บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1482: ผนวกกำลัง
ตอนที่ 1482: ผนวกกำลัง
ครึ่งวันต่อมา
ณ สันเขามังกรคราม
เซียนปี้หนิงยืนมองมาจากบนอากาศไกล ๆ
จากจุดนั้น มองเห็นได้ราง ๆ ว่ามีหุบเขาปกคลุมด้วยหมอกฮุ่นตุ้นและอสนีบาตบนสันเขามังกรคราม ทว่ามิอาจเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นบนหุบเหวนั้นได้
นางย่อมมิอาจมองหาผู้ฝึกตนอันแข็งแกร่งจากจักรดาราตงเสวียนผู้นั้นพบ
“เจ้ารู้ชื่อของเขาหรือไม่?”
เซียนปี้หนิงถามขึ้นเบา ๆ
เบื้องหลังของนางมีคนยืนอยู่ยี่สิบกว่าคน มีทั้งชายหญิง ทุกผู้ล้วนอยู่ในขอบเขตจิตทารก
“ข้าไม่ทราบขอรับ”
บางผู้ส่ายหัว ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความตกตะลึง “คนผู้นั้นร้ายกาจเกินไป เขาสังหารตัวตนในขอบเขตจิตทารกได้เพียงดีดนิ้ว ความแข็งแกร่งไม่อาจประเมินได้! ยามนั้น สหายของเราทั้งเจ็ดคนลงมือร่วมกัน ทว่าเพียงหนึ่งสะบัดแขนเสื้อก็กวาดพวกเขาตายเรียบขอรับ!”
คนผู้นั้นตัวสั่นงันงกเมื่อรื้อฟื้นภาพอันร้ายกาจนองเลือดนั้นขึ้นมาอีกหน
คิ้วงามของเซียนปี้หนิงขมวดหนักขึ้น
คนผู้นี้แข็งแกร่งเสียจนกล้ายึดครองวาสนาสูงสุดแห่งสนามรบที่สามไว้เพียงผู้เดียว!
คนผู้นี้คือใคร แข็งแกร่งเพียงใดกัน?
ต้องทราบว่าทุกสนามรบในเขตแดนสมรภูมินั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งจากจักรดาราใด การยึดครองโอกาสในสันเขามังกรครามไว้เพียงผู้เดียวนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย
ทว่ายามนี้ หนึ่งบุคคลจากจักรดาราตงเสวียนกลับยึดครองที่นี่ไว้ผู้เดียว แข็งแกร่งเกินไปอย่างเห็นได้ชัด!
“ท่านเซียน เราควรทำเช่นไรต่อหรือ?”
บางผู้เอ่ยถาม
แววตาของเซียนปี้หนิงสุขุมเยือกเย็น “คนผู้นั้นไม่เพียงฆ่าคนจากฝั่งเรา แต่ยังล่วงเกินขุมกำลังใหญ่อื่น ๆ เช่นกัน ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่มีทางยอมปล่อยไป!”
ทันทีที่นางกล่าวเช่นนี้ ใต้ท้องนภาไกลออกไปก็ปรากฏแสงสว่างเจิดจรัสทะยานเข้ามา
เป็นกลุ่มยอดฝีมือจากจักรดาราเป่ยเยวียน พวกเขามีกันยี่สิบกว่าคน บรรยากาศรอบกายในยามนี้ดูดุดันและแข็งกร้าว
ผู้นำเป็นชายร่างกำยำหัวล้านในอาภรณ์นักรบ ถือค้อนทองแดงด้ามยาวที่ปกคลุมด้วยสายฟ้าอสนีบาต
สั่วอวิ๋นซาน!
