บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1478: บังเอิญจัง ทางเดียวกันพอดี
ตอนที่ 1478: บังเอิญจัง ทางเดียวกันพอดี
ในเขตแดนสมรภูมิมีโอกาสวาสนามากมาย
ทั้งโอสถเซียน สมบัติศักดิ์สิทธิ์อันไม่อาจพบพานในโลกภายนอก ยังมีผลึกทิพย์มหาวิถีอันก่อเกิดจากกฎเกณฑ์วิถีเซียนและอื่น ๆ อยู่อีก
สำหรับตัวตนใด ๆ ในวิถีจุติสรวง วาสนาเช่นนี้กล่าวได้ว่าพบได้ แต่มิอาจครอบครอง
ทว่าวาสนาที่ซูอี้หมายตานั้นพิเศษยิ่ง พบได้เพียงในสนามรบที่สามนี้เท่านั้น
โอกาสนี้อยู่ในสถานที่นามว่า ‘สันเขามังกรคราม’ อันเต็มไปด้วยอสนีบาตคลั่ง
เมื่อนานมาแล้ว หลังเขตแดนสมรภูมิปรากฏ สันเขามังกรครามจะเป็นที่ที่ยอดฝีมือขอบเขตจิตทารกจากสี่จักรดาราใหญ่ทุกผู้ในสนามรบที่สามต้องไป!
เหตุเป็นเพราะสันเขามังกรครามนี้ซุกซ่อนวาสนาสูงสุดแห่งสนามรบที่สามไว้….
ที่มาแห่งจิตทารก!
มันเป็นอำนาจมหาวิถีปฐมสวรรค์อันบริสุทธิ์ยิ่ง ก่อเกิดในกฎสวรรค์ของสนามรบที่สาม
หากสามารถดูดซับที่มาแห่งจิตทารกได้ มันก็สามารถทำให้การฝึกฝนของเหล่ายอดฝีมือขอบเขตจิตทารกแปรเปลี่ยนไปเยี่ยงเกิดใหม่!
และวาสนาเช่นนี้ก็มิอาจพบพานในโลกมนุษย์ได้เลย
กระทั่งในสี่สิบเก้าทวีปแห่งโลกเซียน มันก็กล่าวได้ว่าเป็นโอกาสวิถีจุติสรวงชั้นหนึ่งได้!
จุดประสงค์ของซูอี้ก็คือเข้าไปฝึกฝนในที่มาแห่งจิตทารก
จากประสบการณ์ของหวังเย่ชาติที่หก เขาก็ได้รู้ว่า ‘ที่มาแห่งจิตทารก’ ในสนามรบที่สามนี้พิเศษอย่างยิ่ง
มิเพียงมันสามารถทำให้การฝึกฝนก้าวกระโดดรวดเร็ว กระทั่งอำนาจมหาวิถีที่บรรลุอยู่แล้วยังจะแปรเปลี่ยนเชิงคุณภาพอีกด้วย!
นี่คือสิ่งที่ซูอี้ให้ค่าสูงสุด
เพราะเหตุนี้เอง ซูอี้ผู้กำลังจะเคลื่อนขอบเขตอยู่รอมร่อจึงสะกดขอบเขตของตนมาจนป่านนี้
ตู้ม~
ขณะที่ซูอี้กำลังครุ่นคิดนั้นเอง แดนดินไกลออกไปพลันเกิดคลื่นกระเพื่อมมิติเวลา และร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ
เป็นชายชราชุดเหลืองร่างผอมบางผู้หนึ่ง
คนผู้นี้ระแวดระวังอย่างยิ่ง ทันทีที่เขาปรากฏขึ้นก็ใช้สารพัดสมบัติคุ้มกายรอบตัวทันที และขณะเดียวกันก็มองไปรอบๆ อย่างหวาดระแวง
เมื่อเขาเห็นซูอี้ยืนอยู่ห่างออกไปหลายร้อยจั้ง ชายชราชุดเหลืองก็ตะลึง แทบฟาดตราประทับวิถีในมือออกมา
ทว่าเมื่อเห็นรูปลักษณ์ของซูอี้ถนัดตา ชายชราชุดเหลืองพลันเผยสีหน้าประหลาดใจ “ใต้เท้าทัศนาจารย์!!”
