บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1474: ที่มาของชายหนุ่มรูปงาม
ตอนที่ 1474: ที่มาของชายหนุ่มรูปงาม
ทำนองพุทธบริกรรมก้องท้องนภาพร่างดาว
เหล่าผู้ชมที่อยู่ห่างไกลล้วนตัวสั่น หมอบคลานลงกับพื้นโดยไม่รู้ตัว ดุจเหล่าศาสนิกชนผู้เลื่อมใสบูชาศาสดาซึ่งตนศรัทธา
คิ้วของซูอี้ขมวดหากัน
พบตถาคตมา ไฉนมิก้มกราบ!
วาจาไม่กี่คำเป็นดุจเจตจำนงสวรรค์ แผลงอำนาจสะท้านใจผู้คน
สิ่งที่ยิ่งน่าพรั่นพรึงก็คือ พุทธวจีนั้นบรรจุพลังบัญญัติกฎเกณฑ์ส่วนหนึ่งซึ่งสามารถสะเทือนถึงจิตใจได้!
จิตใจของซูอี้เองก็ถูกกระทบเช่นกัน
ทว่าเพียงอึดใจต่อมา เขาก็สามารถสลายมันสิ้น
เพราะถึงอย่างไร หากเป็นการประชันจิต เขาได้ผ่านมันมาไม่รู้กี่หนแล้ว และยามนี้เองเขาก็ยังประชันกับกรรมวิถีชาติที่หกอยู่เลย
แม้พุทธวจีนั้นจะทรงพลัง แต่ก็ส่งผลกระทบต่อซูอี้ได้ยาก
เขาสะบัดชายแขนเสื้อ ส่งชิงถังเข้าไปในเตาเสริมสวรรค์
ทว่าชายหนุ่มรูปงามดูจะทนไม่ไหวแล้ว สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยน หลบวูบอยู่ด้านหลังของซูอี้ กัดฟันกล่าวว่า “ท่านลุง ลาเฒ่าหัวล้านนี่ชั่วช้านัก เขาจะครอบงำจิตใจข้า!”
มุมปากของซูอี้กระตุกเล็กน้อย
อยู่ดี ๆ ก็มีไอ้หนุ่มที่ไหนมาเรียกเขาเป็นลุง ทำให้ซูอี้นึกอยากตบกะโหลกคนอยู่นิด ๆ
ทว่าสุดท้ายเขาก็ยั้งมือไว้
ภาพจำแลงของพระพุทธจากระยะไกลนั้นร้ายกาจเกินไป ทุกกิริยาวาจาล้วนทำให้จักรวาลพร่างดาวสะเทือนสั่น
ร้ายกาจกว่าเสี้ยวเจตจำนง ‘ท่านเทพรัตติกาลดับวจี’ ที่เขาพบในศักราชแห่งมารลิบลับเสียอีก!
“เจ้าดูเถิด”
ชายหนุ่มกล่าวพลางก้าวเดินเหนือเวหา
ปราณดาบเก้าคุมขังปรากฏขึ้นจากปลายนิ้ว ทวีความรุนแรงทีละน้อย ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นดาบยาวสีเทาเล่มหนึ่ง
นี่เป็นครั้งแรกที่ซูอี้ใช้ปราณดาบเก้าคุมขังแบบนี้
ในอดีต การกระทำนี้ไม่อาจเป็นไปได้เลย
ทว่าเหตุผลในยามนี้แตกต่างออกไป
เพราะดาบเก้าคุมขังในห้วงความนึกคิด ณ ยามนี้เดือดดาลตาแดงฉานเยี่ยงพบกับศัตรูที่ลืมไม่ลง ซูอี้สามารถใช้พลังของดาบเก้าคุมขังได้อย่างง่ายดายโดยมิต้องใช้ความพยายามเลย
“หากมิบูชา ตถาคตก็จะส่งสู่สุญตา!”
