บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1475: เสียงระฆังหวนกังวาน
ตอนที่ 1475: เสียงระฆังหวนกังวาน
เฉินผูว่า “ท่านลุง ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับท่านขอรับ”
“ข้าหรือ?”
ซูอี้ผงะ
เฉินผูว่า “วัฏสงสารปรากฏขึ้น ฟ้าดินต้องซุกซ่อน มีเพียงการทำเช่นนี้ เราจึงสามารถเลี่ยงไม่ให้วิถีเวียนวัฏของท่านลุงถูกศัตรูร้ายทำลายได้ขอรับ”
“หลานผู้นี้มาเพื่อช่วยท่านลุงคลายกังวลนี้ขอรับ”
เฉินผูชี้ม่านพลังฮุ่นตุ้นซึ่งปกคลุมภูมิดาราฟ้าดินอยู่ไกล ๆ และกล่าวว่า “กฎฮุ่นตุ้นนี้ปกคลุมและซ่อนภูมิดาราฟ้าดินได้ ต่อให้เป็นสามลาเฒ่าหัวล้านแห่งอดีต ปัจจุบันและอนาคตร่วมมือ พวกเขาก็มิอาจพบเบาะแสได้แน่นอน”
“แต่หากพวกเขาควบคุมภูมิดาราฟ้าดินได้ พวกเขาจะได้ค้นหาเคล็ดเกี่ยวกับวัฏสงสารในภูมิมืดมิด ทำให้ชาติต่อไปของท่านถูกไอ้แก่พวกนั้นควบคุมให้ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายที่สุด”
ซูอี้ขมวดคิ้ว แล้วกล่าวอย่างงุนงงเล็กน้อย “ภูมิดาราฟ้าดินอยู่มาไม่รู้กี่ปี เหตุใดจึงมิเคยเกิดเรื่องนี้ขึ้นมาก่อนกัน?”
ดวงตาของเฉินผูดูซับซ้อนขึ้น “ท่านลุง ก่อนที่ท่านจะเวียนวัฏฝึกฝนใหม่ในโลกหล้า วิถีเวียนวัฏนั้นถูกเหล่าเทพสั่งห้ามมิให้มีในโลกนะขอรับ”
ซูอี้พลันตระหนักรู้ทันใด
เมื่อนานมาแล้ว เขาเคยได้ยินท่านมหาเทพหงกล่าวอยู่ ทว่านับแต่กาลก่อนในภูมิดาราฟ้าดิน เขาคือผู้เดียวเท่านั้นที่ถือครองวัฏสงสารโดยแท้จริง!
“ท่านลุง ท่าน… จำมิได้จริง ๆ หรือขอรับ?”
เฉินผูพลันถามขึ้น
ซูอี้ว่า “เจ้าคิดเช่นไร?”
เฉินผูกล่าวขึ้นเบา ๆ “กฎฮุ่นตุ้นที่ปกคลุมภูมิดาราฟ้าดินแห่งนี้ ที่จริง… นี่คือสิ่งที่ท่านทิ้งไว้ เพื่อที่ว่าสักวันจะสะบั้นอันตรายแฝงเหล่านี้ เพื่อไม่ให้วิถีเวียนวัฏของท่านถูกศัตรูนำไปใช้”
ซูอี้ตะลึง “มีเรื่องพวกนี้อยู่ด้วยหรือ?”
ในที่สุดเฉินผูก็แน่ใจว่าท่านลุงตรงหน้ามิได้ฟื้นความทรงจำเดิม และอธิบายออกมาทันที “ท่านลุงไม่ต้องสงสัยหรอกขอรับ ภายหน้ายามท่านอยู่เหนือธารแห่งยุคสมัย ท่านจะรู้ทุกสิ่งเอง”
หลังจากเว้นช่วงเล็กน้อย เฉินผูก็กล่าวต่อ “จากนี้ไป ภูมิดาราฟ้าดินจะหายไปจากโลกหล้า ท่านไม่ต้องห่วงเลยว่าจะมิอาจหาภูมิดาราฟ้าดินเลย ยามท่านถือครองดาบแห่งวัฏสงสารพิพากษาเทพ ท่านจะสัมผัสได้ถึงอำนาจกฎฮุ่นตุ้นซึ่งครอบคลุมภูมิดาราฟ้าดิน และเรียกคืนมันกลับได้เอง…”
ขณะกล่าว ร่างของเฉินผูก็จางลงเรื่อย ๆ
ซูอี้ว่า “แล้วหากข้าอยากเข้าสู่ภูมิดาราฟ้าดินยามนี้เล่า?”
