บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 148 ตั๊กแตนย่อมไม่อาจหยุดช้าง
ตำหนักวิจิตรบรรเลง
เสียงพิณไพเราะดังแว่วจากภายใน ขับกล่อมผู้คนให้มัวเมา
เมื่อมองจากระยะไกล บนชั้นสองของตำหนักวิจิตรบรรเลงขณะนี้เต็มไปด้วยแสงไฟสว่างไสว ทั้งยังมีเงาวาบไหวซึ่งชัดเจนว่ามีผู้คนอยู่ภายใน
“คุณชายซู ขณะนี้ฉาจิ่นกำลังเล่นพิณให้แขกผู้มีเกียรติของเราอยู่ หากท่านไปที่นั่นอย่างบุ่มบ่าม ข้าเกรงว่าปัญหาจะเกิดแก่ตัวท่าน”
ยามเดินใกล้ที่หมาย ฟ่างซิวจึงแสดงท่าทีลำบากใจและพูดด้วยเสียงต่ำว่า “หรืออย่างน้อย คุณชายช่วยปล่อยผู้น้อยก่อนจะได้หรือไม่ ผู้น้อยจะได้ไปแจ้งเตือนให้แขกด้านในตัดสินใจก่อน”
ซูอี้ปล่อยไหล่ของฟ่างซิว ก่อนจะเอ่ยคำออกอย่างเฉยชา “อย่าได้ลำบาก ซูผู้นี้จะเข้าไปด้วยตนเอง”
หลังจากจบประโยค ซูอี้ก็เดินตรงดิ่งเข้าไปที่ตำหนักวิจิตรบรรเลง
หลังจากหลุดพ้นอุ้งมือของซูอี้ ฟ่างซิวถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่เมื่อนางเห็นการกระทำของอีกฝ่าย นางก็ตื่นตระหนกขึ้นอีกคราและรีบไล่ตามเขาไป
“คุณชาย ท่านไม่อาจบุกเข้าไปในสถานที่แห่งนี้ได้!”
ฟ่างซิวลดเสียงลง ถ้อยคำกล่าวออกอย่างกังวลใจ “ผู้น้อยขอไม่ปิดบังต่อคุณชาย ต่อให้บิดาของนายน้อยหยวนอยู่ที่นี่ เขาก็ยังไม่มีสิทธิ์รุกล้ำเข้าไป… ห… หา…”
แลเห็นซูอี้แสร้งเป็นหูหนวก ฟ่างซิวกัดฟันกรอดด้วยความโกรธ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความรำคาญ
“ข้าต้องอธิบายให้แขกผู้สูงศักดิ์ด้านในฟังให้กระจ่าง ว่าเป็นคนผู้นี้ที่ยืนกรานจะเจอฉาจิ่น ข้าจะต้องไม่ปล่อยให้ปัญหานี้พาดพิงมาถึงข้า!”
หลังจากสูดหายใจเข้าลึก ฟ่างซิวสงบสติอารมณ์และไล่ตามซูอี้อีกรอบ
ด้านนอกประตูบนชั้นสอง มีร่างสี่ร่างซึ่งแผ่กลิ่นอายอันแรงกล้า แต่ละคนล้วนเผยสีหน้าขึงขังประหนึ่งเตือนว่าอย่าได้เข้ามา
ทว่า ทันทีที่พวกเขาเห็นซูอี้ ทั้งสี่คนต่างตกตะลึง แสดงความประหลาดใจ
เมื่อเห็นเช่นนี้ ฟ่างซิวที่ไล่ตามมาพอดีจึงรีบอธิบายอย่างร้อนรน “เรียนนายท่านทั้งหลาย คุณชายผู้นี้รับฟังมาว่าฉาจิ่นอยู่ที่นี่ และยืนกรานที่จะมาพบนาง ผู้น้อยพยายามห้ามปรามแล้วแต่เขาไม่ฟังเลย… ”
อย่างไรก็ตาม หลังจากสิ้นเสียงประโยคนี้ ฉากอัศจรรย์กลับปรากฏแก่สายตา
คนสี่คนที่ประจำการอยู่นอกประตูห้องเปลี่ยนท่าทางเป็นโค้งคำนับ ให้บุรุษหนุ่มรุ่นเยาว์เกือบคราวลูก “เป็นเกียรติยิ่งที่ได้พบคุณชายซู!”