ซูอี้เอ่ยถามอย่างฉงน “เจ้าคือ… คนจากสำนักเต๋านครชาดหรือ?”
ชายชราชุดเหลืองพยักหน้าอย่างปรีดา “ไม่คาดเลยว่าใต้เท้าทัศนาจารย์จะยังจำตาเฒ่าผู้น้อยนี้ได้!”
นามของเขาคือจ้าวเหลียนเฉิง ผู้อาวุโสผู้หนึ่งจากขุมกำลังโบราณสำนักเต๋านครชาดผู้เคยได้รับความช่วยเหลือปลดคำสาปโดยซูอี้
เขากล่าวพลางรีบเก็บสมบัติในมือและคำนับซูอี้ด้วยสีหน้าเปี่ยมด้วยความเกรงขามตื่นเต้น
“มิต้องมากพิธี”
ซูอี้หยิบไหสุราหนึ่งออกมาจิบ
จ้าวเหลียนเฉิงเดินเข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้ม “ใต้เท้าทัศนาจารย์ ด้วยความแข็งแกร่งของท่าน สนามรบที่สามนี้ก็ไร้ค่าโดยสิ้นเชิง ต่อให้เข้าไปในสนามรบแรกก็ง่ายดายขอรับ!”
ซูอี้ส่ายหน้าน้อย ๆ “เหนือคนยังมีคน มีผู้อยู่นอกจักรดาราของเราอยู่ ข้าหวังว่าจะได้พบผู้ควรค่าประชันบ้างเหมือนกัน”
จ้าวเหลียนเฉิงครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ใต้เท้าทัศนาจารย์ ขอตาเฒ่าผู้น้อยบังอาจกล่าวบางอย่างด้วยเถิด ความหวังนี้ของท่าน… ข้าเกรงว่าจะอายุสั้นนะขอรับ! เพราะตาเฒ่าผู้น้อยคิดแล้ว ก็มิอาจคิดหาผู้ใดในวิถีจุติสรวงเป็นคู่ต่อกรใต้เท้าทัศนาจารย์ได้จริง ๆ ขอรับ”
ซูอี้ “…”
นี่ยังเรียกเป็นการยกยอได้อยู่หรือไม่?
นี่ก็พวกรู้มากอีกคนแล้ว!
ซูอี้ว่า “ข้าคิดจะไปสันเขามังกรคราม หากอยากไป เจ้าไปด้วยกันก็ได้”
ดวงตาของจ้าวเหลียนเฉิงพร่างประกาย รู้ดีว่าการได้ติดตามร่วมมือกับซูอี้เป็นวาสนาอันหาได้ยาก
ทว่าท้ายที่สุด เขาก็ส่ายหน้ากล่าว “ตาเฒ่าผู้น้อยรู้ดีว่าที่เช่นสันเขามังกรครามนั้นอันตราย แม้ตาเฒ่าผู้น้อยจะอาศัยบารมีใต้เท้าทัศนาจารย์จนได้รับวาสนาได้บ้าง แต่ท้ายที่สุดก็หาเป็นทางออกระยะยาวไม่”
ซูอี้อดประหลาดใจไม่ได้
เดิมที เขาเพียงแค่พูดส่งเดชไป ทว่าคำตอบนี้ของจ้าวเหลียนเฉิงทำให้เขาสนใจขึ้นมา จึงกล่าวว่า “เช่นนั้น เจ้าวางแผนมาทำอันใดในเขตแดนสมรภูมิหรือ?”
