บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1476: เขตแดนสมรภูมิ
ตอนที่ 1476: เขตแดนสมรภูมิ
กลางดึกที่มืดสนิท บนท้องนภามีเสียงอันเก่าแก่โบราณสะท้อนก้อง
ณ ลานวัดสรรพสุญตา ซูอี้ ปราชญ์หงอวิ๋น ดาบพุทธะสรรพสุญตา เซียนดาบชิงซื่อและคนอื่น ๆ รวมตัวกัน มองขึ้นไปยังท้องนภาเป็นตาเดียว
ที่แห่งนั้นมีอำนาจกฎฮุ่นตุ้นประสานสอด ค่อย ๆ สร้างเป็นเงาประตูมิติแห่งหนึ่ง
“นั่นคือทางเข้าเขตแดนสมรภูมิ!”
ดาบพุทธะสรรพสุญตากล่าวอย่างตื่นเต้น “ในสมัยโบราณ ระฆังเต๋าจะดังขึ้นทั่วทั้งจักรวาลพร่างดาวทุก ๆ พันปี และทางเข้าเขตแดนสมรภูมิก็จะปรากฏขึ้น!”
เขตแดนสมรภูมิคือแดนดินลึกลับที่เชื่อมระหว่างโลกเซียนกับแดนมนุษย์!
สิ่งที่สะดุดตาที่สุดในเขตแดนสมรภูมิคือวิถีแรกเยือน
เพราะหากเหล่าราชันจุติสรวงขอบเขตจุติมงคลในโลกหล้าต้องการเข้าสู่โลกเซียนก็ต้องผ่านวิถีแรกเยือนเสียก่อน
“ในที่สุดก็โผล่มา…”
เซียนดาบชิงซื่อถอนหายใจยาวอย่างสมใจ เฝ้ารอและโหยหา
ในอดีตกาล หายนะสิ้นกฎเกณฑ์ได้กวาดไปทั่วทั้งโลกหล้าและสะบั้นวิถีจุติสรวงลง ทำให้เขตแดนสมรภูมิหายไป
โลกเซียนกับแดนมนุษย์จึงแยกจากกันโดยสิ้นเชิง
นี่คือสิ่งที่เรียกกันว่า ‘สะบั้นแยกฟ้าดิน’
ยามนี้ ไม่เพียงวิถีจุติสรวงจะหวนคืน แต่กระทั่งทางเข้าเขตแดนสมรภูมิยังปรากฏขึ้นเหนือนภาในยามนี้ ใครเล่าจะมิตื่นเต้นไหว?
“เขตแดนสมรภูมิหาใช่สุขาวดีไม่ หากต้องการเข้าสู่วิถีแรกเยือนเพื่อเข้าสู่โลกเซียน ก็ต้องผ่านภยันตรายมากมาย จึงจะไปถึงโลกเซียนได้”
ปราชญ์หงอวิ๋นกระซิบ
วาจานั้นทำให้ทุกผู้สงบใจลงได้มาก
เพราะเขตแดนสมรภูมินั้นยังมีอีกนามว่า ‘อเวจีสีเลือด’!
ผู้สามารถเข้าไปยังเขตแดนสมรภูมินั้นไม่ได้มีเพียงตัวตนขอบเขตจุติสรวงในจักรดาราตงเสวียนเท่านั้น แต่ยังมีตัวตนขอบเขตเดียวกันจากจักรดาราหลักอีกสามแห่งด้วย
สามจักรดารานั้นก็คือจักรดาราหนานหั่ว เป่ยเยวียน และซีหาน!
จักรดาราแต่ละแห่งมีอาณาเขตไม่ได้ด้อยไปกว่าจักรดาราตงเสวียน มีภูมิดาราหลักและโลกภูมิใหญ่น้อยนับไม่ถ้วนมิต่างกัน
เมื่อนานมาแล้ว ทุกคราที่เขตแดนสมรภูมิเปิดออก ศึกประชันอันโหดเหี้ยมนองเลือดจะถูกจัดขึ้นระหว่างตัวตนวิถีจุติสรวงจากสี่จักรดาราหลัก
และจากการจัดลำดับในเขตแดนสมรภูมิ จักรดาราเป่ยเยวียนนั้นเป็นผู้นำเสมอมา
ในหมู่พวกเขา จำนวนยอดฝีมือวิถีจุติสรวงซึ่งได้เข้าสู่โลกเซียนมีจำนวนมากที่สุด ประวัติการณ์เป็นที่เลื่องลือและสูงส่ง ครองตำแหน่งอันดับหนึ่งอย่างเหนียวแน่น
รองลงมาคือจักรดาราซีหาน
และตัวตนวิถีจุติสรวงจากภูมิดาราตงเสวียนกับหนานหั่วนั้นเป็นตัวตนปลายแถวเสมอ
บางครั้งจักรดาราตงเสวียนก็รั้งท้าย บางคราก็เป็นจักรดาราหนานหั่ว
“หากไปกับสหายเต๋าซู เหตุใดข้าต้องกลัวการเผชิญกับตัวตนจากสามจักรดาราหลักด้วย?”
