บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1483: เดียวดายเยี่ยงมหาพายุหิมะ
ตอนที่ 1483: เดียวดายเยี่ยงมหาพายุหิมะ
ไม่ว่าผู้ใดก็เห็นโทสะของเซียนปี้หนิงได้
สั่วอวิ๋นซานกล่าวขออภัย “อย่าเข้าใจผิด ไม่ใช่ว่าข้ามิเชื่อเจ้า แต่นี้เป็นครั้งแรกที่เราหกฝ่ายร่วมมือ จึงต้องระวังไว้ก่อน”
เว่ยฮั่วหยางกล่าวอย่างเฉยเมย “มีบางเรื่องที่เราต้องระวังกันจริง ๆ เพราะถึงอย่างไร หากมีผู้เลือกทรยศระหว่างเจรจาขึ้นมา การกระทำต่อไปของเราก็มีแต่ต้องตั้งรับสถานเดียว”
“ทรยศ?”
ดวงตาของเซียนปี้หนิงเย็นเยียบ “ในเมื่อพวกเจ้ามิเชื่อข้า พวกเราก็ควรถอนตัวมิถ่วงแข้งถ่วงขาพวกเจ้าดีกว่า”
กล่าวจบ นางก็กำลังจะพายอดฝีมือฝ่ายนางจากไป
เห็นเช่นนี้ คนทุกผู้ที่นี่ล้วนออกมาเจรจาไกล่เกลี่ย
ทว่าสุดท้าย เซียนปี้หนิงก็มิยอมญาติดี ดึงดันจะตีจาก
สิ่งนี้ทำให้สีหน้าคนทุกผู้มืดหมอง
“หากเป็นเช่นนั้น หลังเราฆ่าฆาตกรนั่นได้ พวกเจ้าทั้งฝ่ายจะมิสามารถเข้าหุบเหวนั่นได้!”
สั่วอวิ๋นซานกล่าวอย่างดุเดือด
เซียนปี้หนิงสูดหายใจลึก ๆ ทว่าท้ายที่สุดก็ไร้วจี พาทุกผู้ในฝ่ายนางจากไป
“สตรีผู้นี้… มีบางอย่างผิดปกติ!”
เมื่อเห็นกลุ่มของเซียนปี้หนิงตีจาก เว่ยฮั่วหยางก็ขมวดคิ้ว “พวกเขาล้วนตอบรับร่วมมือโจมตีด้วยกัน ทว่าหลังพบคนจากจักรดาราตงเสวียนผู้นั้น นางก็เปลี่ยนใจ จะเอาแต่ใจเกินไปแล้ว!”
“ต่างผู้ล้วนต่างแรงผลักดัน ไม่ต้องไปบังคับกันหรอก”
เหลยคงกล่าวอย่างเย็นชา “ภายหน้า นางและพรรคพวกนอกจากจะไม่อาจเข้าไปรวบรวมที่มาแห่งจิตทารกในหุบเหวแล้ว ยังกลายเป็นศัตรูร่วมของเราทั้งผองด้วย!”
ดวงตาของมู่ชิงฉี่เรืองประกายมาดร้าย “ถูกต้อง ต้องเป็นเช่นนั้น! อยากนั่งบนภูดูเสือสู้กันหรือ? งั้นก็ต้องชดใช้มา!”
สั่วอวิ๋นซานกล่าวอย่างลุ่มลึก “อย่ามัวเสียเวลา สหายเต๋าเหลยคง ตาเจ้าลงมือแล้ว”
เหลยคงรับปาก
……
“ท่านเซียน เราจะยอมแพ้เช่นนั้นจริง ๆ หรือ?”
หลังออกจากสันเขามังกรครามได้ไม่นาน ลูกน้องผู้หนึ่งของเซียนปี้หนิงก็อดถามมิได้
คนอื่น ๆ เองก็มองมายังเซียนปี้หนิงอย่างงุนงง
คนผู้นั้นจากจักรดาราตงเสวียนฆ่าพวกพ้องของพวกเขา และกระทั่งยึดครองแดนวาสนาลึกเข้าไปในสันเขามังกรครามลำพัง
เดิมที พวกเขาควรร่วมมือกับฝ่ายต่าง ๆ แล้วล้างแค้น
แต่ใครเล่าจะคิดว่าเซียนปี้หนิงจะรามือ!
ใครเล่าจะยอมลง?
“การถอยของเรานอกจากจะมิอาจล้างแค้น เรายังไม่อาจได้มาซึ่งที่มาแห่งจิตทารก และกระทั่ง… ถูกฝ่ายอื่น ๆ จงเกลียดจงชังเอาด้วยนะขอรับ!”