จ้าวเหลียนเฉิงกล่าว “ขอตอบโดยมิกลัวใต้เท้าหัวเราะใส่ ข้าตกลงกับสหายร่วมวิถีบางผู้ไว้ว่าจะหาที่ซ่อนหลังเข้าสู่สนามรบที่สามขอรับ”
“มุ่งเป้าที่การฝึกฝน หากพบโอกาสได้บ้างย่อมดี แต่หาไม่ก็อย่าได้ฝืน”
“จากแผนของเรา ปฏิบัติการณ์นี้มิได้ค้นหาสิ่งใด เพียงหวังรอดชีวิตเท่านั้น!”
“นอกจากนั้น เรายังตั้งใจทำความเข้าใจสถานการณ์ของสนามรบก่อน เมื่อเขตแดนสนามรบหวนปรากฏในพันปีให้หลัง เราจะได้ค้นหาโอกาสมากกว่านี้ขอรับ”
ได้ยินดังนี้ ซูอี้ก็อดพยักหน้ามิได้
มาตรการของจ้าวเหลียนเฉิงเป็นวิธีการอันปลอดภัยที่สุดแล้ว และยังเป็นตัวเลือกของผู้ฝึกตนวิถีจิตทารกส่วนใหญ่ในโลกหล้าด้วย
เพราะถึงอย่างไร แม้ในเขตแดนสมรภูมิจะมีโอกาสวาสนามากมาย มันก็ซ่อนหายนะหมายชีวิตไว้ไม่รู้จบ จึงมีอีกสมญาว่าอเวจีสีเลือด!
จ้าวเหลียนเฉิงหัวเราะเยาะตนเอง “ท้ายที่สุด ตัวตนเช่นเราก็มิเคยกล้าหวังวาสนาเกินตัว ด้วยกลัวโลภมากลาภหาย นอกจากนั้น… เราก็กลัวตายกันจริง ๆ ขอรับ”
เขาถอนใจกล่าว “นับแต่ย่างสู่เขตแดนสมรภูมิ ทุกผู้ก็ล้วนเป็นทั้งผู้ล่าและเหยื่อ ซึ่งทำให้เขตแดนสมรภูมินี้เป็นสถานที่อันโหดร้ายที่สุด”
ผู้แข็งแกร่งซึ่งย่างสู่เขตแดนสมรภูมิแต่ละผู้ล้วนมีตราสัญลักษณ์ระบุตัวตน มีเพียงการสะสมเกียรติประวัติในศึกเท่านั้นที่จะทำให้พวกเขาแสวงโอกาสสู่โลกเซียนได้
และเกียรติประวัติศึกเหล่านั้น จะได้มาก็ต่อเมื่อล่าศัตรู!
ในเขตแดนสมรภูมิเก่าก่อน ยอดฝีมือวิถีจุติสรวงจากสี่จักรดาราใหญ่ ถือฝ่ายอื่น ๆ เป็นเหยื่อและต่อสู้อย่างดุดัน สร้างพายุโลหิตนับไม่ถ้วย
นอกจากนั้นยังมีการวิวาทแย่งโอกาส เข่นฆ่าผู้คนล้มตายอีกด้วย
นี่คือเหตุที่เขตแดนสนามรบจึงถูกเรียกอีกนามว่า ‘อเวจีสีเลือด’
เรื่องนี้ ซูอี้ไม่ได้มีความเข้าใจลึกซึ้ง ทว่าเขารู้ดีว่าสำหรับตัวตนเช่นจ้าวเหลียนเฉิง หากต้องการอยู่รอดในเขตแดนสมรภูมิ พวกเขาต้องทุ่มสุดฝีมือ!
