บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1479: ส้มหล่นมิตั้งตัว
ตอนที่ 1479: ส้มหล่นมิตั้งตัว
จำนวนของแต่ละฝ่ายในศึกแตกต่างกันมาก
ฝั่งหนึ่งมีหกคน รวมถึงสองบุรุษหนึ่งสตรีที่ถือซูอี้และจ้าวเหลียนเฉิงเป็นเหยื่อเมื่อกาลก่อน
ขณะที่อีกฝั่งมีเพียงสอง
ยิ่งกว่านั้น ทั้งสองยังบาดเจ็บสาหัสเลือดโซมกาย
เมื่อซูอี้และจ้าวเหลียนเฉิงเห็นศึกนี้จากไกล ๆ ทั้งสองก็มิอาจทานทน ถูกอีกฝ่ายจับตัวได้ตาม ๆ กัน!
ชายวัยกลางคนในชุดนักพรตเต๋าสีดำผู้หนึ่งนำขวดหยกหนึ่งออกมาสูบทั้งสองเข้าไปทันที
“พี่หลัวอวิ๋น พี่ฉางเหอ!!”
จ้าวเหลียนเฉิงตะโกนอย่างเดือดดาล สีหน้าเปี่ยมความกังวล
ทั้งสองผู้ถูกปราบลงนั้นคือสหายเขา!
“อย่าลนลาน พวกเขายังไม่ตาย”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย
เขามองปราดแรกก็เห็นว่าทั้งสองถูกศัตรูจับเป็น ชีวิตยังไม่อยู่ในอันตรายชั่วขณะนี้
“ปรากฏว่าเหยื่อสองคนนั้นตามพวกเขามา!”
ไกลออกไป ชายชราผมขาวเสสรวล
“ดูเหมือนสองคนนั้นจะเป็นพวกเดียวกับเหยื่อที่เราจับได้นะ”
ชายในอาภรณ์หยกกระซิบ ดวงตาวูบไหวด้วยจิตสังหาร
“ข้ามิคาดเลยจริง ๆ ว่าพวกเขาจะโง่พอนำตัวเองมาติดกับ หลังกาลผ่านแสนนาน ตัวตนวิถีจุติสรวงจากจักรดาราตงเสวียนปวกเปียกเพียงนี้แล้วหรือ?”
สตรีชุดเขียวส่ายหน้าน้อย ๆ
“ในเมื่อเหยื่อทั้งสองถูกพวกเจ้าหมายหัวแล้ว ข้าจะให้พวกเจ้าจัดการกันเองนะ”
“ข้าขออย่างเดียวคือให้จับเป็น หลังเรื่องทั้งหมดจบลง ข้าจะขอให้ ‘ท่านเซียนปี้หนิง’ ปูนบำเหน็จให้เจ้า”
“ได้!”
“ขอบคุณศิษย์พี่!”
ชายชราผมขาว ชายในอาภรณ์หยกและสตรีชุดเขียวเผยความยินดี ดุจรอรับบำเหน็จจากท่านเซียนปี้หนิงมิไหวแล้ว
ทันใดนั้น ทั้งสามก็โจมตีซูอี้และจ้าวเหลียนเฉิงทันที
จ้าวเหลียนเฉิงเดิมเดือดดาล
ทว่ายามนี้เขาสงบลง
เขาอดเหลือบมองซูอี้ข้างกายมิได้ ทว่ากลับเห็นว่าอีกฝ่ายทำเพียงจิบสุราราวกับกำลังคิดบางอย่าง
เมินสามบุคคลที่โจมตีเข้ามาเสียสนิท
ท่าทีใจลอยนี้ทำให้หัวใจของจ้าวเหลียนเฉิงยิ่งเยือกเย็น
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในสายตาใต้เท้าทัศนาจารย์ คนทุกผู้ที่นี่หาสะดุดตาไม่!!
“หือ พวกเขามิหนี?”