พุทธองค์เหนือแท่นปทุมยี่สิบสี่กลีบที่อยู่ห่างออกไปพลันยกหัตถ์ขวาขึ้นและกดลงใส่ซูอี้
ตู้ม!
พุทธรัศมีไร้ประมาณสาดส่อง แปรเปลี่ยนเป็นหัตถ์ใหญ่ปรกนภา ดูจะสามารถปิดจักรวาลพร่างดาวในฝ่ามือได้ มันเผยอำนาจไร้ขอบเขต
เปรี้ยง!
ซูอี้ฟาดดาบทลายหัตถ์ใหญ่ปรกนภาข้างนั้นลงได้พร้อมเสียงกัมปนาท
หัตถ์ใหญ่ข้างนั้นสลายเป็นแสงพุทธรังสีพร่างพรายในทันที
และซูอี้ก็ฟาดฟันอีกดาบเข้าใส่พุทธองค์เหนือแท่นปทุม
เทียบกับเงาร่างของพุทธองค์อันสูงใหญ่ไร้สิ้นสุด ร่างของซูอี้นั้นช่างเล็กจ้อย
ทว่ายามเขากระโจนเหนือนภา สับดาบของเขาลง มันก็เป็นดุจหนึ่งประกายแสงตัดผ่านนภาพร่างดาวแห่งบรรพกาล แหวกโลกา อำนาจเกินใดเทียบ!
“ไป!”
เงาร่างพุทธองค์เหนือแท่นปทุมฟาดฝ่ามือลงมา
แดนดินแถบนั้นพลันทลายสูญ สารพัดพุทธรังสีก่อตรา ‘สวัสดิกะ’ กดลงมา
มนต์ประทับนี้ร้ายกาจยิ่ง มันสามารถล้างดาบยาวในมือซูอี้ลงได้ทันที
เปรี้ยง!
แม้ซูอี้จะหลบทัน แต่อำนาจสวัสดิกะก็ฟาดร่างของเขากระเด็นไปอยู่ดี
“อุ๊บะ#!!”
ชายหนุ่มรูปงามหลุดคำสบถ
เขามองปราดแรกก็เห็นว่าเจตจำนงพุทธตถาคตนี้ประหลาด ร้ายกาจเกินคาดหยั่ง
“ทุกสิ่งที่เกิดในวันนี้คือการอนุมานเก่าก่อนของข้าผู้นี้ และอนาคตของเจ้าก็มีเพียงสองชะตา หนึ่งคือถูกข้าจับกุม สองคือร่างสลายหายไปในโลกหล้า”
ภาพมายาของพุทธองค์เหนือแท่นปทุมยี่สิบสี่กลีบกล่าวขึ้น “ไร้ความเป็นไปได้ที่สาม ดุจบุปผาที่ทำได้เพียงผลิบานและร่วงโรย เจ้าเองก็ควรดำเนินตามครรลองแห่งผลกรรมไป”
น้ำเสียงนั้นยิ่งใหญ่ทรงพลัง ก้องกังวานทั่วจักรวาลพร่างดาว
ซูอี้กล่าวด้วยดวงตาไร้อารมณ์ “ผลกรรม? อนาคต? ชะตา? ดาบเดียวก็สะบั้นได้!”
ในยามนี้ เขาโคจรวิถีเต๋าทั่วร่างโดยไร้ลังเล ฉาบเล่มดาบด้วยอำนาจวัฏสงสาร ดูดซับพลังดาบเก้าคุมขังอย่างบ้าคลั่ง
“ขจัดอัตตา!”
พุทธองค์นั้นแค่นเสียงเบา ๆ
ตู้ม!
