บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1477: ทุกฝ่ายล้วนปรากฏอย่างอหังการ
ตอนที่ 1477: ทุกฝ่ายล้วนปรากฏอย่างอหังการ
“ท่านอาจารย์ ท่านจะไปแล้วหรือเจ้าคะ?”
ชิงถังอดกล่าวไม่ได้ ใบหน้าหยกงดงามเปี่ยมความไม่เต็มใจ
นางไม่อาจรู้ได้ว่ากว่าจะได้หวนพบพาน ต้องห่างกันอีกกี่เดือนกี่ปี
“อย่าห่วงเลย หลังผ่านหนึ่งปี เขตแดนกั้นระหว่างโลกมนุษย์และโลกเซียนจะสลายสิ้น เมื่อข้าตั้งหลักในโลกเซียนได้ ข้าจะมารับเจ้าไปด้วย”
ซูอี้แย้มยิ้มพลางลูบหัวชิงถัง
ในโลกหล้าทุกวันนี้ มีเพียงตัวตนในวิถีจุติสรวงเท่านั้นที่เข้าสู่เขตแดนสมรภูมิ ข้ามวิถีแรกเยือนสู่โลกเซียนได้
ทว่ายามนั้นจะแตกต่างออกไป
ด้วยความสามารถของซูอี้ ไม่ว่าการฝึกฝนของชิงถังและหลวงจีนคงจ้าวจะสูงหรือต่ำเพียงไร พวกเขาก็ไม่ต้องพึ่งการชี้นำของเขตแดนสมรภูมิก็เข้าไปฝึกฝนในโลกเซียนได้!
“สหายทัศนาจารย์ ข้าทนปล่อยเจ้าไปไม่ได้จริง ๆ”
คนขายของเก่าดูเศร้าสร้อยเหงาหงอย
หลวงจีนคงจ้าวหัวเราะลั่น เปิดโปงคนขายของเก่าในทันใด “เจ้าเป็นห่วงหรือว่าหลังสหายทัศนาจารย์จากไป จะไม่มีผู้ใดคุ้มกะลาหัวเจ้าอีก!”
คนขายของเก่าดูตะลึง ก่อนจะกล่าวอย่างขุ่นเคือง “หัวใจของข้าผู้นี้มิมัวหมองเช่นนั้น มองเห็นได้เยี่ยงตะวันจันทรา มิดักดานไร้ความเจริญเช่นเจ้าคิดหรอก!”
ปราชญ์หงอวิ๋นกล่าวอย่างสุขุม “อย่าห่วงไป ข้าจะอยู่ที่นี่จวบปีหน้า ไม่ว่าผู้ใดรังแกเจ้า ก็มาหาข้าได้”
คนขายของเก่าหน้ารื่นด้วยความปีติ กล่าวขึ้นทันที “ขอบคุณผู้อาวุโส! มีผู้อาวุโสอยู่ ข้าก็โล่งใจแล้ว”
หลวงจีนคงจ้าวเสสรวล “ดูสิ พอมีผู้หนุนหลังคนใหม่ก็เปลี่ยนสีหน้าทันใด!”
คนทุกผู้อดคลายความโศกแห่งการลาจางลงมิได้
“นายน้อย รักษาตัวด้วยขอรับ!”
เฒ่าเว่ยขาเดี้ยงส่งไหสุราหนึ่งแก่ซูอี้แล้วแย้มยิ้ม “อนาคตเป็นเช่นไรหามีผู้กระจ่างไม่ ไร้ผู้ใดในโลกหล้ารู้ว่าผู้ใดจะได้ยิ่งใหญ่ปกครองหล้า!”
