บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1469: สนทนาข้ามพรมแดน
ตอนที่ 1469: สนทนาข้ามพรมแดน
………………..
ตอนที่ 1469: สนทนาข้ามพรมแดน
เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน สารจากศิษย์เอกของเซวี่ยเซียวจื่อกล่าวถึงบางอย่างเกี่ยวกับเขา?
ซูอี้กล่าวอย่างครุ่นคิด “ยันต์สารนั่นอยู่หนใด?”
มู่จิงนำสารฉบับหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ส่งให้เขาทันที
ซูอี้รับมันไว้ในมือ ใช้จิตสัมผัสสืบเข้าไป
เนื้อหาในสารฉบับนั้นเรียบง่าย
กล่าวโดยสรุปก็คือ นับแต่ร้อยกว่าปีก่อน อิทธิพลจากยุคอวสานเซียนนั้นค่อย ๆ สลายไปแล้ว
โลกเซียนได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมิเคยเกิด!
ระบบระเบียบเดิมได้สิ้นไปในยุคอวสานเซียน ทว่าระบบใหม่ก็ยังไม่ถูกสร้างขึ้นมา
โลกเซียนในขณะนี้เป็นเช่นฮุ่นตุ้นแรกกำเนิด ทั่วโลกหล้าปั่นป่วนและพลุ่งพล่านด้วยเปลวเพลิง
การแปรเปลี่ยนอย่างยิ่งใหญ่กำลังเผยออกอย่างเข้มข้น
และฉีเนี่ย ผู้เป็นศิษย์เอกของเซวี่ยเซียวจื่อก็เป็นผู้มีอำนาจใน ‘ลัทธิไร้มลทิน’ รวบรวมคนจากทั่วโลกหล้า ตั้งใจจะสร้างศาลเซียนรวมศูนย์ขึ้นปกครองโลกาอีกครั้ง
ในสารฉบับนั้น ฉีเนี่ยสั่งให้เสอหลิ่วซานจับตามองชายผู้หนึ่งนามช่างเสื้อซึ่งกล่าวว่าเป็นทูตสวรรค์รับใช้ของทวยเทพเอาไว้
และจากคำพูดของช่างเสื้อก่อนหน้านี้ ก็สามารถพบเบาะแสร่างเวียนวัฏของหวังเย่!
เมื่อเห็นเช่นนี้ ซูอี้ก็หรี่ตาลง
ฉีเนี่ยเป็นศิษย์เอกของเซวี่ยเซียวจื่อ เขารู้ได้อย่างไรว่าช่างเสื้อรับใช้ท่านเทพรัตติกาลดับวจี?
เรื่องทั้งหมดนี้ต้องมีเงื่อนงำอื่นซุกซ่อนอยู่แน่!
แล้วซูอี้ก็อ่านต่อ ก่อนจะพบบางเรื่องที่เกินความคาดหมาย
ฉีเนี่ยกล่าวไว้ในสารว่า ยามนี้ในโลกเซียน กลุ่มกำลังไร้คู่เปรียบกลุ่มหนึ่งกำลังออกค้นหาร่างเวียนวัฏของหวังเย่อยู่
ยิ่งกว่านั้น ยอดฝีมือไร้เทียบบางส่วนยังใช้อำนาจของพวกตนค้นพบเบาะแสบางอย่างและเริ่มลงมือแล้ว
เมื่อเห็นเช่นนี้ ซูอี้ก็เลิกคิ้วเล็กน้อย กลุ่มกำลังไร้คู่เปรียบจากโลกเซียนกำลังมองหาเขาอยู่?
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าขุมกำลังเหล่านี้น่าจะเป็นศัตรูของหวังเย่ยามมีชีวิตอยู่ในตอนนั้น!
กล่าวคือ คนเหล่านี้น่าจะเป็นศัตรูกลุ่มเดียวกับที่ร่วมมือกับเซวี่ยเซียวจื่อในการลอบโจมตีหวังเย่!