ริมฝีปากแดงของฟ่างซิวอ้าออกอย่างไม่รู้ตัว ดวงตาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ “?!”
“ที่แท้เป็นพวกเจ้า”
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เช่นนั้นแล้ว แขกที่อยู่ภายในคือโจวจือหลีไม่ผิดกระมัง?”
กลุ่มคนทั้งสี่หน้าประตู เป็นข้าราชบริพารส่วนตัวของโจวจือหลี โดยมีผู้นำคือจางตั้ว
“ไม่ผิดแล้ว”
จางตั้วพยักหน้า เขายังสับสนเล็กน้อย ในใจไม่คาดฝัน บุคคลเช่นซูอี้… ชมชอบในสถานที่อโคจรแบบนี้ได้อย่างไร
ซูอี้ไม่เอ่ยคำอะไรอีก และผลักประตูก่อนจะเข้าไป
แน่นอน จางตั้วและคนอื่นไม่กล้าห้ามปราม แม้แต่องค์ชายหกยังต้องนอบน้อมต่อบุรุษหนุ่มลึกลับผู้นี้ พวกเขาจะกล้าดีอย่างไรไปหยุดยั้งไว้?
ทางด้านฟ่างซิว ยิ่งเห็นยิ่งเต็มไปด้วยคำถาม บุรุษผู้นี้เป็นใครกันแน่?
ไม่รู้ว่าเพราะความอยากรู้หรืออารมณ์อื่นที่ปั่นป่วน นางก็เดินตามเขาไปโดยไม่รู้ตัว
ในห้องโถงที่โอ่อ่าและกว้างขวาง โจวจือหลีอยู่ในชุดหรูหรากำลังหนุนศีรษะอยู่บนขาอันเรียบเนียนดั่งของสตรีนางหนึ่งซึ่งเอนกายอย่างเกียจคร้าน
ด้านหนึ่ง มีสาวใช้แสนสวยกำลังชงชาและรินสุรา
ไม่ไกลนัก ฉาจิ่นแต่งกายด้วยชุดกระโปรงยาวเรียบง่ายแต่งามสง่า นิ้วยาวเรียวของนางค่อย ๆ กรีดกรายไปตามสายพิณที่ด้านหน้า ด้วยท่วงท่าที่ลื่นไหล
โจวจือหลีเหม่อมองไปยังสตรีที่น่าทึ่งซึ่งกำลังเล่นพิณอยู่ไม่ไกลนัก ทั้งร่างกายและจิตใจปลอดโปร่ง ไหลล่องไปกับเสียงพิณ
“นายท่านโปรดดื่ม”
สาวใช้ยื่นจอกสุราด้วยมือทั้งสองข้าง
โจวจือหลีรับจอกสุรามา ตั้งใจว่าจะดื่มรวดเดียวจนหมด
ทันใดนั้น ประตูกลับถูกผลักเปิดออก
เสียงพิณในห้องโถงหยุดลงกะทันหัน บรรยากาศอันรื่นรมย์พังทลายลงทันที
โจวจือหลีขมวดคิ้ว แสดงถึงความโกรธ
แต่ยามเห็นร่างผู้บุกรุกเดินเข้ามา นิ้วของเขาสั่นระริกกระทั่งสุราในจอกยังหกออก ร่างกายพลันลุกขึ้นนั่งโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “ซ… คุณชายซู?”
สตรีที่อยู่ด้านข้างโจวจือหลีขมวดคิ้ว เนื่องจากไม่อาจระงับความเจ็บปวด ปรากฏว่าเมื่อโจวจือหลีนั่งตัวตรง มือใหญ่ของเขาได้กดที่ขาอ่อนของนางโดยไม่ได้ตั้งใจ
ทว่า นางเลือกจะอดทน ไม่เอ่ยบ่นแม้เพียงครึ่งคำ
“ดูท่า เจ้ากำลังสำราญไม่น้อย”
ซูอี้กวาดสายตามองทั่วทั้งห้องโถง ถ้อยคำกล่าวออกอย่างใจเย็น
โจวจือหลีรีบลุกขึ้นยืนและเอ่ยอย่างเขินอาย “ครึ่งวันที่ผ่านมาข้าทำธุระจนแทบไม่ได้หยุดพัก ค่ำนี้จึงแวะเวียนมาพักผ่อน ไม่นึกเลยว่าคุณชายซูจะได้มาเห็นภาพน่าขบขันของข้าเช่นนี้”
“ผู้น้อยคารวะคุณชายซู”
ไม่ไกลนัก ฉาจิ่นยืนขึ้นเช่นกันเพื่อทักทาย ร่องรอยของความตื่นตระหนกแวบผ่านระหว่างคิ้วและความระแวดระวังจาง ๆ ปรากฏขึ้นในส่วนลึกของดวงตาคู่งาม
นางไม่คิดว่าจะพบซูอี้ที่นี่
เมื่อเห็นฉากนี้ ฟ่างซิวที่ตามมา รู้สึกทั้งปากคอแห้งผาก หนังศีรษะชาไม่อาจควบคุม ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าบุรุษหนุ่มที่บุ่มบ่ามผู้นี้มีสถานะไม่ธรรมดาจนน่าขนลุก!