ซูอี้รับไหสุรามาดื่ม และกล่าวกับเว่ยซาน “ยามข้าไม่อยู่ ดูแลบิดาบุญธรรมเจ้าด้วย”
เว่ยซานพยักหน้าอย่างหนักแน่น
“หว่านเอ๋อร์ เจ้าเองก็ต้องฝึกฝนให้ดี”
ซูอี้หันไปกล่าวกับชิงหว่าน
“อื้อ!” ชิงหว่านพยักหน้าอย่างรุนแรง
ไม่นานนัก ดาบพุทธะสรรพสุญตาและเซียนดาบชิงซื่อเองก็ผสานป้ายสัญลักษณ์ของตนเช่นกัน
“ไปล่ะ”
ซูอี้โบกมือและเดินจากไปในสุญญะ
ยามจรจากของเขาเสรีเลื่อนลอย ไม่ใช่ไร้หัวใจ แต่เป็นความไร้ยี่หระในความเป็นความตาย มีความอาวรณ์ไม่มากนัก
จากนั้นทันที ดาบพุทธะสรรพสุญตาและเซียนดาบชิงซื่อเองก็จากไปตาม ๆ กัน
ยามเห็นร่างของพวกเขาพลิ้วจาก หัวใจทุกผู้ก็วูบไหว
“ในแดนมนุษย์นี้ สหายทัศนาจารย์ของข้าเป็นตัวตนไร้เทียมทานไปแล้ว กล่าวได้ว่าหนึ่งดาบทะยานผ่านจักรวาลสามพันภูมิ ตลอดกาลหรือจะมีศัตรูควรค่า?”
คนขายของเก่ารำพึง
จริงดังว่า ในโลกมนุษย์นี้ หามีผู้ใดเทียบชั้นซูอี้ได้แต่โบราณกาลไม่!
คืนนั้น
ยามทางเข้าเขตแดนสมรภูมิปรากฏ ทุกผู้ซึ่งอยู่ในวิถีจุติสรวงทั่วจักรวาลพร่างดาวต่างเดือดพล่านลงมือ
ชั่วขณะนั้น พิรุณแสงเจิดจรัสท่ามกลางนภาราตรีเยี่ยงสายฝน
กระทั่งวิญญาณอาสัญวิถีจุติสรวงจากกลุ่มเต๋าโบราณทั้งหลายต่างก็ออกมาเคลื่อนไหว!
……
สำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ
“ถึงกาลแล้ว”
อาไฉ่ผู้ถูกยกย่องเป็น ‘องค์วิญญาณอมตะ’ ปกคลุมด้วยพิรุณแสงตระการสีละล่องทะยานออกสู่ส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว
แก่นแท้ของนางคือหนอนไหมเซียนอันก่อเกิดท่ามกลางฮุ่นตุ้น ถือครองภาวะวิถีอมรณาอันหายากยิ่ง
สำหรับนาง ในเขตแดนสมรภูมินั้นมีมหาลาภอันทำให้ชีวิตของนางแปรเปลี่ยนสูงสุดได้อยู่!
และนางก็รอวันนี้มานาน แสนนานนัก…
‘ข้าว่าสหายเต๋าซูเองก็น่าจะไปเขตแดนสมรภูมิเหมือนกันหรือไม่?’
อาไฉ่กล่าวในใจ
……
ตู้ม!
บนธารสายยาวแห่งมิติเวลาอันปั่นป่วน สตรีนางหนึ่งในชุดผ้า รวบผมหางม้า ใบหน้าปกปิดด้วยหน้ากากสำริดกำลังเดินท่ามกลางเกลียวคลื่น
ในมือของนางถือหอกยาว ฝีเท้ารวดเร็วยิ่ง แม้จะถูกผลกระทบจากกระแสมิติเวลา นางก็หาบาดเจ็บไม่
“อารยธรรมในยุคสมัยเก่าก่อนพังทลายตามกัน วิถีหอกของข้าสมบูรณ์ได้เพียงในโลกนี้ และโอกาสก็อยู่ในโลกเซียนอันกำลังแปรเปลี่ยนมหาศาล”
“เราต้องรีบเข้าไป และไม่ว่าอย่างไรก็ต้องชิงผลวิถีอันจุดประกายเพลิงศักดิ์สิทธิ์ พิฆาตเต๋าผนึกเทพให้จงได้!”
“หากทำเช่นนั้นได้ ข้าก็จะเติมเต็มวิถีตน เลื่อนขอบเขตใหญ่สำเร็จได้โดยแท้จริงเสียที!”
“ถึงยามนั้น… เทพเทวาพุทธองค์คือสิ่งใด? ”
…ขณะสตรีถือหอกกำลังครุ่นคิด ร่างของนางก็วูบไหวผ่านคลื่นคลั่งแห่งมิติเวลาสู่ส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว
ตู้ม!
