจอมราชัน!”
ร่างของเขาสูงใหญ่ มีอำนาจร้ายกาจ สามารถสังหารราชันเซียนขอบเขตศักดิ์สิทธิ์ลงได้ในดาบเดียว ทว่ายามนี้กลับก้มกราบศิโรราบเยี่ยงผู้ศรัทธาอันแรงกล้า!
ภาพนี้ทำให้ทุกผู้ตะลึงไปทันที
ยิ่งกว่านั้น เขายังเรียกซูอี้เป็นใต้เท้าจอมราชัน!
“เกียรติภูมิของนายเหนือหัว แม้กาลเวลาจะผ่านมาแสนนานก็ยังเรืองรองทรงพลัง!”
หัวใจของอูเหมิงและคณะปั่นป่วนเกินสงบลง
ยามนี้ ซูอี้ผู้ถือ ‘ตรวนตรึงวิญญาณ’ ในมือหันมาจ้องเขา
ขณะออกคำสั่งอย่างราบเรียบ “ปล่อยสือจัวออกมาก่อน”
“ขอรับ!”
มู่จิงยกโคมทองขึ้น ชี้ปลายนิ้วเล็กน้อย
สือจัวผู้ถูกผนึกในโคมทองถูกปล่อยตัวออกทันที และอูเหมิงก็ก้าวเข้าไปรับตัวอีกฝ่ายคืนทันที
“ลุกขึ้นมา”
ซูอี้กล่าว และเพียงหนึ่งวาดนิ้ว ตรวนตรึงวิญญาณก็แหลกสลายทีละน้อย แปรเปลี่ยนเป็นเศษซากสลายไปในนภา
หากชายชุดน้ำเงินได้เห็นภาพนี้ เขาคงตะลึงเป็นแน่
เพราะจอมจักรพรรดิเซวี่ยเซียวเป็นผู้สร้างตรวนตรึงวิญญาณนั้นขึ้นเอง จึงสามารถผนึกจิตวิญญาณของราชันเซียนได้โดยง่าย เป็นสิ่งลึกลับร้ายกาจสูงสุด
ทว่ายามนี้ซูอี้กลับทำลายมันลงได้อย่างง่ายดาย
ซึ่งพิสูจน์ได้ว่า แม้ซูอี้จะถูกตรวนตรึงวิญญาณพันธนาการ เขาก็ยังทำลายสมบัติชิ้นนี้ได้โดยง่าย!
เมื่อได้รับอนุญาตจากซูอี้ มู่จิงผู้ก้มลงกราบก็ค่อย ๆ ลุกขึ้น
ทว่าเขาก็ยังค้อมหัวลงต่ำ ดูนอบน้อมยิ่ง
ท่าทางนั้นทำให้พวกอูเหมิงทอดถอนใจ
นี่คือเกียรติภูมิของนายเหนือหัว!
เพียงพอให้ราชันเซียนสงวนท่าที ก้มหัวนอบน้อมเยี่ยงพบกับเทพ!
“ตามข้ามา ข้ามีบางอย่างอยากถาม”
ซูอี้กล่าวแล้วหันหลังเดินเข้าตำหนักไป
มู่จิงตามติดไปเบื้องหลัง
……
สองเค่อต่อมา
ซูอี้ก็พอเข้าใจเรื่องราวคร่าว ๆ จากมู่จิงมาบ้าง
ประการแรก เซวี่ยเซียวจื่อนำกลุ่มยอดฝีมือวิถีเซียนมายังศักราชแห่งมารเพื่อตามหาร่างเวียนวัฏของหวังเย่จริง ๆ!