“กลัวจนทึ่มไปแล้วหรือไร?”
“หากบางอย่างมิชอบมาพากล เงื่อนงำย่อมต้องมีซุกซ่อน ระวังตัวด้วย!”
…เมื่อพวกชายชราผมขาวทั้งสามสนทนา พวกเขาก็ใช้สมบัติของตนออกมากันแล้ว จิตสังหารคละคลุ้งทั่วร่าง ลงมือโจมตีสุดกำลัง
ชั่วขณะนั้น ซูอี้ถอนหายใจเบา ๆ แล้วส่ายหน้าเล็กน้อยอย่างหัวเสีย
ตู้ม!
หนึ่งกระบี่ หนึ่งหอก หนึ่งดาบ สามสมบัติวิญญาณวิถีจุติสรวงแหวกอากาศเข้ามา ทว่าพลันหยุดกึกลงตรงหน้าซูอี้สิบจั้ง
ราวกับถูกหัตถ์ใหญ่อันมิอาจมองเห็นข้างหนึ่งคว้าไว้มั่น!
หือ?
ทันใดก็เกิดระเบิดรุนแรง สมบัติวิถีจุติสรวงทั้งสามระเบิดแหลกเยี่ยงกระดาษ และพวกชายชราผมขาวทั้งสามก็ถูกฟาดกระเด็น บ้างกรีดร้อง บ้างกระอักเลือด บ้างซวนเซ
พวกเขาหันหลังเผ่นหนีด้วยสีหน้าหวาดผวา
ซูอี้โบกแขนเสื้อ
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
ร่างของพวกชายชราผมขาวทั้งสามระเบิดแหลกแทบพร้อมเพรียง เลือดเนื้อกระเซ็นทุกทิศทาง วิญญาณละล่องจาก
จ้าวเหลียนเฉิงอ้าปากค้าง
แม้เขาจะรู้อยู่แล้วว่าการกระทำของทั้งสามมิต่างจากรนหาที่ตาย เขาก็ยังตะลึงยามเห็นซูอี้กำจัดอีกฝ่ายในพริบตาอย่างเรียบง่ายอยู่ดี
“นี่…”
ไกลออกไป พวกชายวัยกลางคนในชุดคลุมนักพรตสีดำสังเกตเห็นความมิชอบมาพากล พากันหนาวสั่นกันถ้วนทั่ว
“ไป!”
ชายวัยกลางคนในชุดนักพรตสีดำตะโกนลั่น โคจรเคล็ดวิชาเผ่นหนีไปพร้อมพวกอีกสองคน
ทว่ายังไม่ทันก้าวได้สักก้าว แรงกดดันน่าสะพรึงกลัวหนึ่งก็พร่างพรม ผนึกร่างของพวกเขาไว้กับที่ทันที
อย่าว่าแต่หนี แค่ยกนิ้วสักนิ้วยังมิอาจ!
ชั่วขณะนั้น สีหน้าของพวกเขาทั้งหลายล้วนซีดขาว วิญญาณแทบหลุดลอย
ใช้เพียงอำนาจก็สยบพวกเขาสิ้นท่า นี่เป็นตัวตนร้ายกาจแบบใดกัน!?
ซูอี้ปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ คว้าขวดหยกจากมือชายวัยกลางคนชุดนักพรตสีดำ
แล้วเทลง
ทันใดนั้น สี่ร่างก็พุ่งออกมาจากในขวดหยก
นอกจากหลัวอวิ๋นและฉางเหอผู้ถูกสูบเข้าไปเมื่อครู่ ยังมีหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีผู้โชกเลือดบาดเจ็บสาหัส
“พวกเขาเป็นสหายเจ้าทั้งนั้นหรือ?”
ซูอี้ถาม
จ้าวเหลียนเฉิงรีบพยักหน้ากล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอรับ!”
“เจ้าดูแลพวกเขาก่อนนะ”
ซูอี้ออกคำสั่ง
“ขอรับ!”