กฎของเขตแดนสมรภูมิค่อนข้างพิเศษ ฉะนั้นจะมีเพียงยอดฝีมือในสามขอบเขตจุติสรวงเท่านั้นที่เข้าไปได้
ทว่ายามเข้าสู่เขตแดนสมรภูมิ ยอดฝีมือจากสามขอบเขตทั้งจิตทารก รวมวิถีและจุติมงคลจะถูกส่งไปยังสนามรบที่แตกต่างกัน
กล่าวโดยสรุปก็คือ ยอดฝีมือขอบเขตจิตทารกจะเข้าสู่สนามรบที่สาม ยอดฝีมือขอบเขตรวมวิถีเข้าสู่สนามรบที่สอง ส่วนยอดฝีมือขอบเขตจุติมงคลจะเข้าสู่สนามรบแรกโดยตรง
ควรค่ากล่าวถึงว่าวิถีสู่โลกเซียนตั้งอยู่บนสนามรบแห่งแรก
และกฎเช่นนั้นยังหมายความว่าเซียนดาบชิงซื่อกับดาบพุทธะสรรพสุญตาย่อมไม่อาจเดินทางร่วมกับซูอี้ได้
ซูอี้กล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม “ไม่ช้าก็เร็ว ข้าจะไปยังสนามรบแรกเช่นกัน”
ในสนามรบที่สาม ขอเพียงมิตกตายในศึกก็จะมีโอกาสเข้าสู่สนามรบที่สอง
โอกาสเข้าสู่สนามรบแรกจากสนามรบที่สองก็มีอยู่เช่นกัน
ดาบพุทธะสรรพสุญตากล่าวขึ้นว่า “ด้วยความแข็งแกร่งของสหายเต๋าซู การเข้าสู่สนามรบแรกย่อมเป็นไปได้ ต่อให้จะไปยังโลกเซียนยังมิสิ้นหวังเลย”
ความเห็นนี้ได้รับการยอมรับจากทุกผู้อย่างเป็นเอกฉันท์
ในเขตแดนสนามรบ แม้การฝึกฝนจะไม่ได้อยู่ในขอบเขตจุติมงคล หากผ่านมาถึงสนามรบแรกได้ก็ย่อมมีโอกาสเข้าสู่โลกเซียน!
ทว่าโอกาสดังกล่าวช่างเล็กจ้อยยิ่งนัก มิเพียงต้องพานพบการต่อสู้อันป่าเถื่อน แต่ยังต้องผ่านการคัดออกอีก
ผู้สามารถเข้าสู่โลกเซียนในท้ายที่สุดล้วนแต่เป็นตัวตนไร้เทียมทานในขอบเขตจุติมงคลทั้งสิ้น!