กฎสวรรค์แปรปรวนถูกกระตุ้น ขวางกั้นสตรีถือหอกไว้
สตรีถือหอกราวกับคาดไว้ล่วงหน้า ปราณของนางพลันควบแน่น สะกดการฝึกฝนของนางอย่างต่อเนื่อง
ท้ายที่สุด เมื่อการฝึกฝนของนางเหลือเพียงขอบเขตจุติมงคล กฎสวรรค์พลันหายไป
“สามปีผันผ่าน จักรวาลพร่างดาวนี้แตกต่างไปจากกาลก่อนแล้วอย่างจริงแท้ มิเพียงวิถีจุติสรวงหวนปรากฏ กระทั่งกฎสวรรค์ยังมีปราณเซียนเจือมาเล็กน้อย”
“ดูเหมือนการอนุมานเมื่อกาลก่อนของข้าจะถูกต้อง ตัวแปรเช่นนี้ปรากฏขึ้นได้เพียงในอารยธรรมฝึกตนปัจจุบันเท่านั้น!”
“และในโลกเซียนนั้น ระบบระเบียบของมันถูกเหล่าเทพทำลายไปแสนนาน หลังจำศีลห่างหายยาวนาน มันก็ทำให้โลกเซียนเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล!”
“เหล่าเทพเอ๋ย นี่เท่ากับยกหินทุ่มลงเท้าตนเองโดยแท้ จากนี้ไป ตัวแปรในโลกเซียนจะเกินกำลังพวกเขาควบคุมเป็นแน่แท้!”
สตรีถือหอกยืดเส้นยืดสาย เงยหน้ามองไปไกล
มีประตูสู่เขตแดนสมรภูมิลอยเด่นอยู่!
“ข้าแค่ไม่รู้ว่าเจ้าหนูผู้ถือครองวัฏสงสารเป็นเช่นไรบ้างในยามนี้ ผ่านไปเพียงสามปี เขาก้าวสู่วิถีจุติสรวงแล้วหรือยังหนอ?”
ร่างหนึ่งพลันปรากฏในใจของสตรีถือหอก อาภรณ์เขียวดุจหยก ละล่องพ้นมลทิน
ทันใดนั้น นางก็อดคิดถึงยามที่ตนพ่ายชายผู้นั้นในการประลองขอบเขตเดียวกันมิได้ แล้วเค้าความอับอายเกินสะกดกลั้นก็พลุ่งพล่านในใจนาง
ยามนั้นนางมิเพียงแพ้ แต่ยังตะลุมบอนใกล้ชิดกับชายผู้นั้น ซึ่งเป็นกิริยาอันน่าอับอายอัปยศยิ่ง
วูบ!
ร่างของนางวูบไหว เข้าสู่ประตูเขตแดนสมรภูมิ
……
จักรดาราหนานหั่ว
ยอดมหาบรรพตอันปกคลุมด้วยหิมะแห่งหนึ่ง
“นายน้อย การเดินทางสู่เขตแดนสมรภูมิหนนี้ ท่านแบกความหวังของผู้ฝึกตนทั้งหลายในโลกหล้าไว้ ตาเฒ่าไร้ค่าผู้นี้เชื่อว่าท่านจะสามารถนำผองเราเอาชนะศัตรูขาดลอยได้แน่ขอรับ!”
ชายชราผู้หนึ่งกล่าวยิ้ม ๆ
ข้างกายเขามีร่างสูงผู้หนึ่งยืนอยู่ เขาสวมอาภรณ์สีขาวเรียบง่าย กิริยาสง่าไร้ผู้เปรียบเยี่ยงหงส์มังกร
“เอาชนะศัตรูขาดลอย?”
ท้ายที่สุด ดวงตาของชายหนุ่มก็สาดประกายแรงกล้า หมู่ดาวนับพันดูจะปรากฏในแววตา
เริ่นฉางชิง!
ตัวตนอันดับหนึ่งในวิถีจุติสรวง ณ จักรดาราหนานหั่ว ผู้ฝึกดาบอันดับหนึ่งในโลกหล้า ไร้ประวัติปราชัย!
เขามีสมญามากมายสะเทือนทั่วทุกยุคสมัย ทว่าหาเคยคิดใส่ใจไม่
สิ่งเดียวที่เขาปรารถนาโดยแท้จริงคือศัตรูผู้ควรค่า!
โชคร้ายที่แปดร้อยปีผ่านมา เขาค้นหาทั่วโลกหล้าแต่ก็ไม่อาจพานพบ
ที่สูงช่างเหน็บหนาว
ทว่ายามนี้เมื่อเขตแดนสมรภูมิหวนคืนสู่โลกหล้า ความหวังพานพบคู่ประมือก็หวนคืนสู่เริ่นฉางชิง!