เพราะเหตุนี้ เซวี่ยเซียวจื่อและยอดฝีมือใต้บัญชาจึงค้นหาทั่วศักราชแห่งมาร ทว่าท้ายที่สุดก็มิพบสิ่งใด
ทว่าเซวี่ยเซียวจื่อเชื่ออย่างหนักแน่นว่าหากหวังเย่กลับไปเกิดใหม่ เขาจะต้องปรากฏกายขึ้นในศักราชแห่งมารแน่นอน
ดังนั้น ก่อนที่เซวี่ยเซียวจื่อจะออกจากศักราชแห่งมาร จึงทิ้งลูกน้องไว้กลุ่มหนึ่ง ให้ออกตามหาร่างเวียนวัฏของหวังเย่ตลอดเวลาที่ผ่านมา
ประการที่สอง กาลเวลาแปรผัน เรื่องต่าง ๆ แปรเปลี่ยนมากมาย
โดยเฉพาะการปรากฏขึ้นของหายนะกวาดทั่วโลกเซียน กลุ่มลูกน้องผู้เหลืออยู่ในศักราชแห่งมารก็ขาดการติดต่อกับเซวี่ยเซียวจือโดยสมบูรณ์
กาลต่อมา กลุ่มสมุนของเซวี่ยเซียวจื่อคนแล้วคนเล่าก็ต่างลาจาก พยายามหวนคืนสู่โลกเซียนเพื่อติดต่อกับเซวี่ยเซียวจื่ออีกครั้ง
ทว่ายอดฝีมือเหล่านั้น หากไม่ถูกสังหารระหว่างข้ามธารยาวแห่งมิติเวลา ก็หายสาบสูญไปทันทีหลังข้าม ‘วิถีสวรรค์ห้าม’
จวบยามนี้ เหลือเพียงสองบุคคลคือมู่จิงกับเสอหลิ่วซาน
เสอหลิ่วซานคือชายชุดน้ำเงินที่มู่จิงฆ่าไปเมื่อครู่
ประการที่สาม เมื่อนานมาแล้ว เสอหลิ่วซานได้ข่าวมาว่าเสิ่นมู่ คู่วิถีของเจ้าสำนักมารหกโลกีย์เสวี่ยหลิวนั้นคาดว่าน่าจะได้เวียนวัฏเกิดใหม่!
เพราะข่าวนี้เอง เสอหลิ่วซานจึงปักใจเชื่อแน่วแน่นว่าเสิ่นมู่ผู้ถูกเสวี่ยหลิวทำลายจิตรู้คิดจนตายไปคือร่างเวียนวัฏของหวังเย่!
โชคร้ายที่ยามเสอหลิ่วซานรู้ข่าว เรื่องราวก็สายเกินไป
ทว่ายามนั้นเองที่เสอหลิ่วซานรู้จักกับช่างเสื้อ จึงได้รู้จากอีกฝ่ายว่าร่างเวียนวัฏของเสิ่นมู่น่าจะปรากฏตัวขึ้นในจักรวาลพร่างดาว!
ทว่าทั้งเสอหลิ่วซานและมู่จิงล้วนไม่กล้าข้ามธารยาวแห่งมิติเวลาไป เพราะสำหรับตัวตนวิถีเซียนเช่นพวกเขา การกระทำนี้มีแต่จะตายมากกว่ารอด!
ประการที่สี่ กาลก่อนแสนนาน เสอหลิ่วซานและมู่จิงหาคว้าน้ำเหลวไม่
พวกเขาได้พบกับสือจัวผู้เคยรับใช้หวังเย่ และใช้อีกฝ่ายเป็นตัวประกัน!
ยามนี้ที่เสอหลิ่วซานสามารถพาตนเองมาหาถึงที่ได้นั้นก็เพราะเมื่อวานซืน อำนาจของ ‘ยันต์โองการหมื่นมาร’ ถูกตรวจพบแล้ว!
และเมื่อวานนี้ ข่าวที่ซูอี้พาอูเหมิงกับคณะเหยียบย่ำสำนักมารหกโลกีย์ก็แพร่ออกไปเยี่ยงพายุคลั่งทั่วศักราชแห่งมาร เสอหลิ่วซานย่อมได้รับรู้ด้วยเช่นกัน
ควรค่ากล่าวถึงว่าเมื่อวานนี้ เสอหลิ่วซานได้รับข้อความจากช่างเสื้อว่า ซูอี้ผู้เป็นร่างเวียนวัฏของเสิ่นมู่ได้มาถึงศักราชแห่งมารแล้ว และกล่าวอีกว่าตนหวังร่วมมือกับเสอหลิ่วซานเพื่อกำจัดซูอี้ด้วยกัน!