เฉินผูส่ายหน้า “สายไปแล้วขอรับ”
เขากล่าวพลางมองไปยังภูมิดาราฟ้าดินจากระยะไกล “กฎฮุ่นตุ้นนั้นกำลังกลืนกินภูมิดาราฟ้าดิน ผู้ใดฝืนเข้าไปจะถูกจองจำในนั้นขอรับ”
“เหตุที่ข้าหยุดเหล่าสุนัขรับใช้เทพเหล่านั้นก็เพราะกังวลว่า พวกนั้นจะแหวกม่านเข้าไปก่อความวินาศแก่ภูมิดาราฟ้าดิน”
“ก่อนหน้านี้ หากพวกเขาเข้าไปได้จริง ๆ ก็จะถูกจองจำขอรับ”
“ทว่าสรรพสิ่งในภูมิดาราฟ้าดินจะมิได้รับผลกระทบใด ๆ และจะมิรู้สึกว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ขึ้น”
“พวกเขาก็แค่… มิอาจออกจากภูมิดาราฟ้าดินได้ในอนาคตขอรับ”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ความเร็วการพูดของเฉินผูก็ทวีความรัวเร็วขึ้น
“ท่านลุง อันที่จริง หลานไม่จำเป็นต้องอธิบายเลย หลังจากท่านฟื้นความทรงจำเมื่อกาลก่อน เรื่องเหล่านี้ก็จะกระจ่างต่อท่านเอง”
“เหล่าเทพที่อยู่ภายใต้บัญญัติกฎเกณฑ์ไม่อาจมายังโลกนี้ได้ และวิถีต่อไปของท่าน สิ่งที่ต้องระวังจริง ๆ ก็แค่สุนัขรับใช้เทพเหล่านั้นเท่านั้นขอรับ!”
“แล้วก็อีกไม่นานภูมิดาราฟ้าดินนี้จะถูกกลืนกินไปโดยสมบูรณ์ แต่ก่อนหน้านั้น ท่านลุง ได้โปรด… บัดซบเอ๊ย ข้าไม่เหลือเวลาแล้ว…”
กล่าวถึงตรงนี้ ร่างของเฉินผูก็กลายเป็นพิรุณแสงไปโดยมิอาจฝืน
เตาหลอมโบราณใบน้อยทะยานสู่เวหา ดูดซับพิรุณแสงจากร่างเฉินผูเข้าไปข้างใน และทะยานจากไป
นับแต่ต้นจนจบ ซูอี้ไร้โอกาสได้เสวนา
เขาทำได้เพียงมองพิรุณแสงเฉินผูถูกเตาโบราณใบน้อยรับไว้และจากไป
ทว่าซูอี้ก็พอเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว
“วัฏสงสารปรากฏ ฟ้าดินต้องซุกซ่อน…”
ซูอี้กล่าวในใจ ‘มิน่าเล่า การเปลี่ยนแปลงอย่างมหันต์นี้จึงเกิดกับภูมิดาราฟ้าดิน หลังจากข้าเข้าสู่จักรวาลพร่างดาวได้ไม่นาน’
ท้ายที่สุด เรื่องทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะอำนาจวัฏสงสารที่เขาถือครอง และยังเกี่ยวเนื่องกับหนึ่งในอดีตชาติของเขาด้วย!
ทุกสิ่งที่ชายชื่อเฉินผูกล่าวพิสูจน์เรื่องนี้
“ดีที่หลิงเสวี่ยกับฉาจิ่นฝึกฝนอยู่ในภูมิดาราฟ้าดิน มิต้องมาลำบากเพราะข้า”
หัวใจของซูอี้ผ่อนคลาย
การกลับมาหนนี้ของเขานั้นเพื่อแก้อันตรายแฝง ด้วยกังวลว่าญาติสนิทมิตรสหายในภูมิดาราฟ้าดินจะถูกศัตรูภายนอกหมายหัว
และยามนี้ ภูมิดาราฟ้าดินกำลังจะถูกซ่อนจากโลกหล้า เขาย่อมสิ้นกังวลว่าจะมีอันตรายแฝงเกิดขึ้น
ดังที่เฉินผูว่า หลังจากภูมิดาราฟ้าดินถูกซ่อนโดยสมบูรณ์ มันก็เทียบได้กับช่วยซูอี้คลายกังวล!
วูบ!
ซูอี้ก้าวไปอยู่ตรงหน้าม่านพลังฮุ่นตุ้นอันโอบล้อมภูมิดาราฟ้าดิน จากนั้นก็หันกลับไปมองเหล่าผู้ฝึกตนซึ่งอยู่ห่างออกไปในจักรวาลพร่างดาว
“กลับกันไปเถิด”
แสนไกลห่าง ผู้ฝึกตนมากมายมองหน้ากัน ก่อนจะทยอยแยกย้ายในที่สุด
ใครเล่าจะไม่เห็นว่าหมดโอกาสเข้าสู่ภูมิดาราฟ้าดินแล้ว?