เพราะถึงอย่างไร เขตแดนสมรภูมิจะคงอยู่เพียงหนึ่งปี และระหว่างนี้ ต่อให้จ้าวเหลียนเฉิงจะซ่อนตัว เหล่านักล่าผู้แยบยลก็ยังมีโอกาสเจอพวกเขาอยู่ดี
“อันที่จริง ตาเฒ่าผู้น้อยมีความคิดอันเกินจริงอยู่ นั่นคือหากใต้เท้าซูฆ่าเหล่ายอดฝีมือจากสามจักรดาราใหญ่ได้”
จ้าวเหลียนเฉิงกล่าวยิ้ม ๆ
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการหลอกเล่น
ซูอี้กล่าววาจาอย่างจริงจัง “ต่อให้ข้าฆ่ายอดฝีมือจากสามจักรดาราหลักอื่น ๆ ได้หมด สถานการณ์ของเจ้าก็มิแปรเปลี่ยนไปหรอก”
จ้าวเหลียนเฉิงผงะไป ก่อนจะรำพึงด้วยรอยยิ้มแห้ง “จริงของท่าน จนยามนั้น เราทั้งหลายจากภูมิดาราตงเสวียนคงฆ่ากันเองเพื่อสั่งสมเกียรติประวัติ ชิงโอกาสเป็นแน่แท้”
นี่คือธรรมชาติแห่งมนุษย์!
สิ่งที่ยิ่งโหดร้ายคือ ยามเผชิญการคุกคามจากยอดฝีมือสามจักรดาราอื่น ๆ ยอดฝีมือจากจักรดาราตงเสวียนก็ยังมิเป็นปึกแผ่น พวกเขาย่อมประชันกันเองแย่งโอกาสและความสำเร็จอยู่ดี!
เพราะเช่นนี้ ซูอี้จึงมิเคยคิดจะทำตัวเป็นผู้กอบกู้
เขามาที่นี่ ประการแรกก็เพื่อโอกาส และสองคือเข้าสู่โลกเซียน!
“เร็วเข้า ตรงนั้น!”
“โอกาสใดหรือ?”
“ข้าไม่รู้ บางทีอาจเป็นวาสนา บางทีอาจเป็นเหยื่อ ไปรวมกับศิษย์พี่ก่อนเถิด”
บนพื้นใต้ท้องนภาไกลออกไป มีเสียงแหวกอากาศดังขึ้นรวดเร็ว สามรุ้งแสงจรัสจ้าปรากฏผ่านท้องนภา
เป็นสองบุรุษหนึ่งสตรี
เมื่อผ่านแดนดินนี้ ชายหนุ่มผู้หนึ่งในอาภรณ์หยกซึ่งนำขบวนก็กล่าวอย่างประหลาดใจ “ตรงนี้ก็มีอีกสอง!”
ชายชราผมขาวข้างกายเขาสายตาหมองหม่น บังเกิดจิตสังหาร “ที่แท้ก็เป็นเหยื่อคู่หนึ่งจากจักรดาราตงเสวียน!”
เห็นเช่นนี้ ไม่เพียงจ้าวเหลียนเฉิงไม่ลนลาน เขายังเผยเค้าความเวทนาอีกด้วย เจ้าสามคนจากจักรดาราซีหานนี่ยังกล้ามองใต้เท้าทัศนาจารย์เป็นเหยื่ออีกหรือ?
เบื่อชีวิตโดยแท้!
ขณะเดียวกัน ‘ตราประจำตน’ ของซูอี้ก็เผยคลื่นอำนาจประหลาด ทำให้เขาเข้าใจทันทีว่าสองบุรุษหนึ่งสตรีนี้มาจากจักรดาราซีหาน
นี่เองประโยชน์ของตราประจำตน
ยอดฝีมือทุกผู้ในเขตแดนสนามรบจะมีป้ายตราประจำตนเพื่อแยกแยะว่าพวกตนมาจากจักรดาราใด
ช่างน่าประหลาดใจที่สตรีชุดเขียวกล่าวขึ้นว่า “เหยื่อแค่สอง มิมีค่าอันใด ยามนี้เราควรเร่งมือไปรวมกลุ่มกับศิษย์พี่ก่อน!”