บางทีอาจเป็นเพราะขุมกำลังเหล่านี้ลงมือแล้ว ฉีเนี่ยจึงสัมผัสได้ถึงแรงกดดันและสั่งการเสอหลิ่วซานผ่านยันต์สารฉบับนี้ให้ทุ่มสุดกำลังค้นหาร่างเวียนวัฏของหวังเย่
หากต้องการความช่วยเหลือ เพียงขยี้แผ่นยันต์นี้ ก็จะสามารถติดต่อกับฉีเนี่ยได้!
……
แสงเงาในตำหนักวูบไหวอาบไล้ใบหน้าของซูอี้ผู้นั่งอยู่บนเก้าอี้หวาย
เขาใช้ปลายนิ้วไล้ไปบนสารฉบับนั้น ราวกับกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิด
สารฉบับนี้ถูกส่งให้เสอหลิ่วซานตั้งแต่เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน
กล่าวคือ ฉีเนี่ยได้รู้แต่ยามนั้นว่าช่างเสื้อรับใช้ท่านเทพรัตติกาลดับวจีอยู่
เฉกเช่นกัน กลุ่มกำลังไร้ผู้เทียบกลุ่มหนึ่งในโลกเซียนก็ใช้อำนาจตนค้นหาร่างเวียนวัฏของหวังเย่ตั้งแต่กาลนั้น!
ฉีเนี่ยกระทั่งระบุในสารว่ามีบางคนพบเบาะแสเกี่ยวกับเขาแล้ว!
ทั้งหมดนี้ทำให้ซูอี้ขมวดคิ้ว ตระหนักถึงบางสิ่งที่ผิดแผกไป
เพราะถึงอย่างไร เขาก็เพิ่งมายังศักราชแห่งมารได้ไม่กี่วันเท่านั้น
เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ยามเขาเวียนวัฏเกิดใหม่ที่มหาทวีปคังชิง กระทั่งสติของซูเสวียนจวินยังไม่ฟื้นขึ้นมาด้วยซ้ำ
ทว่ายามนั้นกลับมีขุมอำนาจจากโลกเซียนได้เบาะแสของเขา ซึ่งเกินคาดหมายสำหรับเขาโดยสิ้นเชิง
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ซูอี้ก็อนุมานได้ว่า… เป็นไปได้สูงที่ข่าวการเวียนวัฏของเขายามเป็นปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินจะแพร่ไปถึงโลกเซียน!
“ดูเหมือนข้าจำเป็นต้องกลับไปยังภูมิดาราฟ้าดินอีกครั้งเสียแล้ว”
ดวงตาของซูอี้วูบไหว
หากขุมกำลังไร้ผู้เทียบแห่งโลกเซียนเหล่านั้นเริ่มลงมือตั้งแต่ยี่สิบกว่าปีก่อน เช่นนั้น พวกเขาก็ต้องส่งกำลังพลมายังมหาแดนดินในภูมิดาราฟ้าดินแน่นอน!
“สี่ปีก่อน ข้าเดินทางจากภูมิดาราฟ้าดินสู่จักรวาลพร่างดาว และก่อนหน้านั้น ไม่มีสิ่งผิดปกติใดเกิดขึ้น”
ซูอี้กล่าวกับตนเองในใจ “นี่ยังหมายความว่ากลุ่มกำลังจากโลกเซียนอาจเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ทว่ายังมาไม่ถึงภูมิดาราฟ้าดิน!”
เหตุผลนั้นคาดการณ์ได้ชัดเจน วิถีสู่สวรรค์ในแดนมนุษย์พังทลายไปตั้งนานแล้ว และเขตแดนสมรภูมิอันนำสู่โลกเซียนก็หายไปหลายพันปี
โลกเซียนและโลกมนุษย์แยกจากกันโดยสิ้นเชิง ฟ้าดินมิอาจกลับมาบรรจบกัน
ด้วยเหตุนี้ คนจากโลกเซียนจึงมิอาจมายังโลกใบนี้ได้เลย!