สวัสดิกะอันเฉิดฉายพลันแปรเปลี่ยนเป็นพุทธบรรพตกดลงมาใส่ซูอี้
พุทธบรรพตนั้นดูยิ่งใหญ่เกินประมาณ จรัสจ้าทอแสง มอบความรู้สึกไร้ทางหนีแก่ผู้คน
ซูอี้สัมผัสได้ถึงแรงกดดันยิ่งกว่ายามใด
การโจมตีนี้มิอาจหลบเลี่ยงได้ ร้ายกาจเหนือคาดฝัน มันทรงพลังยิ่งกว่าอำนาจของพุทธเจ้าแผดเผาตะเกียงที่ทูตสวรรค์หมีเจินใช้เมื่อกาลก่อนเสียอีก!
ยามนั้น ซูอี้กระทั่งรู้สึกสิ้นกำลังราวกับถูกกดติดหล่มเกินขยับเขยื้อน
คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน ชักดาบกวาดออกไปอย่างสุดกำลัง
หนึ่งดาบทะยานดุจวัฏสงสารเวียนซ้ำ ปราณเกินคาดหยั่งของดาบเก้าคุมขังอัดแน่นราวกับจะลากจักรวาลพร่างดาวนี้สู่สังสารวัฏ
เมื่อดาบเล่มนี้ฟาดฟันใส่พุทธบรรพต
ตู้มมมม!
แดนดินใกล้เคียงสลายสิ้นท่ามกลางคลื่นทำลายล้างจนกลายเป็นสีขาวโพลน
หัวใจของชายหนุ่มรูปงามบีบรัดแน่น
ทว่ายามหมอกควันสลาย ทัศนวิสัยกลับคืนมา ชายหนุ่มรูปงามก็อดเบิกตากว้างไม่ได้
พุทธบรรพตนั้นหายไปแล้ว และหนึ่งร่างสูงใหญ่ก็ยืนตระหง่านดุจหนึ่งดาบชี้เหนือสวรรค์ ไม่อาจสั่นคลอนชั่วนิรันดร์!
นั่นคือซูอี้
อาภรณ์สีเขียวของเขาขาดรุ่งริ่ง โลหิตหลั่งรินบนผิวกาย เส้นผมกระเซิงยุ่ง บาดเจ็บอย่างเห็นได้ชัด ทว่าเขาก็มิได้ตายจากการโจมตีครั้งนี้!!
“หือ?”
ร่างมายาของพุทธองค์บนแท่นปทุมยี่สิบสี่กลีบเองก็ดูงุนงงเช่นกัน “รับไว้ได้หรือ?”
“อุบัติเหตุคือตัวแปร ในเมื่อมีตัวแปร จะพูดเรื่องผลกรรมและชะตาได้หรือ? อำนาจหยั่งเห็นอนาคตอันใดมันก็แค่นั้นแหละ”
ริมฝีปากของซูอี้ยกยิ้มเย้ย
“ตัวแปรเองก็ซุกซ่อนอยู่ในผลกรรม แม้จะมีตัวแปรนับไม่ถ้วน ท้ายที่สุดก็นำไปสู่ถึงจุดจบเดียวกัน”
พุทธองค์มายานั้นกล่าว
เขาพลันลุกขึ้น แท่นปทุมใต้เท้าเกิดเพลิงผลาญลุกโชน “และข้าผู้นี้ก็ควบคุมธรรมแห่งอนาคต พิสูจน์ผลกรรม เตรียมจุดจบอันมิอาจเอาชนะให้เจ้าแล้ววันนี้!”
ตู้ม!
สองมือประกบหากัน แล้วแสงสว่างเกินคะเนก็ปรากฏขึ้นรายล้อม
เพลิงศักดิ์สิทธิ์แห่งบัญญัติกวาดเข้าใส่ซูอี้ราวพายุคลั่ง
การโจมตีนี้ร้ายกาจกว่าตราสวัสดิกะก่อนหน้านี้ลิบลับ!
ชายหนุ่มรูปงามสีหน้าแปรเปลี่ยนโดยสมบูรณ์ เขากัดฟันกรอด ก่อนจะนำเตาโบราณใบน้อยใบหนึ่งออกมาและเตรียมใช้งาน
ทว่ายามนี้เขาพลันชะงัก ร่างของเขาถูกอำนาจดาบร้ายกาจสายหนึ่งสยบทั่วมิอาจขยับ!