“ได้”
ชายหนุ่มอาภรณ์หยกพยักหน้า
“ไว้ชีวิตเหยื่อสองคนนั้นก่อน!”
ชายชราผมขาวดูอิดออดอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาเหลือบมองซูอี้และจ้าวเหลียนเฉิงอย่างเย็นชา
กล่าวจบ พวกเขาทั้งสามก็กลายเป็นเส้นแสงทะยานหายไปในเวหา
“เฮอะ สารเลวสามคน ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเดินเฉียดประตูผีไป”
จ้าวเหลียนเฉิงแค่นเสียง
ซูอี้กล่าวอย่างครุ่นคิด “ดูเหมือนว่าในสนามรบที่สามนี้ ไม่ว่าจะเป็นยอดฝีมือจากจักรดาราใด พวกเขาส่วนใหญ่ก็รวมกลุ่มกันนะ”
สีหน้าของจ้าวเหลียนเฉิงพลันแปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง “ถูกต้องขอรับ และนี่คือสิ่งที่รับมือยากที่สุดเลย”
เมื่อยอดฝีมือส่วนใหญ่เลือกลงมือเป็นหมู่ มันยังหมายความว่ายอดฝีมือผู้แยกตัวโดดเดี่ยวนั้นยิ่งอันตราย!
แน่นอน นี่หาได้รวมซูอี้ข้างกายเขาด้วยไม่
เมื่อคิดเช่นนี้ จ้าวเหลียนเฉิงพลันนำกระดานสำริดแผ่นหนึ่งซึ่งกำลังสั่นสะเทือนอยู่ออกจากแขนเสื้อ
เมื่อจ้าวเหลียนเฉิงใช้จิตสัมผัส สีหน้าของเขาพลันแปรเปลี่ยน “แย่จริง สหายเหล่านั้นของข้าถูกล้อมไว้แล้ว!”
ซูอี้ตะลึงไป เขตแดนสนามรบเพิ่งเริ่ม สหายของจ้าวเหลียนเฉิงก็ถูกล้อมโจมตีแล้วหรือ?
“ใต้เท้าทัศนาจารย์ ตาเฒ่าผู้น้อยคงอยู่คุยกับท่านต่อมิได้แล้ว ต้องไปช่วยสหายโดยเร็วที่สุดขอรับ!”
จ้าวเหลียนเฉิงประสานมือคำนับ
วูบ!
ว่าพลางกระตุ้นกระดานสำริดในมือ และเข็มทองแดงบนนั้นก็พลันหมุนคว้าง
ท้ายที่สุด เข็มทองแดงก็หยุดลง ณ ทิศทางหนึ่ง
จ้าวเหลียนเฉิงกำลังจะจากไปด้วยสีหน้าร้อนรน
ทิศที่เข็มทองแดงนั้นชี้ไปคือทิศที่ตั้งสันเขามังกรครามพอดิบพอดี
จ้าวเหลียนเฉิงตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างตื่นเต้นแสนปรีดา “ขอบคุณใต้เท้าทัศนาจารย์! ขอบคุณใต้เท้าทัศนาจารย์!”
ใช้ส้นเท้าคิด เขาก็รู้ว่าเมื่อมีใต้เท้าทัศนาจารย์อยู่ ไม่ว่าจะเผชิญศัตรูร้ายจากแห่งหนใด สรรพสิ่งก็ไร้กังวล!
“ไปกัน”
หนึ่งมือของซูอี้ถือไหสุรา ทะยานผ่านเวหา
จ้าวเหลียนเฉิงตามไป
เพียงหนึ่งชั่วดื่มชาหนึ่งถ้วย
ฟ้าดินไกลออกไปพลันปรากฏแดนดินรกร้างอันไพศาล
เมื่อซูอี้และจ้าวเหลียนเฉิงมาถึง มองปราดเดียวพวกเขาก็พบมหาสงครามใต้ท้องนภาไกลออกไปทันที