แม้แต่คุณชายผู้สูงศักดิ์สุดจะพรรณนาจากนครหลวงอวี้จิง ยังแสดงท่าทางประหม่าเมื่อเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย!
สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ฉาจิ่นดูเหมือนจะจำเขาได้เช่นเดียวกัน…
“ออกไปเสีย ข้ากับฉาจิ่นมีเรื่องต้องคุยกันส่วนตัว”
การแสดงออกของซูอี้นั้นราบเรียบ
โจวจือหลีตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงโบกมือทันที “พวกเจ้าทุกคนรีบออกไปเสีย หากไม่มีคำสั่งข้า ห้ามผู้ใดเข้ามาโดยพลการ!”
หลังจากได้ยินคำสั่ง สาวงามแปดคนและกลุ่มสาวใช้ในห้องโถงต่างพากันก้มศีรษะและคำนับ จากนั้นจึงรีบออกไป
แม้แต่ฟ่างซิวก็ไม่กล้าที่จะอยู่ต่ออีกต่อไป นางหันหลังและจากไปอย่างรู้ความ
“เจ้าก็ออกไปด้วย”
ซูอี้เหลือบมองที่โจวจือหลี
โจวจือหลีตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเผยยิ้มกระอักกระอ่วน “เช่นนั้น ข้าจะไม่รบกวนคุณชายซูและฉาจิ่นแล้ว”
สิ้นประโยค เขาหันหลังเดินจากไปทันที
ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่แม้แต่จะเหลียวมองไปทางฉาจิ่นเพื่อเอ่ยลา
แม้ว่าเขาจะหมกมุ่นกับความงามของอีกฝ่าย และนิยมชมชอบในฝีมือเล่นพิณของนาง
แต่ทันทีที่เขาสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างไม่ชอบกล เขาจึงจากไปทันทีโดยไม่ลังเล
“คุณชาย มาที่นี่เพื่อคิดบัญชีกับข้าอย่างนั้นหรือ?”
เมื่อไม่มีบุคคลภายนอกอีกแล้ว ฉาจิ่นจึงไม่คิดปิดบังสิ่งใดอีกต่อไป การแสดงออกของนางแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา
“เมื่อเช้านี้ มีคนลอบมาหาข้าพร้อมกับยันต์ดาบลึกลับ ข้าเชื่อว่าเจ้ารู้ ใครเป็นคนโจมตีซูผู้นี้”
ซูอี้แสดงออกอย่างราบเรียบ “เรียกให้คนผู้นั้นออกมาหรือบอกข้าว่าเขาอยู่ที่ใด และข้าจะไม่เอาความต่อตัวเจ้า ไม่เช่นนั้น ข้าสัญญาว่าแม้เจ้าไม่ตายแต่ก็ต้องทุกข์ทนไม่ต่างกัน”
ฉาจิ่นหายใจเข้าลึก ก่อนจะเอ่ยคำด้วยท่าทางสงบ “ในเมื่อคุณชายไม่อ้อมค้อม งั้นข้าผู้นี้จะขอเอ่ยอย่างตามตรง ศิษย์พี่ของข้าจากไปตั้งแต่เมื่อยามสาย หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ขณะนี้เขาคงเหยียบย่างเข้าเขตแดนของเแคว้นกุ่นเป็นที่เรียบร้อย”
“หลบหนี?” ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย
เขาไม่คิดเลยว่า บุคคลผู้สามารถใช้สมบัติลับดาบยันต์จะขี้ขลาดได้ขนาดนี้
ตาของฉาจิ่นเผยซึ่งความซับซ้อน ก่อนจะถอนหายใจเบา “กระทั่งสมบัติลับเช่นนั้นก็ยังไม่อาจทำร้ายคุณชายได้ หากเปลี่ยนเป็นข้าแล้ว ข้าเกรงว่าคงจะเลือกหนีเฉกเช่นเดียวกับศิษย์พี่”
ซูอี้ถามกลับ “เช่นนั้นทำไมเจ้าไม่หนี?”