จ้าวเหลียนเฉิงตอบรับ
“ผู้อาวุโสก็เห็นแล้วว่าข้าหาฆ่าเหยื่อเหล่านั้นไม่ ขอผู้อาวุโสรามือปล่อยข้าไปเถิด”
ชายวัยกลางคนในชุดนักพรตสีดำสูดหายใจยาวกล่าวเสียงลุ่มลึก “ข้ารับประกันว่าข้าจะไม่มีทางเป็นศัตรูกับท่านอีกในภายหน้า”
ซูอี้เมินวาจานั้นไป ถามเพียงว่า “การฆ่าศัตรูสั่งสมประวัติศึกได้ ไฉนเจ้าจึงคิดจับเป็น?”
วูบ!
ซูอี้ทำเพียงปาดมือเรียบ ๆ แล้วชายวัยกลางคนในชุดคลุมนักพรตก็แหลกสลายหายไป
ภาพนี้ทำให้ทั้งสองคนที่เหลือตัวสั่นระรัว สีหน้าเปี่ยมความหวาดกลัว
จักรดาราตงเสวียนมีตัวตนร้ายกาจในขอบเขตจิตทารกโผล่มาแต่ยามใด!?
“เจ้าตอบ”
ซูอี้กล่าวกับชายชราร่างเตี้ยในชุดดำ
บางทีอาจเพราะมีชายวัยกลางคนในชุดนักพรตเต๋าเป็นเยี่ยงอย่าง ชายชราชุดดำจึงรีบกล่าวว่า “ผู้อาวุโส เราทั้งหลายล้วนรับใช้ท่านเซียนปี้หนิง นางต้องการรวบรวมเกียรติภูมิเข้าสู่สนามรบแรกได้ในหนึ่งปีขอรับ!”
“หากช่วยท่านเซียนปี้หนิงกระทำการ เราก็จะได้รับบำเหน็จจากท่านเซียนปี้หนิง!”
จากวาจาของชายชราร่างเล็ก ในหมู่ยอดฝีมือขอบเขตจิตทารก ณ จักรดาราซีหาน ท่านเซียนปี้หนิงผู้นี้มิเพียงมีฐานะพิเศษสูงส่ง ยังมีภูมิหลังและความแข็งแกร่งร้ายกาจยิ่ง
เดิมที สตรีผู้นี้มีความสามารถก้าวสู่ขอบเขตรวมวิถีได้ ทว่านางกลับอดทนแสนนานเพื่อชิงมหาลาภ ‘ที่มาแห่งจิตทารก’ ในสนามรบที่สามของเขตแดนสมรภูมิยามปรากฏขึ้น!
เรื่องนี้ทำให้ซูอี้ประหลาดใจ มิคาดเลยว่าจะมีผู้คิดเหมือนกับเขา
“อันที่จริง ไม่ได้มีเพียงเราที่ล่าเหยื่อ แต่ยอดฝีมือจากขุมกำลังหลัก ณ จักรดาราเป่ยเยวียนและหนานหั่วเองก็ทำเช่นนี้เหมือนกัน”
อีกผู้กล่าวว่า “ท้ายที่สุด เหยื่อที่พวกเขาจับได้จะถูกส่งให้ตัวตนสูงสุดของแต่ละฝ่าย และตัวตนสูงสุดเหล่านั้นจะฆ่าพวกเขาเพื่อเร่งสั่งสมเกียรติประวัติ”
“อย่างนี้เอง”
ซูอี้พยักหน้า เขาวาดมืออย่างเรียบง่าย และสองศัตรูที่เหลืออยู่ก็ร่างสลายตายลงทันที
เมื่อเห็นเรื่องทั้งหมดนี้ จ้าวเหลียนเฉิงและเหล่าสหายผู้ได้รับความช่วยเหลือก็ตะลึงไป รู้สึกแสนยินดียิ่ง
เพราะถึงอย่างไร หากครานี้ไร้ซูอี้ช่วยเหลือ พวกเขาก็คงถูกส่งให้เซียนปี้หนิง ถูกเข่นฆ่าเป็นเกียรติประวัติต่ออีกฝ่ายเยี่ยงเหยื่อ!