ตัวตนระดับผู้นำของกลุ่มเต๋าโบราณที่มีความไร้เทียมทาน มีระดับการฝึกฝนอยู่ในขอบเขตจิตทารก ฐานะของเขาในจักรดาราเป่ยเยวียนนั้นสูงส่งยิ่ง
หลังจากกลุ่มของสั่วอวิ๋นซานมาถึง พวกเขาก็มิได้ลงมือทันที แต่หยุดลงบนอากาศ ซึ่งอยู่ห่างจากพวกเซียนปี้หนิงไม่ไกลนัก
“สหายเต๋าทั้งหลายเองก็มาล่าคนบ้าจากจักรดาราตงเสวียนนั่นเหมือนกันหรือ?”
สั่วอวิ๋นซานกล่าวกับเซียนปี้หนิง
เซียนปี้หนิงพยักหน้าน้อย ๆ
ในฐานะผู้นำ ไม่ว่าจะเป็นสั่วอวิ๋นซานหรือเซียนปี้หนิงล้วนคาดเดาที่มาของอีกฝ่ายได้
สั่วอวิ๋นซานกล่าวว่า “เรื่องนี้ เราร่วมมือกันได้นะ”
“ร่วมมือ?”
ดวงตาของเซียนปี้หนิงวูบไหว “เราควรตรวจสอบสถานการณ์กันก่อน จากนั้นค่อยพูดเรื่องร่วมมือกันก็ยังมิสายกระมัง”
สั่วอวิ๋นซานคิดสักครู่และกล่าวว่า “ย่อมได้”
ชั่วขณะนั้น บรรยากาศทั่วทั้งแดนดินเงียบงันและอึมครึม
“พวกคนจากจักรดาราซีหานระแวดระวังกันมาก”
บางผู้ส่งกระแสปราณบอกกับเซียนปี้หนิง
“กล่าวกันว่าเพียงชั่วพริบตา คนจากจักรดาราตงเสวียนผู้นั้นก็สังหารยอดฝีมือขอบเขตจิตทารกไปยี่สิบหกคน ง่ายดายเพียงการโจมตีเดียว”
เซียนปี้หนิงรำพึงเบา ๆ “เมื่ออยู่ต่อหน้าตัวตนร้ายกาจเช่นนั้น ใครเล่าจะกล้าปล่อยปละละเลย? ฝ่ายเราเสียหายหนักหนา หากมิรู้จักจดจำบทเรียนก็คงโง่งมเต็มที”
ขณะสนทนาอยู่ ยอดฝีมืออีกกลุ่มก็ปรากฏกายขึ้น!
พวกเขามาจากจักรดาราซีหานเช่นกัน มีทั้งสิ้นสิบกว่าคน
ผู้นำเป็นชายสวมมงกุฎ ร่างสวมทับด้วยอาภรณ์โบราณ ในมือถือแส้นักพรต
นามของเขาคือเว่ยฮั่วหยาง
ตัวตนขอบเขตจิตทารกผู้หาอ่อนแอไปกว่าสั่วอวิ๋นซานทั้งด้านความแข็งแกร่ง เกียรติภูมิและตัวตนไม่!
“สหายเต๋าเว่ย เราผนวกกำลังเข้าสู่หุบเหวนั่นกันดีหรือไม่?”
สั่วอวิ๋นซานเอ่ยถาม
เว่ยฮั่วหยางกวาดสายตามองคนทุกผู้และกล่าวว่า “ข้าเห็นได้ว่าทุกคนเข้าใจความน่ากลัวของบุคคลลึกลับจากจักรดาราตงเสวียนผู้นั้นแล้ว ในความคิดข้า เราควรรอให้คนจากฝ่ายอื่นมาถึงก่อน แล้วค่อยคุยกันเรื่องผนวกกำลังจะดีกว่า”
มิเพียงปลอดภัย ยังเป็นการระแวดระวังถึงขีดสุด!
เพียงยอดฝีมือขอบเขตจิตทารกของสามฝ่ายนี้รวมกันก็เกือบหกสิบคนแล้ว!