ริมฝีปากสีชมพูของฉาจิ่นกระตุกเล็กน้อย จากนั้นนางจึงกล่าวคำอย่างช่วยไม่ได้ “ผิดแล้วคุณชาย ไม่ใช่ไม่หนีแต่หนีไม่ทันต่างหาก ข้าเก็บสัมภาระของตนเองเรียบร้อยแล้วและวางแผนที่จะไป แต่โดยไม่คาดคิด องค์ชายหกกลับปรากฏกายขึ้นโดยไม่บอกกล่าว ข้าจึงต้องมาบรรเลงพิณให้เขาฟัง เพราะหากจากไปอย่างกะทันหัน ความพยายามที่ผ่านมาของข้าคงสูญสิ้น”
หลังจากหยุดชั่วคราว นางยิ้มอย่างขมขื่น “ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ใดจะคาดคิดว่าคุณชายซูจะมารวดเร็วถึงเพียงนี้ เพียงหลังจากสังหารหมู่ผู้คนในตอนเช้า ยามค่ำท่านก็มาปรากฏกายที่นี่แล้ว…”
ซูอี้ฉงนใจอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “จากสีหน้าของเจ้าเวลานี้ ดูเจ้าไม่เกรงกลัวการแก้แค้นของข้าแม้แต้น้อยเลยหรือไร?”
ฉาจิ่นสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะกล่าวถ้อยคำด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ศิษย์พี่ของข้าหนีไปแล้ว หากตัวข้าตกตายด้วยดาบของท่าน ศิษย์พี่ของข้าย่อมล้างแค้นให้ข้าอย่างแน่นอน แม้ศิษย์พี่ของข้าจะไม่อาจเป็นคู่ต่อกรของท่านได้ แต่กลุ่มกองกำลังเบื้องหลังของเรานั้นถูกนำโดยเทพเซียนเดินดิน รู้เช่นนี้ ท่านยังจะกล้าสังหารข้าอีกงั้นหรือ?”
หลังจากพูดจบประโยคยาว ฉาจิ่นจิบชาอย่างผ่อนคลาย
หากเป็นคนฉลาด ยามได้ยินคำเหล่านี้ต้องตระหนักได้ว่าผลที่ตามมาจะร้ายแรงเพียงใด
และนี่คือเหตุผลที่นางกล้าเผชิญหน้ากับซูอี้แม้อีกฝ่ายจะภัยคุกคามอันใหญ่หลวง
“สำนักวงเดือนใช่หรือไม่?” ซูอี้ถาม
“ไม่ผิด”
ฉาจิ่นพยักหน้า “สำนักยุทธ์อันดับหนึ่งแห่งต้าเว่ย มีเพียง สำนักดาบมังกรเร้นแห่งต้าโจวเท่านั้นที่อาจเทียบเทียมได้”
ยามพูดประโยคนี้ ดวงตาของฉาจิ่นเผยซึ่งความหยิ่งผยอง
ในฐานะศิษย์จากสำนักซึ่งมีเทพเซียนเดินดินดำรงอยู่ นางจึงเชื่อมั่นว่าไม่มีผู้ใดกล้าทำอันตรายต่อตัวนาง
ทว่าซูอี้กลับหัวเราะและถามกลับ “เจ้ากำลังข่มขู่ข้าอย่างนั้นหรือ?”
พูดจบเขาเดินตรงเข้าหาฉาจิ่น
ตาของฉาจิ่นหรี่ลง ถ้อยคำกล่าวออกอย่างเคร่งขรึม “คุณชายซู สิ่งที่ข้าเอ่ยเมื่อครู่หาใช่การขู่ขวัญไม่ ข้าเพียงอยากให้ท่านชั่งใจดูว่ามันคุ้มแล้ว แม้จะต้องยอมเสียหน้าถอยให้ข้าสักเล็กน้อย อย่างน้อยสำหรับข้า ข้าหาได้เต็มใจที่จะเป็นศัตรูของคุณชายไม่”
ซูอี้ยังคงเฉยชา “อย่าว่าได้แต่ตัวเจ้า แม้แต่สำนักที่เจ้าภาคภูมิใจนักหนายังไม่มีคุณสมบัติพอจะเป็นศัตรูของซูผู้นี้”
น้ำเสียงนั้นราบเรียบ แต่แฝงซึ่งความอหังการไม่แยแสต่อสรรพสิ่งทั้งปวงในโลกหล้า
สำนักเล็กจ้อยในโลกปุถุชนซึ่งแห้งแล้ง จะมีค่าคู่ควรเป็นศัตรูของเขา ซูเสวียนจวินได้อย่างไร?