หลังทราบข่าว เสอหลิ่วซานก็ลงมือ
ทว่าเมื่อเขามาถึงก็สายไปแล้วก้าวหนึ่ง สำนักมารหกโลกีย์สิ้นซาก ไม่อาจติดต่อช่างเสื้อได้อีกต่อไป
หลังเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้แล้ว ซูอี้ก็พึมพำ “เซวี่ยเซียวจื่อรู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่ได้ตายโดยสมบูรณ์ แต่เลือกเวียนวัฏแทน กระทั่ง… มาพบกับข้าที่ศักราชแห่งมาร?”
มู่จิงที่อยู่ด้านข้างก้มหน้าลง ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงลุ่มลึก “เรียนใต้เท้าจอมราชัน เซวี่ยเซียวจื่อเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ กระทั่งลูกน้องของเขาก็ไม่รู้เรื่องขอรับ”
ซูอี้พยักหน้าน้อย ๆ “หรือก็คือ นับแต่เกิดหายนะในโลกเซียน เซวี่ยเซียวจื่อก็มิปรากฏกายอีกเลยหรือ?”
“ขอรับ!”
“แล้วเจ้าเล่า ไฉนจึงรับใช้เซวี่ยเซียวจื่อ?”
ซูอี้เบนสายตามองมู่จิง
มู่จิงมาจากตระกูลมู่แห่งชิงซาง เป็นหนึ่งในเผ่าภูตปฐมสวรรค์ในโลกเซียน ครั้งหนึ่งบรรพชนของพวกเขาเคยพิทักษ์สมรภูมิอนธการในโลกเซียน สร้างผลงานมากมาย
ในความทรงจำของหวังเย่ บรรพชนผู้หนึ่งจากตระกูลมู่แห่งชิงซางนามว่า ‘มู่เฉาเซิ่ง’ เคยติดตามรับใช้หวังเย่ ต่อสู้เคียงข้างกันในสมรภูมิอนธการ ณ โลกเซียน
และมู่จิงผู้นี้ก็คือทายาทของมู่เฉาเซิ่ง!
มู่จิงกล่าวอย่างเคร่งขรึม “เรียนใต้เท้าจอมราชัน เดิมทีผู้น้อยได้รับคำสั่งจาก ‘จอมราชันซิงจ้าว’ ให้แฝงตัวรับใช้เซวี่ยเซียวจื่อขอรับ”
ซิงจ้าว!
ในใจของซูอี้พลันปรากฏสตรีผู้มีเรือนผมแดงเยี่ยงโลหิต ยืนท่ามกลางจักรวาลพร่างดาว หมู่ดารารายล้อมนับหมื่น งดงามตระการ อหังการเยี่ยงเทพ!
จอมราชันซิงจ้าว!
หนึ่งในสามราชันปีศาจแห่งทะเลเป่ยหมิง ณ โลกเซียน!
นางยังเคยเป็นสหายรักร่วมมหาวิถีของหวังเย่มาก่อน ทั้งสองเคยวิพากษ์วิถี ณ ทะเลเป่ยหมิงแปดร้อยปี สะบั้นศีรษะอสรพิษปาเสออันยิ่งใหญ่ดุร้าย สังหารซากศพเซียนโบราณอันซุกซ่อนอยู่ก้นทะเลเพื่อข้ามขอบเขต ร่วมเป็นร่วมตายบนวิถีร่วมกัน
กล่าวสั้น ๆ ก็คือ ในหัวใจหวังเย่ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เขาถือได้ว่าเป็นสหายรัก
จอมราชันซิงจ้าวคือหนึ่งในนั้น
ซูอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “เล่าให้ข้าฟังที”
มู่จิงมิกล้าปิดบัง เขาเล่าเรื่องทั้งหมดออกมาทันที
ปรากฏว่าหลังจากหวังเย่ถูกกลุ่มศัตรูร้ายลอบโจมตี โลกเซียนก็ตะลึงถ้วนทั่ว ทุกผู้เชื่อว่า ‘จอมราชันอนันตรัตติกาล’ ผู้ปกครองแห่งยุคสมัยได้ตกตายลง
ทว่าจอมราชันซิงจ้าวหาคิดเช่นนั้นไม่
นางวางแผนหลายปี ลอบติดต่อขุมกำลังวิถีเซียนมากมาย และส่งกลุ่มยอดฝีมือให้เข้าแทรกซึมฝ่ายต่าง ๆ ของเหล่าศัตรูร้ายทั้งหลาย
ในหมู่พวกเขา มู่จิงจากตระกูลมู่แห่งชิงซางถูกส่งเข้าไปยังฝ่ายเซวี่ยเซียวจื่อ
หลังจากอดทนกบดานมาหลายปี ในที่สุดมู่จิงก็ได้ติดตามเซวี่ยเซียวจื่อสู่ศักราชแห่งมารและพบกับร่างเวียนวัฏของหวังเย่
เมื่อรู้เช่นนี้ ซูอี้ก็อดรำพึงในใจมิได้
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า หลังจากหวังเย่เวียนวัฏกลับมา สหายรักเช่นจอมราชันซิงจ้าวหาอยู่นิ่งเฉยไม่!