ในหมู่พวกเขายังมีตัวตนไร้เทียมทานในขอบเขตเดียวกันอย่างสั่วอวิ๋นซาน เซียนปี้หนิงและเว่ยฮั่วหยางรวมอยู่ด้วย
หากสามคนนี้ร่วมมือกันตั้งแต่ก่อนหน้านี้ พวกเขาจะสามารถกวาดล้างสนามรบที่สามได้!
ทว่ายามนี้ ทั้งสามฝ่ายกลับเลือกรอดูไปก่อน!
ไม่มีผู้ใดคิดจะใช้ตนเองเป็นหนูลองยา ประการแรกเพราะกลัวกลายเป็นแป้นธนู และอีกประการคือหวาดกลัวซูอี้เสียจนมิคิดกระทำการบุ่มบ่าม
นอกจากนั้นเหตุผลหนึ่งที่สำคัญกว่าก็คือ ยังมีฝ่ายอื่นที่ยังไม่ปรากฏตัว!
ตาอินกับตานาทะเลาะกัน ตาอยู่โกยประโยชน์ ตั๊กแตนจับจักจั่น หารู้ถึงนกขมิ้นที่อยู่เบื้องหลังไม่ ในสนามรบที่สามนี้ ต่างฝ่ายต่างก็เป็นคู่แข่งทั้งสิ้น!
หากไม่ใช่เพราะซูอี้ เหล่ายอดฝีมือจากขุมกำลังต่าง ๆ คงมิแคล้วต่อสู้ประชันเพื่อเกียรติประวัติเป็นแน่!
กาลเวลาเคลื่อนผ่าน
ไม่นานนัก ขุมกำลังอีกสามกลุ่มก็ปรากฏขึ้นพร้อมกัน
สองฝ่ายมาจากจักรดาราเป่ยเยวียน
ส่วนอีกหนึ่งมาจากจักรดาราซีหาน
ในสามฝ่ายนี้ น้อยที่สุดมีคนสิบเศษ มากสุดมียี่สิบกว่าคน
เมื่อรวมกับสามฝ่ายเดิมของเซียนปี้หนิง สั่วอวิ๋นซานและเว่ยฮั่วหยาง เพียงยอดฝีมือขอบเขตจิตทารกก็มีเป็นร้อย!
ทั้งสามฝ่ายที่มาใหม่ล้วนมีตัวตนไร้เทียมทานในขอบเขตจิตทารกอยู่ฝ่ายละหนึ่ง
พวกเขามีนามว่าเผิงหมิงเฉียว มู่ชิงฉี่และเหลยคง!
“ใครเล่าจะคิดว่าหลังจากเขตแดนสมรภูมิปรากฏขึ้นในโลกหล้าอีกครา วาสนาสูงสุดในสนามรบที่สามนี้จะถูกหนึ่งบุคคลจากจักรดาราตงเสวียนผูกขาดเพียงลำพัง?”
สั่วอวิ๋นซานรำพึง
ทันทีที่วาจานี้ถูกกล่าวขึ้น คนมากมายก็เห็นพ้อง
“ข้ามีข้อเสนอว่า พวกเราทั้งหกฝ่ายควรร่วมมือกัน ผู้ใดก็ตามที่เล่นตุกติกจะกลายเป็นศัตรูร่วมของเรา!”
เผิงหมิงเฉียวกล่าวอย่างดุดัน
คิ้วของเขาพาดเฉียงได้ทรง รูปร่างสูงดุจขุนเขา ดูทรงพลังและแข็งแกร่งยิ่ง
ต่อมา ทุกผู้ต่างหารือว่าจะรับมืออย่างไร
เป็นเรื่องขบขันหากจะกล่าวว่าทั้งหกฝ่ายนี้เดิมเป็นอริกัน ทว่ายามนี้ พวกเขากลับต้องเป็นพันธมิตรกันชั่วคราวเพียงเพื่อรับมือกับซูอี้ผู้เดียว!