ช่างน่าขำนัก!
เมื่อเห็นซูอี้เดินเข้ามาไม่ลดละ มีดสั้นคู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือของฉาจิ่นอย่างเงียบงัน มีดทั้งคู่โค้งราวกับจันทร์ข้างแรม มันดูคมกล้าโดดเด่นเห็นชัดว่าไม่ใช่ศาสตราธรรมดา
ซูอี้มองอย่างดูถูกเหยียดหยาม ถ้อยคำกล่าวอย่างเย้ยหยัน “ตั๊กแตนจะหยุดช้างได้อย่างไร?”
เคร้ง!
ทันใดนั้น เสียงดาบคำรามก้องกังวาน ซูอี้ชักดาบบงการฟ้าดินออกจากฝัก ก่อนจะเสือกแทงไปด้านหน้าประหนึ่งสายฟ้าฟาด
ฉาจิ่นหลบหนีโดยไม่ลังเล
ครั้งล่าสุดขณะไปเยือนเรือนเงียบสุขสงบ นางได้เห็นความน่าสะพรึงกลัวของซูอี้อย่างแจ่มชัด นางรู้ดีว่านางไม่ใช่คู่ต่อกรของอีกฝ่ายหากปะทะกันโดยตรง
ทว่า เรื่องราวกลับไม่เป็นดังคาดหวัง ดาบของซูอี้แม้คล้ายจะเรียบง่าย แต่แท้จริงกลับเหมือนตาข่ายฟ้าที่ขวางทางหลบหนีจนหมดสิ้น และนางไม่มีทางหลีกเลี่ยงมันได้พ้น!
ด้วยความสิ้นหวัง ฉาจิ่นตวัดมีดฟันสวนอย่างสุดแรง
เคร้ง!!
เสียงปะทะระหว่างดาบและมีดดังสนั่น ผลลัพธ์เผยออกในชั่วพริบตา ด้วยแรงปะทะมหาศาล ฉาจิ่นไม่อาจทานทนต่อความเจ็บปวดที่ข้อมือได้ เป็นผลให้มีดสั้นหลุดจากมือโดยไม่อาจควบคุม
โดยไม่รอให้นางตอบสนอง ซูอี้แทงดาบออกอีกหนึ่งครั้ง แต่เมื่อห่างจากคอนางเพียงหนึ่งนิ้ว คมดาบกลับหยุดกะทันหัน
แลเห็นเช่นนี้ ฉาจิ่นอ้าปากค้างด้วยความตกใจ
นี่เพลงดาบใดกัน ทำไมช่างน่ากลัวถึงเพียงนี้!?
ร่างกายที่บอบบางของนางสั่นสะท้าน ปากอ้าค้างไม่สามารถเอ่ยถ้อยคำใดออกได้ ความเย่อหยิ่งและความมั่นใจ ซึ่งเคยดำรงอยู่พังทลายราวกับฟองสบู่ ในใจขณะนี้เต็มไปด้วยความกลัวไม่รู้จบ
ยามเผชิญกับความแข็งแกร่งที่แท้จริง อุบาย แผนรับมือ หรือคำขู่ใด ๆ ล้วนเป็นเรื่องตลก
ไม่ว่าจะมีกลยุทธ์มากเพียงใด หรือคาดการณ์มามากสักเพียงใด ท้ายที่สุดแล้วชีวิตและความตายเป็นเรื่องของคมดาบเพียงเท่านั้น!
“ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราพบกัน ข้าเคยเอ่ยเตือนแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่าได้มายั่วยุข้า เหตุใดเจ้าถึงไม่รับฟัง? นี่ข้าควรพูดว่าเจ้าโง่เง่าหรือไร้สมองดี?”
ดวงตาของซูอี้ไม่แยแส มองฉาจิ่นราวกับว่าเขากำลังมองมดแมลงเพียงตัวหนึ่ง