“เซวี่ยเซียวจื่อนั้นชาญฉลาดและเจ้าแผนการ ถือครองสารพัดเคล็ดวิชาทะลวงใจคน เจ้าแฝงตัวอยู่ข้างกายเขา มิถูกสงสัยบ้างเลยหรือ?”
ซูอี้ถาม
บุคคลผู้สามารถเป็นศัตรูร้ายของหวังเย่ได้นั้นล้วนเป็นยักษ์ใหญ่ในจุดสูงสุดวิถีเซียนดุจนายเหนือแห่งสวรรค์ทั้งสิ้น เพียงหนึ่งกระทืบเท้าก็สั่นคลอนไปทั่วโลกเซียนได้
เซวี่ยเซียวจื่อเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
ดวงตาของมู่จิงเผยประกายหวาดหวั่นเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “เรียนใต้เท้าจอมราชันตามตรง ยามผู้น้อยรับใช้เซวี่ยเซียวจื่อ เขาก็รู้ตัวตนและจุดประสงค์ของผู้น้อยแล้วขอรับ”
“ทว่าเซวี่ยเซียวจื่อหาฆ่าข้าน้อยไม่ กลับปล่อยข้าใช้งานเป็นเบี้ย กล่าวว่าข้าจะมีประโยชน์ในภายหน้า”
ได้ยินเช่นนี้ ซูอี้ก็พยักหน้ากล่าว “มันเป็นครรลองของไอ้แก่นี่จริง สำหรับเขา แทนที่จะฆ่าเจ้า สู้ใช้เจ้าวางแผนเพื่อรีดมูลค่าของเจ้าเป็นการดีกว่า”
กล่าวจบ ซูอี้ก็กล่าวกับมู่จิงว่า “เขาฝังเมล็ด ‘บุปผากุมชะตา’ ในจิตวิญญาณของเจ้าหรือไม่?”
ร่างของมู่จิงสั่นสะท้านและกระซิบ “ถูกต้องขอรับ”
บุปผากุมชะตา
สิ่งประหลาดซึ่งเกิดขึ้นภายใน ‘นรกสวรรค์หมื่นสูญ’ แห่งโลกเซียนและเก็บเกี่ยวได้ยากยิ่ง
ขอเพียงเมล็ดพันธุ์บุปผานี้หยั่งรากในจิตวิญญาณผู้ฝึกตน ไม่ว่าการฝึกฝนของคนผู้นั้นจะสูงหรือต่ำเพียงใดก็มิอาจสลัดหลุด ทำได้เพียงต้องถวายชีวิตเป็นหุ่นเชิดในกำมือชั่วชีวิต!
เมื่อมีสิ่งประหลาดนี้อยู่ เซวี่ยเซียวจื่อก็ใช้มันสยบศัตรูร้ายมากมาย
ในหมู่พวกเขามีกระทั่งตัวตนระดับจอมราชันที่ถูกควบคุมกุมชะตา!
“ในเมื่อบุปผากุมชะตายังอยู่ในจิตวิญญาณของเจ้า มันก็พิสูจน์ได้ว่าหายนะในโลกเซียนเมื่อกาลก่อนไม่ได้สังหารไอ้แก่เซวี่ยเซียวจื่อนั่นลง หรือก็คือ เขา… ยังมีชีวิตอยู่”
ซูอี้กล่าวอย่างครุ่นคิด
บุปผากุมชะตานี้ถูกควบคุมโดยเซวี่ยเซียวจื่อ
หากเซวี่ยเซียวจื่อตกตาย บุปผานี้ก็จะโรยราเช่นกัน!