บางผู้กล่าวอย่างขมขื่น
เซียนปี้หนิงกวาดสายตามองคนทุกผู้ ท้ายที่สุดก็มิได้อธิบาย พูดเพียงว่า “ข้าเองก็กำลังเดิมพัน”
“เดิมพัน?”
“ใช่”
สายตาของเซียนปี้หนิงสุขุม “หลังจากวันนี้ พวกเจ้าจะรู้เองว่าการตัดสินใจนี้ของข้าฉลาดหรือขลาดเขลา”
……
ลึกเข้าไปในสันเขามังกรคราม
ห่างออกไปจากหุบเหวนั้นพันจั้ง
เหลยคงยืนอยู่บนอากาศ
เขานำฆ้องสำริดชิ้นหนึ่งออกมา ยกขึ้นชี้ไปทางท้องนภาไกลออกไป
ตู้ม!!
เหนือหุบเหวถูกปกคลุมด้วยทัณฑ์อสนีบาตตลอดทั้งปี และยามนี้ ทัณฑ์อสนีบาตนั้นดูราวกับถูกกระตุ้นอย่างร้ายแรง ฟาดทะยานหุบเหวไปทั่ว
มวลหมู่อัสนีหนาแน่นแผ่ปราณร้ายกาจทลายฟ้าขยี้แดน ทำให้ทั่วสันเขามังกรครามสั่นสะท้านรุนแรง
“ต่อให้ข้าฆ่าเจ้าไม่ได้ ข้าก็จะทำให้เจ้าร่อแร่ไปไหนมิได้!”
ดวงตาของเหลยคงดุดัน รอยยิ้มร้ายกาจปรากฏบนใบหน้า
ยามนี้เขาเป็นผู้นำโจมตี เร่งทัณฑ์อสนีบาตป่วนการเก็บตัวของซูอี้ ล่ออสรพิษออกจากรู!
ทว่าเหลยคงก็ต้องประหลาดใจที่แม้ทัณฑ์อสนีบาตจะกระหน่ำลง ในหุบเหวก็ไร้การเคลื่อนไหว
“มิใช่ว่าคนผู้นั้นหลบไม่พ้น ถูกอัสนีฆ่าไปแล้วหรอกนะ?”
เหลยคงลอบคิด
เขาโจมตีอีกหนโดยสิ้นลังเลเพื่อความไม่ประมาท โบกฆ้องสำริดในมือสุดแรง
สายฟ้าเจิดจรัสสาดส่องทั่วท้องนภา
แต่สิ่งที่ทำให้เหลยคงขมวดคิ้วก็คือ ยังไร้ผู้ใดทะยานออกมาจากในหุบเหว
“หรือคนผู้นั้นจะถูกทัณฑ์อสนีบาตฆ่าไปแล้วจริง ๆ?”
เมื่อคิดเช่นนี้ เหลยคงก็หยิบม้วนหนังสัตว์ออกมาม้วนหนึ่ง สะบัดมันเบา ๆ แล้วม้วนหนังสัตว์ก็กลายเป็นชุดเกราะอ่อนคลุมร่างของเขา
จากนั้น เขาก็เตรียมมุ่งหน้าสู่หุบเหว
ทว่าทันใดนั้น หนึ่งเสียงก็ดังขึ้นอย่างเฉยชา
“เจ้าหาข้าอยู่หรือ?”
เหลยคงชะงักและรีบหันตามเสียง
มิอาจรู้ได้ว่าชายหนุ่มชุดเขียวผู้หนึ่งยืน ณ ยอดคีรีไกลออกไปแต่ยามใด สองมือของเขาไพล่หลัง สองตามองมาที่เขาอย่างเรียบเฉย
“เจ้า…”
เหลยคงพลันหน้าเปลี่ยนสี “เจ้าออกมาจากหุบเหวก่อนแล้วหรือ?”
“ถูกต้อง”
ซูอี้พยักหน้า
สีหน้าของเหลยคงบูดเบี้ยวราวพบศัตรูร้าย “เมื่อครู่ เจ้าอยู่ตรงนั้นตลอดเลยหรือ?”
“ใช่”
ซูอี้พยักหน้าอีกครั้ง
หนังศีรษะของเหลยคงพลันชายิบ ตระหนักแล้วว่าท่าไม่ดี “งั้นเจ้า… ไฉนก่อนหน้านี้จึงไม่โจมตี?”
ซูอี้ตอบตรง ๆ “เพื่อพิสูจน์ว่าเมื่อครู่ สตรีผู้นั้นโกหกข้าหรือไม่”
ก่อนหน้านี้ ยามเซียนปี้หนิงจากไป นางแอบทิ้งยันต์ลับไว้ชิ้นหนึ่ง ซึ่งบอกแผนการและขั้นตอนปฏิบัติของห้าฝ่ายหลักในครานี้เอาไว้!