สิ่งที่ทำให้ซูอี้รู้สึกประหลาดอยู่ตรงนี้เอง
เพราะว่าในเมื่อโลกมนุษย์และโลกเซียนตัดขาดจากกัน ไฉนกลุ่มกำลังไร้ผู้เทียบแห่งโลกเซียนจึงหาเบาะแสเกี่ยวกับเขาได้เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน?
‘ไม่ว่าอย่างไร หลังหวนคืนสู่จักรวาลพร่างดาวยามนี้ ข้าจะกลับไปเยือนภูมิดาราฟ้าดินเสียหน่อย’ ซูอี้กระซิบในใจ “ยามนั้นอาจจะหาเบาะแสพบบ้างก็เป็นได้”
ณ จักรวาลพร่างดาวทุกวันนี้ เกิดการเปลี่ยนแปลงเกินคาดเดาขึ้นมากมายเช่นกัน ไม่เพียงวิถีจุติสรวงปรากฏขึ้นมาอีกครา แต่กระทั่งอำนาจกฎเกณฑ์วิถีเซียนยังเริ่มฟื้นคืน!
คงไม่นานก่อนที่เขตแดนสมรภูมิซึ่งห่างหายไปหลายพันปีจะหวนคือสู่โลกหล้า
ทั้งหมดนี้ยังหมายความว่าในภายหน้า ประตูสู่โลกเซียนก็จะกลับคืนสู่โลกมนุษย์อย่างมิอาจหลีกเลี่ยง และมิเพียงผู้ฝึกตนในแดนมนุษย์เท่านั้นจะได้โอกาสทะยานเวหาจุติสรวง
ยอดฝีมือจากโลกเซียนก็ยังมีโอกาสหวนคืนสู่โลกมนุษย์ด้วยเช่นกัน!
ยามนั้น ซูอี้มิต้องคิดก็รู้ว่าจะมีเรื่องราวมากมายโถมใส่เขาไม่รู้จักจบจักสิ้นแน่!
ไม่เพียงเพราะเขาเป็นร่างเวียนวัฏของหวังเย่
ที่สำคัญกว่านั้นคือ เขาครอบครองวัฏสงสาร!
……
“ยามนี้ แม้ข้าจะช่วยเจ้ากำจัดบุปผากุมชะตาในจิตวิญญาณของเจ้ายังไม่ได้ แต่ข้าช่วยผนึกบุปผานี้เอาไว้ มิให้เจ้าถูกเซวี่ยเซียวจื่อควบคุมได้”
ซูอี้พึมพำ “หลังจากก้าวสู่วิถีเซียนในอนาคต ข้าจะช่วยเจ้าแก้ปัญหานี้ได้”
มู่จิงรู้สึกตกตะลึง ก่อนที่ใบหน้าเย็นชาแข็งกร้าวเยี่ยงเหล็กของเขาจะปรากฏเค้าความตื่นเต้นอย่างหาได้ยาก
เขาคุกเข่าลงทันที “วอนใต้เท้าได้โปรดช่วยข้าด้วย!”
ในโลกเซียน ใครเล่าจะมิรู้ว่า ‘บุปผากุมชะตา’ ของจอมจักรพรรดิเซวี่ยเซียวเป็นสิ่งประหลาดร้ายกาจเพียงใด?
แม้ผู้ถูกฝังเมล็ดบุปผาชนิดนี้จะเป็นจิตวิญญาณจอมราชัน การสลัดหลุดก็ยังทำได้ยาก สุดท้ายพวกเขาก็จำต้องถูกจอมจักรพรรดิเซวี่ยเซียวบงการจนกว่าจะได้รับการปลดปล่อย!
ตลอดเวลาที่ผ่านมา มู่จิงทิ้งความหวังไปแล้ว และไม่มีความคิดที่จะทำลายบุปผากุมชะตาในจิตวิญญาณตน
ทว่ายามนี้ วาจาของซูอี้ทำให้หัวใจของเขาเต้นระรัว ดุจผู้ถูกจองจำในคุกมืดได้เห็นโอกาสคืนสู่แสงสว่างอีกหน!
“ลุกขึ้นเถิด ภายหน้าเจ้าไม่ต้องก้มหัวต่อหน้าข้าอีก” ซูอี้ว่า
มู่จิงลุกขึ้นกล่าวอย่างเคร่งขรึมทันที “ขอรับ!”