……
จักรดาราซีหาน
ณ สุขาวดีแห่งหนึ่ง
“หลังกาลผ่านแสนนาน เขตแดนสมรภูมิก็ปรากฏขึ้นเสียที…”
ฉินซู่ซินกล่าวเสียงเบา
นางมีผิวพรรณเนียนขาวเยี่ยงหิมะ กระจ่างเช่นหยก กิริยาไร้ผู้เปรียบ เส้นผมรวบลวก ๆ ร่างปกคลุมด้วยหมอกประกายขาวจาง ๆ ให้บรรยากาศเหนือธรรมดา
“นายน้อย เก้ามหาอำนาจแห่งจักรดาราซีหานล้วนเห็นพ้อง หลังเข้าสู่เขตแดนสมรภูมิ ตัวตนในขอบเขตจุติมงคลใต้บัญชาของพวกเขาจะเชื่อฟังท่านเจ้าค่ะ”
หญิงชราผู้หนึ่งเดินเข้ามากล่าวเบา ๆ
ฉินซู่ซินพยักหน้าน้อย ๆ “ขอเพียงพวกเขาว่าง่าย ข้าก็มิถือหากจะคุ้มครองพวกเขาให้”
หญิงชราแย้มยิ้มกล่าว “นายน้อยวางใจเถิดเจ้าค่ะ การได้ร่วมมือกับนายน้อยนับว่าเกินฝันแล้ว ไม่ว่าผู้ใดก็มิกล้าขัดบัญชานายน้อยเจ้าค่ะ”
ในจักรดาราซีหาน ฉินซู่ซินนั้นคือตำนานอันมิอาจโต้แย้ง!
นับแต่ยามนางอยู่ในขอบเขตจิตทารก นางก็ไร้เทียมทานในวิถีจุติสรวงแล้ว เหล่าผู้เฒ่าในโลกหล้าทำได้เพียงต้องก้มหัว
จนเมื่อนางก้าวสู่ขอบเขตจุติมงคล ความแข็งแกร่งของนางก็น่ากลัวถึงจุดอันมิอาจคาดหยั่ง
ตัวตนบรรพกาลมากมายแน่ใจได้ในหนึ่งสิ่ง…
หากไม่ใช่เพราะเขตแดนสมรภูมิห่างหายแสนนาน ด้วยความสามารถและศักยภาพของฉินซู่ซิน นางคงเป็นเซียน เฉิดฉายในโลกเซียนไปเนิ่นนานแล้ว!
มีกระทั่งข่าวลือว่าอำนาจในขอบเขตจุติมงคลของฉินซู่ซินเพียงพอเผชิญหน้าเหล่าเซียนขอบเขตจักรวาลได้!
……
จักรดาราเป่ยเยวียน
“เมื่อนานมาแล้ว ทุกคราที่ปรากฏเขตแดนสมรภูมิ ศัตรูของเราก็ล้วนมิใช่ยอดฝีมือจากจักรดาราหลักทั้งสาม ไม่ว่าจะเป็นซีหาน หนานหั่ว และตงเสวียน”
ชายหนุ่มร่างผอมในชุดคลุมนักพรตเต๋าแหงนหน้ามองท้องนภา “ครานี้ก็คงเป็นเช่นเดียวกัน”
อุปนิสัยของเขาเรียบง่ายบริสุทธิ์ ดวงตาสงบกระจ่าง ร่างให้บรรยากาศสงบเงียบสง่างาม
หญิงงามในอาภรณ์หลากสีกล่าวยิ้ม ๆ “กลุ่มเดียวที่ถือเป็นศัตรูได้ก็มีเพียงอริเก่าจากจักรดาราเป่ยเสวียนของเรา แน่นอนว่าอริเก่าเหล่านั้นอาจจะทรงพลังยิ่ง ทว่าศิษย์พี่ก็แข็งแกร่งร้ายกาจอย่างพวกเขาแน่นอนเจ้าค่ะ!”