กระทั่งเตาน้อยในมือของเขายังสั่นสะท้านรุนแรง
‘นี่คือ…’ ดวงตาของชายหนุ่มรูปงามเบิกกว้าง
พายุเพลิงบัญญัติศักดิ์สิทธิ์เหนือเวหาเองก็ดูจะถูกอำนาจอันมองไม่เห็นผนึกอยู่เช่นกัน
ดุจจุดแสงนิ่งนับพัน
กาลเวลา สุญญะ และทุกสิ่งในจักรวาลพร่างดาวนี้ดูจะอยู่ในสภาวะนิ่งงัน ณ ขณะนี้
ร่างมายาของพุทธองค์เหนือแท่นปทุมยี่สิบสี่กลีบเองก็ผงะไป ดูราวไม่อยากเชื่อ
ในสายตาของเขา ดาบวิถีลึกลับเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นเหนือศีรษะซูอี้
ทว่าก่อนที่เขาจะทันได้เห็นถนัดตา ดาบนั้นก็ฟาดลงบนอากาศ
ตู้ม!
เพลิงบัญญัติศักดิ์สิทธิ์นับพันแหลกสลายไป
แผลดาบยาวหมื่นจั้งปรากฏขึ้นบนสุญญะ และที่ปลายดาบ แท่นปทุมยี่สิบสี่กลีบก็แหลกสลาย
ร่างมายาของพุทธองค์นั้นแหลกเป็นเสี่ยง ๆ ในทันใด!
เหลือเพียงเสียงของพุทธองค์นั้นสะท้อนออก
“ดาบ… ดาบนั่นอีกแล้ว…”
น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความตะลึง มิยินยอมพร้อมใจ หวาดกลัว โทสะ และอื่น ๆ ปนเป
จากนั้นทั่วจักรวาลพร่างดาวพลันปั่นป่วนอลหม่าน
ดาบเล่มนั้นเลือนหายไปอย่างไร้เสียงแล้ว
ดวงตาของซูอี้ดูซับซ้อน
เดิมที เขาหยุดดาบเก้าคุมขังไว้ เจตนาต้องการลองดูว่าจะสามารถเอาชนะพุทธตถาคตที่ว่าด้วยความแข็งแกร่งตน ไม่ใช้ปราณดาบเก้าคุมขังได้หรือไม่
ทว่าท้ายที่สุดก็ยังทำไม่ได้
ทว่าหลังจากที่ดาบเก้าคุมขังปรากฏขึ้น เขาก็สังหารศัตรูร้ายเช่นนี้ลงได้ง่าย ๆ!
“สุดท้าย ข้าในยามนี้ก็ยังอ่อนแอเกินไป…”
ซูอี้นวดหว่างคิ้ว
ไร้ความเจ็บใจหรือขุ่นเคือง
การฝึกฝนในปัจจุบันของเขายังห่างไกลเกินเทียบได้กับชาติที่หกหวังเย่ อย่าว่าแต่เหล่าเทพเลย
ทว่าหากยามนี้ทำมิได้ ภายหน้าก็ยังมิแน่ชัด!
เพียงยี่สิบกว่าปี เขาก็ก้าวข้ามอดีตชาติซึ่งก็คือซูเสวียนจวิน ทัศนาจารย์และเสิ่นมู่แล้ว
ภายหน้า เขาก็ย่อมก้าวข้ามหวังเย่และอดีตชาติอื่น ๆ ได้เช่นกัน!