เซียนปี้หนิงเงียบอยู่แต่ต้นจนจบ ทำให้ผู้คนมิอาจคาดเดาความคิดของนางได้
ไม่นานนัก ทุกผู้ก็หารือกันเสร็จเรียบร้อย
มู่ชิงฉี่กล่าวอย่างถอนใจ “พวกเราผนวกกำลังก็เพียงพอจะบดขยี้ทุกศัตรูในสนามรบที่สามนี้ได้ แต่ยามนี้เรากลับต้องจัดทัพไปจัดการกับคนผู้เดียวจากจักรดาราตงเสวียน หากเรื่องนี้แพร่ออกไป มิรู้เลยว่าจะกลายเป็นเรื่องขบขันเพียงใด”
วาจาของเขาทำให้หัวใจของหลายผู้คนว้าวุ่น
“ศัตรูแข็งแกร่งเกินไป ไม่มีการระแวดระวังใดมากไปหรอก”
เหลยคงกล่าวด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก
ทุกผู้พยักหน้า
ศัตรูในยามนี้ร้ายกาจเกินไปจริง ๆ หาไม่ พวกเขาหรือจะผนวกกำลังกัน?
“ไปกันเถอะ!”
สั่วอวิ๋นซานมิอาจอยู่เฉยได้อีก เขามองไปยังเซียนปี้หนิง “สหายเต๋า รบกวนแล้ว!”
ตามแผนการที่วางไว้ เซียนปี้หนิงจะเป็นแนวหน้า
“ได้!”
เซียนปี้หนิงพยักหน้า จากนั้นจึงทะยานไปสู่สันเขามังกรคราม
……
ด้านนอกทางเข้าสันเขามังกรคราม
ร่างของเซียนปี้หนิงปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ
มองปราดเดียว นางก็เห็นร่างผอมร่างหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ภายในหุบเหว
เขาเป็นชายผู้หนึ่งในชุดเขียว รูปลักษณ์หล่อเหลา สองตาหลับพริ้ม รวมจิตทำสมาธิดุจภิกษุเฒ่า
คนผู้นี้หรือที่เป็นเยี่ยงเทพเทวาป่าเถื่อน?
เซียนปี้หนิงประหลาดใจเล็กน้อย
นางสงบจิตใจ ขณะยืนอยู่นอกทางเข้าหุบเหวและกล่าวขึ้นว่า “ปี้หนิง ศิษย์แห่ง ‘บรรพตวิญญาณยอดนภา’ จากจักรดาราซีหานคารวะสหายเต๋า”
ซูอี้ลืมตาขึ้นมองเซียนปี้หนิงที่อยู่ด้านนอกหุบเหวอย่างเงียบงัน
สายตานั้นกระจ่างราบเรียบ แต่เมื่อถูกจ้องมองกลับทำให้เซียนปี้หนิงอึดอัด หัวใจระรัวสั่นด้วยความรู้สึกอันตรายเกินพรรณนา
ขณะเดียวกัน ห้านิ้วมือขวาของนางก็กำเข้าหากันเงียบ ๆ
“มีอันใดหรือ?”
ซูอี้กล่าว
เซียนปี้หนิงกล่าวด้วยใจที่สงบ “บริเวณสันเขามังกรครามแห่งนี้มียอดฝีมือนับร้อยจากหกขุมกำลังใหญ่อยู่ ในหมู่พวกเขามีกระทั่งผู้ไร้เทียมทานบางคน…”
ซูอี้กล่าวขัดโดยมิรอให้นางกล่าวจบ “เข้าประเด็นเลย”
ม่านตาของเซียนปี้หนิงหดตัวเล็กน้อย ท่าทางเรื่อยเฉื่อยของซูอี้ในยามนี้ดูทรงพลังยิ่ง!
เซียนปี้หนิงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “หากสหายเต๋ายินยอมถอยคนละก้าว ให้ข้าและยอดฝีมือจากหกขุมกำลังเข้ามาในหุบเหวนี้ เรื่องราวเก่าก่อนจะถือว่าแล้วกันไป”
ซูอี้แค่นหัวเราะ สีหน้ายังคงเฉยเมยเยี่ยงกาลก่อน “ยังมีอย่างอื่นหรือไม่?”