แน่นอนว่าในสายตาของคนทุกผู้ บททดสอบเช่นนั้นหาหยุดยั้งซูอี้ได้ไม่
ปราชญ์หงอวิ๋นกล่าวว่า “เรื่องที่ข้าสงสัยในยามนี้คือ หลังจากเขตแดนสมรภูมิห่างหายแสนนานแล้วหวนคืนสู่โลกหล้า ขุมกำลังราชันเทพซึ่งจะเป็น ‘ทูตนำทาง’ จากโลกเซียนครานี้จะมาจากมหาทวีปใดกัน”
‘ทูตนำทาง’ ในวิถีสู่โลกเซียนนั้นถูกตัดสินโดยศาลเซียนรวมศูนย์แห่งโลกเซียน
กล่าวโดยรวมก็คือ ‘ทูตนำทาง’ จะถูกเวียนกันระหว่างขุมกำลังราชันเซียนภายใต้คำบัญชาของศาลเซียนรวมศูนย์
นี่คือกฎที่มีมายาวนาน
ทว่าเขตแดนสมรภูมิห่างหายไปเนิ่นนาน โลกเซียนเองก็ประสบหายนะ ไร้ผู้ใดล่วงรู้ว่าโลกเซียนทุกวันนี้จะกลายเป็นเช่นไร
ซูอี้จำบางอย่างได้
ตอนที่ยังอยู่ที่ศักราชแห่งมาร เขาได้รับสารฉบับหนึ่งจาก ‘ฉีเนี่ย’ ผู้เป็นศิษย์เอกของเซวี่ยเซียวจื่อ และเคยสนทนากันมาก่อน
ดังนั้นซูอี้จึงเข้าใจว่าระบบระเบียบในโลกเซียนทุกวันนี้พังทลาย โลกหล้าปั่นป่วน และศาลเซียนรวมศูนย์ก็สลายไปจากโลกหล้าแสนนาน
ในฐานะเจ้าลัทธิไร้มลทิน ฉีเนี่ยจึงวางแผนสร้างศาลเซียนรวมศูนย์ขึ้นมาใหม่
กระทั่งศาลเซียนรวมศูนย์ก็ไม่เหลือ ย่อมไม่มีทางแต่งตั้งขุมกำลังราชันเซียนใดมาเป็น ‘ทูตนำทาง’ ได้
นี่ยังหมายความว่าขุมกำลังซึ่งเป็น ‘ทูตนำทาง’ ยามนี้จะแตกต่างจากกาลก่อน
“ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเต๋าใด สำหรับพวกข้าก็แค่ทูตนำทาง มิต้องสนใจมากหรอก”
ซูอี้กล่าวพลางหันไปพูดกับปราชญ์หงอวิ๋น “หากเจ้าอยากหวนคืนสู่โลกเซียน ข้าเกรงว่าเจ้าคงต้องรอนานกว่านี้หน่อยนะ”
ปราชญ์หงอวิ๋นเป็นตัวตนวิถีเซียน มิอาจเข้าสู่เขตแดนสมรภูมิได้
มีเพียงยามที่กฎวิถีเซียนในโลกนี้ฟื้นฟูแล้วเท่านั้น พวกเขาจึงจะได้โอกาสหวนสู่โลกเซียน
“ข้าคำนวณไว้แล้วว่า สถานการณ์การฟื้นตัวของปราณเซียน ในหนึ่งปี ข้าจะหวนคืนโลกเซียนได้”
ปราชญ์หงอวิ๋นกล่าว “และยามนั้น สหายเต๋าเองก็น่าจะเข้าไปในโลกเซียนผ่านเขตแดนสมรภูมิแล้วเช่นกัน”
เขตแดนสมรภูมิปรากฏขึ้นทุกพันปี คงอยู่หนึ่งปีก่อนสลายหาย
ซูอี้พึมพำ “ยามเจ้ากลับถึงโลกเซียน ช่วยข้าอย่างหนึ่งสิ”
ปราชญ์หงอวิ๋นกล่าวโดยไม่คิด “สหายเต๋ากล่าวมาตรง ๆ ได้เลย”
“ยามนั้น ให้เจ้าไป ‘สุขาวดีวารีหยก’ หน่อย แล้วดูว่าเทวพฤกษ์คุนอู๋ซึ่งปลูกไว้ที่นั่นยังอยู่หรือไม่”
ซูอี้ว่าพลางหยิบม้วนหยกหนึ่งออกมา สลักแผนที่ลับด้วยจิตสัมผัส
จากนั้นเขาก็ส่งม้วนหยกนั้นแก่ปราชญ์หงอวิ๋น “หากเทวพฤกษ์นั้นยังอยู่ โยนม้วนหยกนี้ไปไว้บนกิ่งที่สอง ณ จุดสูงสุดของเทวพฤกษ์นั่น”
เขารับปากไว้ว่ายามเขาตั้งหลักในโลกเซียนได้ เขาจะพาอูเหมิง มู่จิงและคณะจากศักราชแห่งมารเข้าสู่โลกเซียน
และ ‘เทวพฤกษ์คุนอู๋’ ในสุขาวดีวารีหยกนั้นได้บรรลุรู้แจ้งมาเนิ่นนาน วิญญาณวิถีของพฤกษานั้นคือ ‘เซียนคุนอู๋’ ซึ่งเป็นลูกน้องผู้หนึ่งในโลกเซียนของหวังเย่!