แผนของศัตรูเหล่านั้นแบ่งเป็นสามขั้นตอน
ขั้นแรกคือให้เซียนปี้หนิงมาเจรจา
ขั้นที่สอง หากซูอี้ปฏิเสธการรอมชอม ให้เหลยคงมาระเบิดอสนีบาตเหนือหุบเหว บังคับให้ซูอี้หนีออกมาเป็นการล่ออสรพิษจากรู
ขั้นที่สาม เหล่ายอดฝีมือจากขุมกำลังใหญ่ซึ่งประจำอยู่นอกสันเขามังกรครามจะร่วมกันตั้งค่ายกลดักรอซูอี้!
แผนนั้นเรียบง่ายไร้ความแยบยล ทว่ากลับทำให้ศัตรูร้ายเหล่านั้นวางกับดักได้เปรียบสูงสุด
เดิมที ซูอี้ยังคงเคลือบแคลงอยู่
ทว่ายามนี้ เมื่อเขาเห็นสิ่งที่เหลยคงทำ เขาก็พอแน่ใจแล้วว่าเซียนปี้หนิงหาโกหกไม่
และยามนี้ เมื่อฟังวาจาของซูอี้ สีหน้าของเหลยคงพลันมืดดำเยี่ยงก้นบ่อน้ำ
มีหรือเขาจะมิเข้าใจว่าถูกเซียนปี้หนิงหักหลังแล้ว?
“อันที่จริง สตรีผู้นั้นมิเห็นต้องบอกเลย แผนสังหารของพวกเจ้าหาต่างจากความว่างเปล่าในความคิดข้าไม่”
ซูอี้กล่าว
“งั้นหรือ งั้นเจ้ากล้าไปกับข้าหรือไม่?”
เหลยคงกล่าวอย่างเย็นชา
เขาตึงแน่นเยี่ยงสายธนู พร้อมโจมตีทุกเมื่อ หากล้าเลินเล่อไม่
“ไฉนมิได้?”
ซูอี้แย้มยิ้ม หันกลับไปทางสันเขามังกรคราม “ไปกัน ขอข้าดูหน่อยว่าพวกเจ้า ตัวตนขอบเขตจิตทารกจากสามจักรดาราหลักสามารถเพียงไร”
เหลยคง “???”
คิดให้ตายยังไง เขาก็มิคาดว่าซูอี้จะตกลงง่าย ๆ เช่นนี้!!
เขาเองก็เป็นยอดฝีมือไร้เทียมทานในขอบเขตจิตทารก ผจญศึกร้ายกาจสารพัดชั่วชีวิต ทว่านี่คือหนแรกที่เขาได้เผชิญศัตรูผู้มิกระทำตามบททั่วไป
รู้ทั้งรู้ว่ามีกับดักรออยู่มากมาย แต่ก็ยังยินดีไปอย่างผ่าเผย!
บ้าโดยแท้
“เจ้าจะมิหนีไปจริง ๆ หรือ?”
เหลยคงไล่ตามมา แต่ก็ยังเว้นระยะห่างจากซูอี้
“มิจำเป็น”
ซูอี้ตอบอย่างเลื่อนลอย
สีหน้าของเหลยคงถมึงทึง “หรือว่า… เจ้ากล้าเป็นฝ่ายเข้าไปในค่ายกลสังหารของพวกเราหรือไม่?”
“ไฉนจะมิกล้า?”
ซูอี้นำหนึ่งไหสุราออกมาจิบ สีหน้าปรากฏเค้าความเดียวดาย กล่าวขึ้นเบา ๆ “กล่าวตามตรง หากพวกเจ้ากักขังข้าได้ ข้าจะแสนปรีดานัก”
เหลยคง “…”
บทสนทนานี้ทำให้เขาแทบบ้า
ในโลกนี้ ไฉนจึงมีเจ้าคนโอหังเช่นนี้อยู่!?
เขาสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวเสียงเย็น “รู้หรือไม่ว่าข้างนอกนั่นมีผู้ฝึกตนขอบเขตจิตทารกอยู่เป็นร้อย! แค่ค่ายกลสังหารก็มีสิบเก้าชั้นแล้ว…”
ซูอี้โบกมือขัด “อย่าพูดให้เสียอรรถรส การล้อมสังหารนี่น่าเบื่อพอแล้วสำหรับข้า หากยังเผยลูกไม้ออกมาหมดอีก มันต่างอันใดกับเผาฉินต้มกระเรียนกัน?”
เส้นเลือดปูดเขียวเต็มขมับเหลยคง
หากไม่ใช่เพราะวีรกรรมนองเลือดของซูอี้ก่อนหน้านี้ เหลยคงคงเดือดดาล โจมตีอีกฝ่ายโดยมิสนหน้าอินทร์หน้าพรหมแล้ว
เขาเคยเห็นบุคคลเย่อหยิ่งโอหัง แต่มิเคยเห็นผู้ใดเย่อหยิ่งโอหังขนาดนี้!