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ามีทัศนาจารย์นั่งเฝ้าอยู่ ต่อให้ไม่ทำเช่นนั้น กำลังของพวกเขาก็ไม่มีทางแหวกม่านพลังฮุ่นตุ้นได้อยู่ดี
ไม่นานนัก จักรวาลพร่างดาวก็เงียบสงัด
ท่ามกลางสุญญะกว้างไกล มีเพียงซูอี้ผู้เดียวนั่งขัดสมาธิไร้วจี
สามวันต่อมา
ด้วยเสียงคำรามก้อง ม่านพลังฮุ่นตุ้นนั้นก็กลืนกินทั่วทั้งภูมิดาราฟ้าดินโดยสมบูรณ์
ซูอี้ผู้นั่งขัดสมาธิอยู่ลุกขึ้น และเห็นว่าม่านพลังฮุ่นตุ้นนั้นหดตัวลงอย่างต่อเนื่อง เพียงไม่กี่อึดใจขนาดของมันก็เหลือเพียงหนึ่งกำปั้น
สุดท้าย กฎฮุ่นตุ้นก็ควบแน่นเป็นยันต์ที่มีรูปทรงดาบประหลาดชิ้นหนึ่งต่อหน้าซูอี้
ยามนี้ หัวใจของซูอี้สั่นสะท้าน พลันรู้สึกคุ้นเคยในใจ
ทว่ายามเพ่งตรวจสอบก็มิพบสิ่งใด
จากนั้นยันต์รูปทรงดาบก็หายไป
จักรวาลพร่างดาวที่ใหญ่โตและว่างเปล่า ไม่มีร่องรอยการมีอยู่ของภูมิดาราฟ้าดินอีก
ซูอี้ยืนอยู่เพียงลำพัง ก่อนจะอดคิดถึงร่างอันคุ้นเคยของเหวินหลิงเสวี่ย ฉาจิ่น หนิงซือฮวา อาคังและคนอื่น ๆ ขึ้นมิได้…
‘ภายหน้า ข้าจะมาหาพวกเจ้าเอง’
ซูอี้กระซิบในใจ
เขาเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะหันหลังจากไป
……
ครึ่งเดือนต่อมา
ซูอี้และชิงถังหวนคืนสู่วัดสรรพสุญตา
คนขายของเก่าพุ่งเข้ามาอย่างระริกระรี้ ขณะส่งถุงสัมภาระบรรจุสมบัติชั้นเซียนใบหนึ่งแก่ซูอี้
เมื่อเปิดออกก็พบกับสมบัติกองพะเนินเต็มไปหมด!
มีทั้งวัตถุดิบศักดิ์สิทธิ์ โอสถ อาวุธวิเศษสารพัดเปล่งประกายกองสูงเป็นบรรพตหย่อม ๆ รัศมีสมบัติเรืองประกายละลานตา
ซูอี้อดประหลาดใจไม่ได้
สมบัติเหล่านี้ไม่เพียงมีจำนวนมหาศาล แต่ยังล้ำค่าหายาก!
แปดส่วนในนั้นเป็นสมบัติขอบเขตจุติสรวง มีเพียงสองส่วนเป็นสมบัติเซียน แต่ถึงเช่นนั้นก็มิอาจประเมินมูลค่าได้แล้ว!
“ไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าขุมกำลังโบราณเหล่านั้นจะรุ่มรวยถึงเพียงนี้”
คนขายของเก่าตื่นเต้น
ไม่นานนัก ชายหนุ่มก็ได้รู้ว่าในครึ่งเดือนที่ตนจากไป เหล่าขุมกำลังโบราณล้วนยอมส่งสมบัติมหาศาลในคลังของตนออกมา และสาบานจะสวามิภักดิ์ต่อซูอี้จากนี้ไป!
และถุงสัมภาระวิถีเซียนที่คนขายของเก่าส่งให้เขาก็บรรจุสมบัติของขุมกำลังโบราณเหล่านั้น
“ใจกว้างดีแท้”
ซูอี้ว่า
คนขายของเก่ากล่าวขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มว่า “สุดท้ายสมบัติก็เป็นของนอกกาย ในโลกใบนี้ ขอเพียงขจัดคำสาปในกายได้ ภายหน้าพวกเขาก็จะหวนคืนวิถีได้ ขอเพียงไม่โง่ ทุกคนย่อมรู้ว่าต้องทำเช่นไร”
ซูอี้พยักหน้า
จริงดังว่า วิถีจุติสรวงได้หวนคืนสู่โลกาแล้ว และอำนาจกฎเกณฑ์วิถีเซียนก็กำลังฟื้นตัว คงไม่นานก่อนที่เขตแดนสมรภูมิซึ่งห่างหายแสนนานจะหวนคืนสู่หล้า
สำหรับผู้ฝึกตนในโลกา มันเทียบได้กับยุคทอง!