……
จักรวาลพร่างดาวค่อย ๆ สงบวจี ทัศนียภาพพังทลายทุกแห่งหน
เหล่าผู้ฝึกตนซึ่งหมอบคลานกรานกราบดุจศาสนิกชนผู้เลื่อมใสเมื่อกาลก่อน เมื่อเจตจำนงของพระพุทธตถาคตเลือนหาย พวกเขาก็คืนสติ รู้สึกราวพ้นความตายอย่างฉิวเฉียดตาม ๆ กัน
และเมื่อพวกเขามองไปยังร่างซูอี้ซึ่งอยู่ห่างไกล หัวใจของพวกตนก็สั่นสะท้าน
ทัศนาจารย์ เขาประหารทูตสวรรค์ทั้งห้าตนลงได้เพียงลำพัง!!
เรื่องเช่นนี้ล้มล้างความรู้ความเข้าใจของคนทุกผู้
ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า ยามข่าวนี้แพร่ไปสู่จักรวาลพร่างดาว โลกหล้าจะต้องเป็นที่เลื่องลืออย่างแน่นอน
“สะใจนัก! ดาบของท่านลุงทำให้ทวยเทพพุทธองค์ทั้งหลายเหนือนภาพรั่นพรึง!”
ชายหนุ่มรูปงามทอดถอนใจ “น่าเสียดายที่พลังเจตจำนงของข้าจะสลายไปแล้ว หาไม่ ข้าจะดื่มกับท่านลุงเพื่อแสดงความเคารพแน่นอน!”
ซูอี้เหลือบมองชายหนุ่มรูปงามอย่างเหยียด ๆ “งั้นบอกข้ามาว่าเกิดอันใดขึ้นก่อนเจตจำนงของเจ้าจะสลายไป”
ชายหนุ่มรูปงามส่ายหน้า “ตอบท่านลุงตามตรง ที่มาของหลานผู้นี้หาใช่ความลับไม่ ภายหน้าท่านจะได้รู้เองขอรับ แต่ยามนี้ข้าไม่อาจบอกได้ หาไม่ มันจะสร้างปัญหาเกินจำเป็นแก่ท่านมากมาย”
ชายหนุ่มรูปงามเสสรวลพลางกล่าวว่า “ข้าน่ะก็แค่ได้รับอานิสงส์จากบิดาเท่านั้นขอรับ แน่นอนว่าตัวตนของข้านั้น ต่อหน้าท่านข้าก็เป็นเพียงผู้น้อยเท่านั้น”
“กระทั่งชื่อก็บอกมิได้หรือ?” ซูอี้ถาม
“เอ่อ…”
ชายหนุ่มรูปงามลังเลอยู่ชั่วขณะ “ยามข้ามาถึง ผู้อาวุโสตระกูลข้าบอกว่าห้ามบอกอันใดทั้งนั้น ด้วยกลัวว่าข้าจะสร้างปัญหาเกินจำเป็นต่อท่านลุงและส่งผลต่อวิถีฝึกฝนของท่าน แต่…”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ เขาก็กล่าวขึ้นเบา ๆ “ในเมื่อท่านลุงถาม หลานหรือจะมิตอบได้?”
เขาสูดหายใจลึก ๆ ก่อนจะกุมกำปั้นคำนับซูอี้ด้วยท่าทีเคร่งขรึมจริงจัง
“หลานเฉินผู คารวะท่านลุงขอรับ!”
เฉินผู?
ซูอี้ครุ่นคิดอยู่นาน แต่ก็มิอาจคิดออก
สิ่งเดียวที่เขาสรุปได้ก็คือ ผู้เรียกตนว่าเฉินผูนี้ต้องเป็นลูกหลานตัวเขาสักคนในอดีตชาติแน่นอน
เขาไม่คิดนึกต่อ ไม่ว่าอย่างไรภายหลังเขาก็จะได้รู้เอง
ต่อมา ซูอี้ก็หันไปมองภูมิดาราฟ้าดินอันปกคลุมด้วยม่านพลังฮุ่นตุ้น และกล่าวว่า “บอกทีว่าที่นี่เกิดอันใดขึ้น?”
………………..