ซูอี้ไม่พูดพร่ำทำเพลงอีก จากนั้นโคจรปราณดาบเก้าคุมขังสร้างลวดลายบัญญัติที่แน่นหนาทะลวงเข้าสู่จิตวิญญาณของมู่จิงโดยพลัน
ยามนี้ มู่จิงสัมผัสได้ชัดเจนว่าบุปผากุมชะตาซึ่งหยั่งรากในจิตวิญญาณของเขาถูกผนึกเอาไว้แล้ว!
“ขอบคุณใต้เท้าจอมราชัน!”
มู่จิงก้มหัวคำนับ สีหน้าเปี่ยมความซาบซึ้ง
“เจ้าถอยไป ข้าอยากเจอศิษย์เอกของเซวี่ยเซียวจื่อสักหน่อย”
ซูอี้เอ่ยสั่ง
“ขอรับ”
มู่จิงรับคำสั่งและถอยไปอยู่ในมุมห้อง
ขณะเดียวกัน ซูอี้ขยี้ยันต์สารแผ่นนั้นอย่างเรียบเฉย
วูบ!
รัศมีเซียนประหลาดเกินคาดหยั่งสานกันเป็นม่านแสงโอ่อ่ากางเหนือแดนดิน
……
ขณะเดียวกัน
ณ โลกเซียน ลัทธิไร้มลทิน แดนศักดิ์สิทธิ์เซียนแห่งหนึ่ง
ชายร่างผอมในอาภรณ์นักพรตเต๋ากำลังนั่งเล่นฉินบนพื้นใต้ร่มพฤกษาโบราณต้นหนึ่ง
เสียงฉินนั้นไหลลื่นเยี่ยงสายธาร ดุจสายลมโชยอ่อน
ปาฏิหาริย์มหาวิถีฉายประกายสอดประสานกันท่ามกลางเสียงฉิน แปรเปลี่ยนเป็นกลีบบุปผา ส่งกลิ่นสุคนธ์คลุ้งบนเวหา
บุตรวิถีคู่หนึ่งซึ่งอยู่ไกลออกไปเฝ้ามองมาด้วยสีหน้าชื่นชม
ใต้เท้าเจ้าลัทธิสำเร็จศาสตร์ขั้น ‘แปรวจีเป็นรูปลักษณ์ บุปผาเซียนโปรยปราย’ แล้ว!
ทันใดนั้น เสียงฉินก็หยุดลง กลีบบุปผาบนฟากฟ้ามลายหาย
ชายร่างผอมในชุดนักพรตเต๋ายกมือขึ้นหยิบสารฉบับหนึ่งซึ่งกำลังเรืองแสงอยู่ขึ้นมา รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า
เขาขยี้ยันต์สารนั้น แล้วม่านแสงก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า
“เสอหลิ่วซาน เจ้าพบเป้าหมายแล้วหรือ?”
ชายในชุดนักพรตเต๋าเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
ม่านแสงแปรเปลี่ยน สะท้อนภาพของตำหนักแห่งหนึ่ง
ในตำหนักหลังนั้นมีชั้นหนังสือวางเรียงราย ชายคนหนึ่งกำลังนั่งเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้หวายเบื้องหน้าโต๊ะ
แสงวูบไหวอยู่บนร่างของเขา ทว่าคู่สนทนาก็ได้เห็นเพียงรูปลักษณ์ มิอาจเห็นใบหน้า
เมื่อเห็นเช่นนี้ ม่านตาของชายในชุดนักพรตก็หดตัวเล็กน้อย รอยยิ้มบนใบหน้าเลือนหาย “เจ้าเป็นใคร?”
ยามนี้ แรงกดดันอันมิอาจมองเห็นแผ่ออกจากร่างของชายในชุดนักพรต ยิ่งใหญ่เยี่ยงเทพ!