ส่วนวิญญาณอาสัญเหล่านั้น สิ่งที่ต้องแก้ไขคืออำนาจคำสาปในกาย
แม้จะไม่เต็มใจ แต่วิญญาณอาสัญเหล่านั้นก็ทำได้เพียงต้องจำนนเพื่อแลกกับความช่วยเหลือนี้
“สมบัติเหล่านี้ เจ้านำไปแบ่งกับคนอื่น ๆ เถอะ”
ซูอี้เลือกสมบัติที่เหมาะกับการฝึกฝนของเขา ก่อนจะส่งสมบัติอื่นให้แก่คนขายของเก่า
……
จากวันนี้ไป ซูอี้ก็ผ่อนคลายลงแล้ว
นอกจากเก็บตัวฝึกฝน เขาก็ออกมาดื่มกินเสวนาหารือกับหมู่สหาย
ระหว่างช่วงเวลานี้ ขุมกำลังโบราณที่ยอมศิโรราบเหล่านั้นต่างพายอดฝีมือที่อยู่ภายใต้บัญชาของตนออกมา และด้วยการช่วยเหลือของซูอี้ พวกเขาก็ได้รับการปลดคำสาปในร่าง
ไร้สิ่งอื่นต้องทำ
โลกหล้าภายนอกปั่นป่วนวุ่นวาย
การปรากฏของยุคทองเป็นโอกาสครั้งเดียวชั่วชีวิตสำหรับผู้ฝึกตนทุกคน
โดยเฉพาะเหล่าราชันแห่งภูมิผู้ติดค้างอยู่ในขอบเขตไร้ขีดจำกัดมานานล้วนก้าวสู่วิถีจุติสรวงอย่างต่อเนื่อง!
ตัวตนอันทรงพลังบางผู้ยังเผยศักยภาพอันน่าอัศจรรย์ยามก้าวสู่วิถีจุติสรวง การฝึกฝนของพวกเขาพัฒนาจากขอบเขตจิตทารกสู่ขอบเขตรวมวิถีในคราเดียวอย่างก้าวกระโดด!
ทว่าไม่มีสิ่งใดกระทบถึงตัวซูอี้ได้
อันที่จริง ต่อให้จะมีตัวตนวิถีจุติสรวงอุบัติขึ้นพร้อมกันในขณะที่โลกากำลังเปลี่ยนแปลง แต่ทุกวันนี้ก็ไม่มีผู้ใดกล้าท้าทายซูอี้อีกแล้ว
สำหรับทุกผู้ในโลกหล้า ซูอี้ทุกวันนี้เป็นดั่งตัวตนผู้ปกครองโลกหล้า สังหารเซียนประหารทูตสวรรค์ในแดนมนุษย์!
ใครเล่าจะกล้าหาเรื่องตัวตนร้ายกาจเช่นนี้?
เดือนถัดมา
การฝึกฝนของซูอี้เข้าถึงขอบเขตแปรสามัญขั้นสมบูรณ์แล้ว อีกเพียงก้าวเดียวก็จะได้บรรลุสู่ขอบเขตแปรสัจธรรม!
ทว่าซูอี้ไม่ได้รีบร้อนที่จะเลื่อนขอบเขตขนาดนั้น
เมื่อเข้าสู่เขตแดนสมรภูมิ เขาก็วางแผนชิงวาสนาอีกอย่างหนึ่งที่มีเพียงยอดคนจุติสรวงขอบเขตจิตทารกเท่านั้นจะได้มาก่อน แล้วจึงเลื่อนขอบเขตทีหลัง!
เวลาต่อมา ซูอี้ก็ใช้เวลาไปกับการหล่อหลอมกฎมหาวิถีของตนเข้ากับดาบแห่งโลกา
กาลเวลาผันผ่านไปอีกหนึ่งเดือน
กลางดึกคืนนั้น ซูอี้ผู้กำลังเก็บตัวหล่อหลอมกฎมหาวิถีพลันถูกปลุกด้วยวจีวิถีคำรามก้อง
เสียงนั้นดูจะดังมาจากแสนไกล ซึ่งคั่นด้วยสวรรค์เก้าชั้นและสะเทือนทั่วทั้งอากาศ!
“หลังจากเวลาผ่านไปเนิ่นนาน ระฆังเต๋าก็ส่งวจีสะท้อนกลับมา หมายความว่าเขตแดนสมรภูมิจะหวนคืนสู่โลกหล้าในคืนนี้!”
เสียงของปราชญ์หงอวิ๋นดังออกมาจากนอกห้อง