เมื่อได้ยินวาจาของซูอี้ มู่จิงก็รำพัน “ถูกต้องเช่นที่ใต้เท้าจอมราชันคาดการณ์ขอรับ ราวยี่สิบปีก่อน เสอหลิ่วซานได้รับยันต์สารชิ้นหนึ่ง!”
“สารฉบับนี้มาจากศิษย์เอกของเซวี่ยเซียวจื่อที่มีนามว่าฉีเนี่ย ระบุในจดหมายไว้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา เซวี่ยเซียวจื่อเก็บตัวฝึกฝนในสถานที่ลึกลับแห่งหนึ่งมาโดยตลอด”
“ยิ่งกว่านั้น สารฉบับนั้นยังกล่าวถึงเรื่องเกี่ยวกับใต้เท้าจอมราชันด้วยขอรับ!”
………………..
ายที่ถูกล็อกด้วยเหรียญระบบจะใช้เหรียญปลดล็อกตอนต่อไปโดยอัตโนมัติ
• เมื่อเหรียญทองหมด สามารถเติมเงินแล้วอ่านต่อได้เลย ไม่สะดุด
• ………………..จะเป็นการตั้งค่ารายเรื่อง และปิดโหมด อัตโนมัติเมื่อออกจากหน้าการอ่านนิยายเรื่องนั้น
อ่านน้อยลง
ความคิดเห็น (1)
Ado
2 ปีที่แล้ว
ทำไมบางช่วงอ่านแล้ว งงๆ เหมือนแปลข้ามๆ
ตอบกลับ
ปุ่มที่ 1 ใน 4 สารบัญ
ปุ่มที่ 2 ใน 4 ความคิดเห็น
ปุ่มที่ 3 ใน 4 ตอนก่อนหน้า
ปุ่มที่ 4 ใน 4 ตอนถัดไป
1
ตอนที่ 1469: สนทนาข้ามพรมแดน
………………..
ตอนที่ 1469: สนทนาข้ามพรมแดน
เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน สารจากศิษย์เอกของเซวี่ยเซียวจื่อกล่าวถึงบางอย่างเกี่ยวกับเขา?
ซูอี้กล่าวอย่างครุ่นคิด “ยันต์สารนั่นอยู่หนใด?”
มู่จิงนำสารฉบับหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ส่งให้เขาทันที
ซูอี้รับมันไว้ในมือ ใช้จิตสัมผัสสืบเข้าไป
เนื้อหาในสารฉบับนั้นเรียบง่าย
กล่าวโดยสรุปก็คือ นับแต่ร้อยกว่าปีก่อน อิทธิพลจากยุคอวสานเซียนนั้นค่อย ๆ สลายไปแล้ว
โลกเซียนได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมิเคยเกิด!
ระบบระเบียบเดิมได้สิ้นไปในยุคอวสานเซียน ทว่าระบบใหม่ก็ยังไม่ถูกสร้างขึ้นมา
โลกเซียนในขณะนี้เป็นเช่นฮุ่นตุ้นแรกกำเนิด ทั่วโลกหล้าปั่นป่วนและพลุ่งพล่านด้วยเปลวเพลิง
การแปรเปลี่ยนอย่างยิ่งใหญ่กำลังเผยออกอย่างเข้มข้น
และฉีเนี่ย ผู้เป็นศิษย์เอกของเซวี่ยเซียวจื่อก็เป็นผู้มีอำนาจใน ‘ลัทธิไร้มลทิน’ รวบรวมคนจากทั่วโลกหล้า ตั้งใจจะสร้างศาลเซียนรวมศูนย์ขึ้นปกครองโลกาอีกครั้ง
ในสารฉบับนั้น ฉีเนี่ยสั่งให้เสอหลิ่วซานจับตามองชายผู้หนึ่งนามช่างเสื้อซึ่งกล่าวว่าเป็นทูตสวรรค์รับใช้ของทวยเทพเอาไว้
และจากคำพูดของช่างเสื้อก่อนหน้านี้ ก็สามารถพบเบาะแสร่างเวียนวัฏของหวังเย่!