“ขอบคุณใต้เท้าทัศนาจารย์!”
จ้าวเหลียนเฉิงและพรรคพวกล้วนก้าวเข้ามาขอบคุณอย่างซาบซึ้งตาม ๆ กัน
“เงยหน้าขึ้นเถอะ มิเป็นไร”
ซูอี้ว่า “ปีหน้าจากนี้ ต้องพึ่งตนเองกันแล้วนะ”
กล่าวจบ เขาก็หันหลังจากไป
เมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของซูอี้หายลับแดนไกลไป จ้าวเหลียนเฉิงและพรรคพวกล้วนแต่รู้สึกเหนือจริงเยี่ยงฝัน
“เฒ่าจ้าว เจ้าช่างสามารถนัก ขอให้ใต้เท้าทัศนาจารย์ลงมือได้ด้วย!”
บางผู้รำพึงราวกับต้องประเมินจ้าวเหลียนเฉิงใหม่
“ข้าไม่มีหน้าตาขนาดนั้นหรอก”
จ้าวเหลียนเฉิงรีบร้อนโบกมือ “เป็นเพราะใต้เท้าทัศนาจารย์เมตตาเราทั้งหลายซึ่งมาจากจักรดาราตงเสวียนเหมือนกัน และยื่นมือเข้าช่วยอย่างมีคุณธรรมต่างหาก!”
“ในอดีต ข้าคิดเพียงว่าใต้เท้าทัศนาจารย์มีอุปนิสัยเยือกเย็นรักสันโดด มิรังเกียจจะรวมกลุ่มกับเราตาสีตาสา แต่มิคาดเลยว่าใต้เท้าทัศนาจารย์จะยังมีหัวใจพระโพธิสัตว์อีกด้วย!”
บางผู้พึมพำ
“หัวใจพระโพธิสัตว์อันใด? เมื่อครู่ผู้ช่วยชีวิตเราเป็นโพธิสัตว์หรือไร? หากครานี้ข้ารอดจากเขตแดนสมรภูมิได้ ข้าจะสร้างรูปเคารพให้ใต้เท้าทัศนาจารย์ให้ได้!”
บางผู้ประกาศลั่น
ขณะสนทนา พวกเขาล้วนจากไปตาม ๆ กัน
……
เรื่องราวเล็กน้อยนี้ ซูอี้หาสนใจไม่
กาลต่อจากนั้น เขาเร่งรุดไปยัง ‘สันเขามังกรคราม’
กล่าวกันว่านักล่าที่ดีที่สุดมักปรากฏโฉมในฐานะเหยื่อ
ซูอี้หามีเจตนาล่าผู้อื่นไม่
ทว่าในเมื่อเขาเลือกลงมืออย่างโดดเดี่ยว ในสายตาผู้อื่น เขาจึงกลายเป็นเหยื่ออันล่าได้ง่ายที่สุด
ดังนั้นตลอดทางเรื่อยมา ซูอี้จึงพบอุปสรรคขวางหนแล้วหนเล่า
พวกเขาแทบทั้งหมดเป็นศัตรูจากจักรดาราเป่ยเยวียน จักรดาราซีหานและจักรดาราหนานหั่ว!
ศัตรูทั้งหลายเหล่านี้ล้วนถูกสังหารสวนกลับอย่างไร้ข้อยกเว้น
ก่อนตายตก พวกเขาล้วนดูแตกตื่น สีหน้าเหมือนถูกหลอก
กับดัก!
นี่มันกับดักชัด ๆ!