สองบุตรวิถีซึ่งอยู่ไกลออกไปกลัวจนตัวสั่น
ในม่านแสง ซูอี้ผู้เอนกายบนเก้าอี้หวายกำลังจิบสุราแล้วกล่าวขึ้นว่า “เจ้าคือศิษย์เอกของเซวี่ยเซียวจื่อ ฉีเนี่ยหรือ?”
ชายในชุดนักพรตเต๋ากล่าวด้วยแววตาล้ำลึก “ถูกต้อง”
เขาพยายามเพ่งมองใบหน้าของซูอี้ชัด ๆ ทว่าด้วยม่านแสงกอปรกับเงาแสงจากจุดที่ซูอี้นั่งอยู่ทำให้เขามิอาจเห็นได้เลย
เขาพอจะเห็นได้คร่าว ๆ ว่าอีกฝ่ายเป็นชายผู้ดูอ่อนเยาว์ มีกิริยาผ่อนคลายสบายใจเท่านั้น
“ข้าคือคนที่เจ้ามองหาอยู่”
ซูอี้กล่าว
“จอมราชันอนันตรัตติกาล?!”
สีหน้าของชายในชุดนักพรตแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย สายฉินตรงหน้าเข่าของเขาสั่นสะเทือนราวกำลังพรั่นพรึง ส่งเป็นเสียงต่ำ ๆ ออกมา
ทันใดนั้น ชายในอาภรณ์นักพรตเต๋าก็ดูจะสังเกตเห็นว่าตนเสียกิริยา สีหน้าจึงกลับมาสุขุมอีกครั้ง “มิคาดว่าเจ้าจะอยู่ในศักราชแห่งมารจริง ๆ!”
“ข้ามิได้มาฟังวาจาเพ้อเจ้อของเจ้า”
วาจาของซูอี้ยังคงเฉยเมย
ชายในอาภรณ์นักพรตเต๋านิ่งเงียบครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “เจ้าต้องการทำอันใดจึงขยี้สารที่ข้าให้เสอหลิ่วซานไป ต่อให้ต้องเผยตัวตนตรงหน้าข้าก็ตาม?”
ซูอี้กล่าวราบเรียบ “มีเพียงสองประการ ข้อแรก บอกอาจารย์ของเจ้าให้ระวังไว้ บางทีสักวันยามเก็บตัวฝึกฝน จู่ ๆ ข้าจะโผล่ไปหน้าถ้ำพำนักแล้วเด็ดหัวเขาเอาได้”
คิ้วของชายในอาภรณ์นักพรตขมวดเข้าหากัน ขณะกล่าวอย่างเย็นชา “หากสามารถนัก ไฉนมิทำเสียตอนนี้เลยเล่า? หรือเจ้าผู้เวียนวัฏฝึกฝนใหม่จะยังห่างไกลเกินกระทำเช่นนั้น?”
ซูอี้จิบสุราเมินวาจานั้นไป และกล่าวว่า “ประการที่สอง ข้าได้ยินมาว่าเจ้าจะสร้างศาลเซียนรวมศูนย์ขึ้นใหม่หรือ?”
ชายในอาภรณ์นักพรตกล่าวอย่างไร้อารมณ์ “ถูกต้อง โลกเซียนทุกวันนี้ หลังจากเวลาผ่านไปนับแสนปีตั้งแต่หายนะอวสานเซียนมาเยือน ระบบระเบียบต่าง ๆ ได้พังทลายไปสิ้น โลกหล้าปั่นป่วน ยามนี้ต้องมีผู้ยืนขึ้นสร้างศาลเซียนรวมศูนย์ค้ำโลกาขึ้นใหม่ เพื่อให้โลกาหวนคืนสู่ครรลองจักรวาล!”
ซูอี้หัวเราะเย้ยหยัน ดวงตาเย็นชาไร้อารมณ์ “งั้นเจ้าเองก็ควรรู้เช่นกันว่าผู้ครองอำนาจในศาลเซียนรวมศูนย์นั้นต้องได้รับการยอมรับจากข้าก่อน”
“และข้าบอกยามนี้เลยก็ได้ว่าเจ้าน่ะ…ไม่คู่ควร!”
………………..