เมื่อเห็นเช่นนี้ ซูอี้ก็หรี่ตาลง
ฉีเนี่ยเป็นศิษย์เอกของเซวี่ยเซียวจื่อ เขารู้ได้อย่างไรว่าช่างเสื้อรับใช้ท่านเทพรัตติกาลดับวจี?
เรื่องทั้งหมดนี้ต้องมีเงื่อนงำอื่นซุกซ่อนอยู่แน่!
แล้วซูอี้ก็อ่านต่อ ก่อนจะพบบางเรื่องที่เกินความคาดหมาย
ฉีเนี่ยกล่าวไว้ในสารว่า ยามนี้ในโลกเซียน กลุ่มกำลังไร้คู่เปรียบกลุ่มหนึ่งกำลังออกค้นหาร่างเวียนวัฏของหวังเย่อยู่
ยิ่งกว่านั้น ยอดฝีมือไร้เทียบบางส่วนยังใช้อำนาจของพวกตนค้นพบเบาะแสบางอย่างและเริ่มลงมือแล้ว
เมื่อเห็นเช่นนี้ ซูอี้ก็เลิกคิ้วเล็กน้อย กลุ่มกำลังไร้คู่เปรียบจากโลกเซียนกำลังมองหาเขาอยู่?
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าขุมกำลังเหล่านี้น่าจะเป็นศัตรูของหวังเย่ยามมีชีวิตอยู่ในตอนนั้น!
กล่าวคือ คนเหล่านี้น่าจะเป็นศัตรูกลุ่มเดียวกับที่ร่วมมือกับเซวี่ยเซียวจื่อในการลอบโจมตีหวังเย่!
บางทีอาจเป็นเพราะขุมกำลังเหล่านี้ลงมือแล้ว ฉีเนี่ยจึงสัมผัสได้ถึงแรงกดดันและสั่งการเสอหลิ่วซานผ่านยันต์สารฉบับนี้ให้ทุ่มสุดกำลังค้นหาร่างเวียนวัฏของหวังเย่
หากต้องการความช่วยเหลือ เพียงขยี้แผ่นยันต์นี้ ก็จะสามารถติดต่อกับฉีเนี่ยได้!
……
แสงเงาในตำหนักวูบไหวอาบไล้ใบหน้าของซูอี้ผู้นั่งอยู่บนเก้าอี้หวาย
เขาใช้ปลายนิ้วไล้ไปบนสารฉบับนั้น ราวกับกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิด
สารฉบับนี้ถูกส่งให้เสอหลิ่วซานตั้งแต่เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน
กล่าวคือ ฉีเนี่ยได้รู้แต่ยามนั้นว่าช่างเสื้อรับใช้ท่านเทพรัตติกาลดับวจีอยู่
เฉกเช่นกัน กลุ่มกำลังไร้ผู้เทียบกลุ่มหนึ่งในโลกเซียนก็ใช้อำนาจตนค้นหาร่างเวียนวัฏของหวังเย่ตั้งแต่กาลนั้น!
ฉีเนี่ยกระทั่งระบุในสารว่ามีบางคนพบเบาะแสเกี่ยวกับเขาแล้ว!
ทั้งหมดนี้ทำให้ซูอี้ขมวดคิ้ว ตระหนักถึงบางสิ่งที่ผิดแผกไป
เพราะถึงอย่างไร เขาก็เพิ่งมายังศักราชแห่งมารได้ไม่กี่วันเท่านั้น
เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ยามเขาเวียนวัฏเกิดใหม่ที่มหาทวีปคังชิง กระทั่งสติของซูเสวียนจวินยังไม่ฟื้นขึ้นมาด้วยซ้ำ
ทว่ายามนั้นกลับมีขุมอำนาจจากโลกเซียนได้เบาะแสของเขา ซึ่งเกินคาดหมายสำหรับเขาโดยสิ้นเชิง
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ซูอี้ก็อนุมานได้ว่า… เป็นไปได้สูงที่ข่าวการเวียนวัฏของเขายามเป็นปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินจะแพร่ไปถึงโลกเซียน!