ใครเล่าจะคิดว่าเหยื่อคนเดียวจะกลายเป็นผู้เลิศล้ำไร้ปรานี ทำให้พวกเขาต้องจ่ายด้วยชีวิต?
อันที่จริง อย่าครหาว่าพวกเขาโง่เง่าเลย
มันเป็นเพราะซูอี้หามีเค้าการฝึกฝนบนร่างไม่ มิได้ต่างจากปุถุชนเลยสักนิดต่างหาก
แม้ศัตรูเหล่านั้นจะรู้ว่าผู้ที่พบพานในสนามรบที่สามล้วนแต่เป็นตัวตนในขอบเขตจิตทารกและมิถูกลวงหลอกก็ตาม
แต่เมื่อสู้กันจริง ๆ พวกเขาก็ได้เข้าใจลึกล้ำว่าความสิ้นหวังเป็นเช่นไร!
ไม่ว่าจะลงมือสุดกำลัง หยั่งเชิงอย่างระวัง หรือโจมตีอย่างเย็นชา
ท้ายที่สุดพวกเขาก็ตายด้วยมือซูอี้ในการโจมตีเดียว!
ไร้ข้อยกเว้นใด ๆ!
เพราะเหตุนี้ ศัตรูเหล่านั้นจึงไร้โอกาสเสียใจหรือหลบหนี
ท้ายที่สุด ความแข็งแกร่งของซูอี้ก็ร้ายกาจเกินไป
ในขอบเขตจิตทารก ผู้ที่ไม่เข้าใจข้อมูลของเขา ต่อให้ระแวดระวังรอบคอบเพียงไร ขอเพียงกล้าลงมือ พวกเขาก็จะตายตกแน่นอน
ระหว่างทาง ซูอี้ก็ได้พบยอดฝีมือจากจักรดาราตงเสวียนมาบ้าง
หลายผู้เป็นฝ่ายเข้ามาทักทาย วิงวอนอย่างถ่อมตัว หวังจะได้รับใช้อยู่ฝ่ายเดียวกับซูอี้
ทว่าพวกเขาล้วนถูกซูอี้ปฏิเสธ
หนึ่งเป็นเพราะเขามิคุ้นเคย และอีกหนึ่งคือเขาหาสนใจรวบรวมเกียรติประวัติไม่
สำหรับผู้อื่น การรวบรวมเกียรติประวัติจะทำให้พวกเขามีโอกาสไปยังสนามรบแรก ต่อสู้ชิงโอกาสเข้าสู่โลกเซียน
ทว่าสัจธรรมมักจะน่าขันเสมอ
เมื่อซูอี้สัญจร ศัตรูที่เขาล่าระหว่างทางทำให้เกียรติประวัติของเขาเพิ่มพูนต่อเนื่อง…
เป็นส้มหล่นมิตั้งตัว
“อีกครึ่งชั่วยาม เราก็จะไปถึงสันเขามังกรคราม”
ซูอี้ครุ่นคิด
ทันใดนั้น หนึ่งเสียงพลันคำรามอย่างเดือดดาลท่ามกลางฟ้าดิน
“ขอเพียงจักรดาราตงเสวียนของข้ายังมีใต้เท้าทัศนาจารย์ ปีหน้าต่อไป พวกเจ้าจะตายหมดแน่!!”
เสียงนั้นสะท้านสะเทือนทั่วแดนดิน
ทันใดจากนั้น หนึ่งเสียงก็ระเบิดเสสรวล
“คำขู่ของเหยื่อก่อนตายนั้นน่าขันเสมอว่าไหม?”
“ทัศนาจารย์บ้าบออันใด ตลอดกาลผ่านมา ทุกศึกสงคราม ณ เขตแดนสนามรบ ยามใดบ้างที่พวกเจ้าจักรดาราตงเสวียนมิได้รั้งท้าย?”
“หากใต้เท้าทัศนาจารย์อันใดนั่นกล้าโผล่มา ข้ารับปากจะสะบั้นหัวเขาให้!”
………………..