“ออกมาแล้ว!”
หนึ่งเสียงโพล่งขึ้นไกล ๆ อย่างตื่นเต้น
นั่นคือสั่วอวิ๋นซาน เว่ยฮั่วหยางและพรรคพวกซึ่งถูไม้ถูมือรออยู่อย่างอหังการ
ยามนี้ เมื่อพวกเขาเห็นร่างของซูอี้ปรากฏขึ้น พวกเขาก็ออกคำสั่งโดยไร้ลังเล
“ลงมือ!”
เสียงนั้นกังวานทั่วโลกหล้า
ตู้มมม!
แดนดินถิ่นใกล้วูบไหว สารพัดค่ายกลแผ่ปกคลุมแปรเปลี่ยนฟ้าดิน จิตสังหารร้ายกาจปรกนภา
เหลยคงชิงถอยไปไกล
เขามิอยากติดร่างแหไปด้วย
ขณะเดียวกัน เขาก็จ้องซูอี้เขม็ง
สิ่งที่ทำให้เหลยคงเชื่อไม่ลงนั้นคือ ซูอี้ไม่หลบจริง ๆ! เขาเป็นฝ่ายเดินเข้าไปในค่ายกลสังหารเองราวกำลังเดินเล่นด้วยซ้ำไป!
“บ้า คนผู้นี้บ้าสุดขั้วเลย!”
เหลยคงพึมพำ
“เร็วเข้า! เดินค่ายกลใหญ่สุดกำลัง!!”
สั่วอวิ๋นซาน เว่ยฮั่วหยางและพรรคพวกล้วนตวาดออกคำสั่ง แต่ละผู้แสนตื่นเต้นคึกคัก สีหน้าล้วนเปี่ยมปรีดา
กระทั่งพวกเขายังมิคาดว่าศัตรูร้ายกาจผู้ซึ่งทำให้พวกเขาแสนหวาดกลัวนี้จะเป็นฝ่ายพาตัวเองเข้าร่างแหอย่างว่าง่ายเช่นนี้!
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
ตัวตนขอบเขตจิตทารกนับร้อยจากห้าขุมกำลังใหญ่รายล้อมมหาค่ายกลนี้ พากันลงมืออย่างสุดกำลัง
เปรี้ยง!
อัสนีในค่ายกลสังหารกู่ก้อง เพลิงศักดิ์สิทธิ์กระฉอกไหลเยี่ยงสายน้ำ
อำนาจทำลายล้างร้ายกาจทำให้เหลยคงซึ่งมองจากไกล ๆ ตัวสั่น
เขาแน่ใจว่าหากผู้ถูกขังในค่ายกลเป็นเขา เขาจะเผชิญหายนะเป็นแน่ แม้ใช้ไม้ตายก้นหีบก็ไร้โอกาสรอด!
“เจ้านั่นเล่าจะเป็นเช่นไร ไฉนจึงกล้าเดินเข้าค่ายกลสังหารเอง? ยังกล้าเสแสร้งบอกเผาฉินต้มกระเรียนอีก… ข้าอยากเห็นนักว่าเขาจะตายอนาถเพียงไร!”
เหลยคงกัดฟันจ้องร่างของซูอี้ซึ่งติดอยู่ในมหาค่ายกล มิยอมพลาดรายละเอียดใด ๆ
ไม่เพียงเขา ตัวตนไร้เทียมทานอื่น ๆ ในขอบเขตจิตทารกเช่นสั่วอวิ๋นซาน เว่ยฮั่วหยาง และมู่ชิงฉี่ก็ล้วนจับจ้องทุกสิ่งในค่ายกลสังหารนี้อย่างใกล้ชิดเช่นกัน
เจ้านั่นซวยแล้ว!!
นี่คือสิ่งที่พวกเขาทั้งหมดคิด
เพราะค่ายกลสังหารนี้ พวกเขาร่วมกันสร้างขึ้นมา โคจรพลังโดยยอดฝีมือขอบเขตจิตทารกนับร้อย อย่าว่าแต่ฆ่าตัวตนในขอบเขตจิตทารกเลย กระทั่งทำลายยอดฝีมือขอบเขตรวมวิถียังทำได้!
ขณะเดียวกัน ซูอี้ผู้อยู่ในค่ายกลสังหารถอนใจส่ายหน้า
ค่ายกลนี้ตรงหน้าเขา… ก็ไร้ค่ามิคู่ควรอยู่ในสายตาอย่างจริงแท้
เค้าความคาดหวังเดียวในใจของซูอี้เหือดหาย
ความเดียวดายในใจถาโถมเยี่ยงมหาพายุหิมะ!