เซียนคุนอู๋นั้นเลอเลิศในเคล็ดมิติสูงสุด สามารถเคลื่อนไปมาระหว่างมิติได้ตามคำนึง
หากเจ้าแก่นี่ยังอยู่ ซูอี้ก็ตั้งใจให้เขาไปรับพวกอูเหมิงที่ศักราชแห่งมาร
เมื่อฟังคำขอของซูอี้แล้ว ปราชญ์หงอวิ๋นก็รับปากทันที “ได้”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “มิถามหรือว่าข้าทำเช่นนี้เพื่อการใด?”
ปราชญ์หงอวิ๋นส่ายหน้า “มิจำเป็นหรอก”
ซูอี้จ้องมองปราชญ์หงอวิ๋นอย่างลึกล้ำ ก่อนจะกล่าวว่า “เมื่อข้าไปถึงโลกเซียน ข้าควรจะไป ‘ทวีปกกพิสุทธิ์’ เป็นที่แรก เมื่อถึงเวลา หวังว่าเราสองจะได้กลับมาพบกัน”
ปราชญ์หงอวิ๋นประหลาดใจ
ทวีปกกพิสุทธิ์!
นั่นคือสถานที่ตั้งของตระกูลหนิงแห่งหนานเสวียน ผู้อยู่เบื้องหลังนาง!
ปราชญ์หงอวิ๋นกล่าวอย่างจริงจัง “หากบ้านเกิดของตระกูลข้ายังอยู่ ข้าจะต้อนรับสหายเต๋าด้วยตนเอง”
หายนะอวสานเซียนดั้งเดิมส่งผลกระทบทั่วทั้งโลกเซียน ตระกูลหนิงแห่งหนานเสวียนเองก็เสียหายหนักจากหายนะจนต้องหนีกระเจิง
ยามนี้ หลังจากเวลาผ่านไปเนิ่นนาน นางก็หาแน่ใจไม่ว่าสมาชิกตระกูลของนางจะยังอยู่กันหรือไม่
ขณะสนทนาอยู่นั้น เสียงระฆังเต๋านำทางซึ่งดังต่อเนื่องบนท้องนภาก็ค่อย ๆ หายไป
และประตูสู่เขตแดนสมรภูมิก็ก่อร่างสมบูรณ์ ลอยเด่นอยู่บนท้องนภาดูลึกลับอย่างยิ่ง
สิ่งอัศจรรย์สูงสุดคือประตูสู่เขตแดนสมรภูมินี้สามารถมองเห็นได้จากทุกแห่งหนทั่วจักรวาลพร่างดาว!
“สหายเต๋า ยามนี้เจ้าสัมผัสได้ถึงปราณของประตูนั่นเพื่อก่อป้ายแสดงตนเข้าสู่เขตแดนสมรภูมิได้แล้วนะ”
ปราชญ์หงอวิ๋นว่า
ซูอี้พยักหน้าน้อย ๆ ขณะสงบใจตนเอง
ทันใดนั้น จิตสัมผัสของเขาก็สัมผัสได้ถึงคลื่นอำนาจหนึ่งกำลังแผ่ออกจากประตู และอำนาจกฎเกณฑ์นั้นก็หลอมรวมตนกับฟ้าดิน มีเพียงตัวตนในวิถีจุติสรวงเท่านั้นที่สัมผัสมันได้
เมื่อซูอี้กำลังทบทวนอยู่นั้น หนึ่งพิรุณแสงก็พร่างพรมจากนภา ก่อเป็นป้ายสัญลักษณ์ที่มีขนาดเท่าฝ่ามือร่วงลงมาบนมือของชายหนุ่ม
ป้ายสัญลักษณ์นั้นแปลงมาจากอำนาจกฎเกณฑ์ ควบแน่นจากจิตสัมผัสของซูอี้ สลักปราณของเขาไว้บนนั้น
ด้วยป้ายสัญลักษณ์นี้ มันจะบันทึกความสำเร็จบนเขตแดนสนามรบของซูอี้ไว้ทุกกระบวนการ
ยามที่มาถึงวิถีแรกเยือน เขาจะสามารถใช้ผลงานอันถูกจารึกในป้ายสัญลักษณ์ชิงโอกาสไปยังโลกเซียนได้
และยอดฝีมือทุกคนที่เข้าสู่เขตแดนสมรภูมิล้วนมีป้ายสัญลักษณ์เช่นนี้ประจำตน
………………..