“ดูเหมือนข้าจำเป็นต้องกลับไปยังภูมิดาราฟ้าดินอีกครั้งเสียแล้ว”
ดวงตาของซูอี้วูบไหว
หากขุมกำลังไร้ผู้เทียบแห่งโลกเซียนเหล่านั้นเริ่มลงมือตั้งแต่ยี่สิบกว่าปีก่อน เช่นนั้น พวกเขาก็ต้องส่งกำลังพลมายังมหาแดนดินในภูมิดาราฟ้าดินแน่นอน!
“สี่ปีก่อน ข้าเดินทางจากภูมิดาราฟ้าดินสู่จักรวาลพร่างดาว และก่อนหน้านั้น ไม่มีสิ่งผิดปกติใดเกิดขึ้น”
ซูอี้กล่าวกับตนเองในใจ “นี่ยังหมายความว่ากลุ่มกำลังจากโลกเซียนอาจเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ทว่ายังมาไม่ถึงภูมิดาราฟ้าดิน!”
เหตุผลนั้นคาดการณ์ได้ชัดเจน วิถีสู่สวรรค์ในแดนมนุษย์พังทลายไปตั้งนานแล้ว และเขตแดนสมรภูมิอันนำสู่โลกเซียนก็หายไปหลายพันปี
โลกเซียนและโลกมนุษย์แยกจากกันโดยสิ้นเชิง ฟ้าดินมิอาจกลับมาบรรจบกัน
ด้วยเหตุนี้ คนจากโลกเซียนจึงมิอาจมายังโลกใบนี้ได้เลย!
สิ่งที่ทำให้ซูอี้รู้สึกประหลาดอยู่ตรงนี้เอง
เพราะว่าในเมื่อโลกมนุษย์และโลกเซียนตัดขาดจากกัน ไฉนกลุ่มกำลังไร้ผู้เทียบแห่งโลกเซียนจึงหาเบาะแสเกี่ยวกับเขาได้เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน?
‘ไม่ว่าอย่างไร หลังหวนคืนสู่จักรวาลพร่างดาวยามนี้ ข้าจะกลับไปเยือนภูมิดาราฟ้าดินเสียหน่อย’ ซูอี้กระซิบในใจ “ยามนั้นอาจจะหาเบาะแสพบบ้างก็เป็นได้”
ณ จักรวาลพร่างดาวทุกวันนี้ เกิดการเปลี่ยนแปลงเกินคาดเดาขึ้นมากมายเช่นกัน ไม่เพียงวิถีจุติสรวงปรากฏขึ้นมาอีกครา แต่กระทั่งอำนาจกฎเกณฑ์วิถีเซียนยังเริ่มฟื้นคืน!
คงไม่นานก่อนที่เขตแดนสมรภูมิซึ่งห่างหายไปหลายพันปีจะหวนคือสู่โลกหล้า
ทั้งหมดนี้ยังหมายความว่าในภายหน้า ประตูสู่โลกเซียนก็จะกลับคืนสู่โลกมนุษย์อย่างมิอาจหลีกเลี่ยง และมิเพียงผู้ฝึกตนในแดนมนุษย์เท่านั้นจะได้โอกาสทะยานเวหาจุติสรวง
ยอดฝีมือจากโลกเซียนก็ยังมีโอกาสหวนคืนสู่โลกมนุษย์ด้วยเช่นกัน!
ยามนั้น ซูอี้มิต้องคิดก็รู้ว่าจะมีเรื่องราวมากมายโถมใส่เขาไม่รู้จักจบจักสิ้นแน่!
ไม่เพียงเพราะเขาเป็นร่างเวียนวัฏของหวังเย่
ที่สำคัญกว่านั้นคือ เขาครอบครองวัฏสงสาร!
……
“ยามนี้ แม้ข้าจะช่วยเจ้ากำจัดบุปผากุมชะตาในจิตวิญญาณของเจ้ายังไม่ได้ แต่ข้าช่วยผนึกบุปผานี้เอาไว้ มิให้เจ้าถูกเซวี่ยเซียวจื่อควบคุมได้”
ซูอี้พึมพำ “หลังจากก้าวสู่วิถีเซียนในอนาคต ข้าจะช่วยเจ้าแก้ปัญหานี้ได้”