น้ำเสียงของนางมั่นใจแน่แท้
ชายหนุ่มในอาภรณ์นักพรตส่ายหน้า มิได้ตอบ
เขากล่าวอย่างจริงจัง “ขอบเขตถูกสะกดอยู่แสนนาน ทำให้ข้าเข้าใจเรื่องหนึ่งได้ ว่าหากต้องการไร้เทียมทานในวิถีจุติสรวงโดยแท้จริง การประชันก็มิใช่เรื่องของพื้นฐาน ศักยภาพและวิถีเต๋าอีกต่อไป รวมถึงสมบัติ อำนาจวิเศษและประสบการณ์ศึกด้วย”
“แล้วเป็นอันใดเจ้าคะ?”
สตรีในอาภรณ์หลากสีกล่าวอย่างสงสัย
ชายหนุ่มในอาภรณ์นักพรตกล่าว “ความเพียร ความกล้า ปัญญาและจิตใจ ในหมู่พวกมัน จิตใจนั้นสำคัญที่สุดเลย”
สตรีในอาภรณ์หลากสีตะลึงไป
“มิเข้าใจหรือ? ยกตัวอย่างให้ สิ่งที่ข้าต้องการทำมากที่สุด ณ ยามนี้มิใช่การต่อสู้กับคนในขอบเขตเดียวกัน มันน่าเบื่อยิ่งนัก”
ชายหนุ่มในชุดนักพรตกล่าวอย่างเยือกเย็น “สิ่งที่ข้าอยากทำจริง ๆ คือหาเซียนสักผู้ จากนั้นก็อัดซะแล้วถามว่าหมัดของผู้ฝึกตนมนุษย์เช่นข้า… หนักพอหรือไม่”
สตรีในอาภรณ์หลากสีตะลึงในใจ กล่าวอย่างนับถือ “บรรพชนกล่าวได้มิผิดเพี้ยน ความคิดของศิษย์พี่หาเทียบกับคนในขอบเขตจุติมงคลทั่วโลกหล้าได้ไม่!”
ชายหนุ่มในอาภรณ์นักพรตส่ายหน้ากล่าว “นี่หาใช่ความทะนงตนโอ้อวดใด ๆ ไม่ เมื่อแข็งแกร่ง หากความคิดและทัศนคติของเจ้ามาถึงจุดที่ข้าอยู่ เจ้าก็ย่อมจะต้องการทำสิ่งนี้เป็นธรรมดา”
เขาไม่ได้เย่อหยิ่งโอหัง เขาเยือกเย็นเยี่ยงน้ำนิ่ง
สตรีในอาภรณ์หลากสีกล่าวยิ้ม ๆ “เพราะเช่นนี้ จึงยิ่งเป็นการพิสูจน์พลังของศิษย์พี่ไงเจ้าคะ”
ชายหนุ่มในอาภรณ์นักพรตมีนามว่า ‘อวี่เฉิน’
และเรื่องของเขาในจักรดาราเป่ยเยวียนก็เป็นเยี่ยงตำนาน!
……
วูบ!
เสียงคำรามประหลาดแห่งมิติเวลาก้องกังวาน และภาพตรงหน้าก็บิดเบี้ยววูบไหวเป็นประกายแสง ตระการตาพิสดารนัก
ราวหมู่ดาราเคลื่อนคล้อยเพียงดีดนิ้ว ซูอี้ทะยานหลุดจากอำนาจมิติเวลาสู่โลกหล้าอันไพศาลแห่งหนึ่ง
ซูอี้กวาดสายตามองไปรอบ ๆ
ท้องนภาที่นี่สูงยิ่งนัก ขุนเขาลำธารมีลักษณะยี่ยงที่ราบโบราณ เยี่ยงจุดเริ่มต้นอันเวิ้งว้างหลังฟ้าดินแรกบังเกิด
ท่ามกลางหมู่เมฆา บนแดนดิน ในบรรพตลำธารล้วนมีปราณเซียนหนาแน่นทุกแห่งหน
กระทั่งพฤกษาใบหญ้าอันหาได้ทั่วไปที่สุดในแดนดินยังมีชีวิตชีวาและจิตวิญญาณห่างไกลเกินเทียบกับโลกภายนอก
“นี่คือสนามรบที่สามซึ่งเป็นของยอดคนจุติสรวงขอบเขตจิตทารก? หวังว่ามหาลาภนั้นจะมิทำให้ข้าผิดหวังนะ”
ซูอี้บังเกิดเค้าความคาดหวัง
เขาสะกดการฝึกฝนของตนมาตลอดก็เพื่อชิงโอกาสสำหรับขอบเขตจิตทารกในสนามรบที่สามนี้!
………………..