เซียนปี้หนิงสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวขึ้นว่า “หากสหายเต๋ามิยอมรามือ ข้าเกรงว่า หากสหายเต๋าคงมิอาจหยุดทุกผู้ได้”
วาจานั้นฟังดูสละสลวย ทว่าแฝงคำขู่เอาไว้อย่างชัดเจน
ซูอี้กล่าวด้วยแววตาลึกล้ำ “ข้าเห็นว่า แม้จะมีผู้แข็งแกร่งมากมาย เจ้าก็ยังกลัวอยู่ดี หาไม่ ไฉนต้องมาเจรจาแทนที่จะฆ่าฟันกันตรง ๆ”
เซียนปี้หนิงกล่าวโดยมิปฏิเสธ “สหายเต๋าแข็งแกร่งจนน่าพรั่นพรึง เพราะเหตุนี้ ข้ากับหกขุมกำลังใหญ่จึงต้องผนวกกำลังกันจัดการกับเจ้า”
ซูอี้พยักหน้า “ข้าแนะนำอย่างหนึ่ง อยากฟังหรือไม่?”
เซียนปี้หนิงว่า “ข้าขอฟังหน่อย”
ซูอี้กล่าวกับเซียนปี้หนิงด้วยแววตาห่างเหิน “หากมิอยากตาย คงจะดีที่สุดหากไม่มายุ่งกับข้า ทั้งเจ้าและคนอื่น ๆ ก็ด้วย”
เซียนปี้หนิงตกตะลึงราวไม่อยากเชื่อ
“ทั้งหมดมีแค่นี้แหละ จะทำอันใดก็เชิญ”
ซูอี้หลับตาลงอีกครั้ง
ใบหน้างามของเซียนปี้หนิงมืดทะมึนขึ้น อารมณ์ความรู้สึกบนสีหน้านั้นแปรเปลี่ยนอยู่ชั่วครู่
ดวงตาของนางหลุบลง แบมือขวาที่กำไว้ออก ยันต์ลับรูปทรงคล้ายมัจฉาตัวหนึ่งในมือข้างนั้นกำลังสั่นระรัวอยู่
ทันใดนั้น เซียนปี้หนิงก็เบนสายตามากล่าวกับซูอี้ที่อยู่ภายในหุบเหวอีกครั้งว่า “ข้าจะถ่ายทอดวาจาของสหายเต๋าคำต่อคำ”
กล่าวจบ นางก็หันหลังจากไป
ซูอี้นั่งนิ่งอยู่ภายในหุบเหว
ทว่ามียันต์ลับชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาอย่างเงียบงัน
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ลืมตาขึ้นแล้วเอื้อมหยิบยันต์ลับแผ่นนั้นขึ้นมา
ระหว่างทางกลับ ใบหน้างดงามของเซียนปี้หนิงวูบไหวราวกับกำลังกังวล
จนกระทั่งนางถอนหายใจยาวออกมา สีหน้าสุขุมขึ้น
เมื่อก้าวออกมานอกสันเขามังกรคราม นางก็พบกับเหล่ายอดฝีมือจากฝ่ายต่าง ๆ เซียนปี้หนิงก็กำลังจะเล่าการเจรจาระหว่างนางกับซูอี้
สั่วอวิ๋นซานกล่าวพร้อมกับแย้มยิ้มว่า “สหายเต๋า ข้าเห็นการสนทนาระหว่างเจ้าและคนบ้านั่นแล้ว มิต้องพูดซ้ำหรอก”
เซียนปี้หนิงตะลึงไป ก่อนจะมีโทสะพลุ่งพล่านในใจ นางกล่าวอย่างเย็นชาด้วยตระหนักรู้ทันที “ก่อนหน้านี้ เจ้าแอบดูอยู่หรือ!?”
………………..